ความขัดแย้งและวิวาทะระหว่างกลุ่มคนเสื้อแดง 2 ขั้ว กลายเป็นประเด็นความสับสนในหมู่คนเสื้อแดง ที่ไม่ประสีประสาทางการเมือง และกลายเป็นข่าวคราวให้คนในสังคมได้หัวร่อ
ความขัดแย้งซึ่งฝ่ายหนึ่งนำโดย นายจักรภพ เพ็ญแข ผู้ต้องหาหลบหนีคดีเผาเมืองช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่ผ่านมาและนายสุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ (แซ่ด่าน) แกนนำกลุ่มแดงสยาม ส่วนอีกฝ่ายหนึ่งคือ “แก๊งสามเกลอ” อันประกอบไปด้วย นายวีระ มุสิกพงศ์ นายจตุพร พรหมพันธุ์และนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ
ส่วนตัวผมมีความสงสัยมานานพอสมควรแล้วว่า การเคลื่อนไหวของ “กลุ่มคนเสื้อแดง” นั้นจะสามารถดำเนินไปได้อย่างยั่งยืนได้ยาวนานเพียงใด เนื่องจากการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อแดงนั้นมีรากฐานมาจากการอุปโลกน์ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นั้นเป็นบิดาแห่งประชาธิปไตยที่แท้จริง ขณะที่โดยข้อเท็จจริงแล้ว “ระบอบทักษิณ” นั้นคือ ตัวทำลายระบอบประชาธิปไตย และรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 ต่างหาก
หรือหากจะกล่าวกันอย่างตรงไปตรงมาก็คือในช่วงปี 2544-2549 พ.ต.ท.ทักษิณ ใช้การเลือกตั้งเป็นเพียงเครื่องมือในการกุมอำนาจแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด เพื่อจัดสรรผลประโยชน์ให้กับตนเอง ครอบครัว พวกพ้อง และเพื่อตอบสนองต่อการดำเนินธุรกิจแบบทุนสามานย์ที่กำลังครอบโลกอยู่ในปัจจุบัน
ด้วยเหตุนี้เอง เมื่อปราศจากอุดมการณ์-แก่นแกน-รากฐาน การเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อแดง (รวมถึงพรรคเพื่อไทย กลุ่มคนเสื้อน้ำเงินและเสื้อขาวส่วนใหญ่) จึงต้องพยายามรวบรัดตัดตอน ห้วงเวลาของปัญหาของประเทศในปัจจุบันว่า เกิดขึ้นนับตั้งแต่วันที่ 19 กันยายน 2549 (ซึ่งจะครบรอบ 3 ปีในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้) ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริง ปัญหาทั้งหมดเริ่มขึ้นตั้งแต่ปี 2544 เมื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ และพรรคไทยรักไทย ชนะการเลือกตั้งจนสามารถจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างมากได้
ณ วันนี้ รอยปริร้าวของความสัมพันธ์ และความขัดแย้งระหว่างกลุ่มจักรภพ-สุรชัย กับกลุ่มแก๊ง 3 เกลอนั้น เกิดจากการที่คนเสื้อแดงกลุ่มหนึ่งซึ่งยึดมั่นอุดมการณ์เดิม คือ การโค่นล้มสถาบันหลักของชาติ (หรือที่พวกเขาขนานนามว่า “ระบอบอำมาตยาธิปไตย”) ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งกลับเปลี่ยนจุดยืน ด้วยการออกมาเคลื่อนไหวขอพระราชทานอภัยโทษให้ พ.ต.ท.ทักษิณ และพยายามจำกัดวงการเคลื่อนไหวของตัวเองว่า เพื่อขับไล่กลุ่มอำมาตย์นับตั้งแต่ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีลงมา
จริงๆ การออกมายอมรับของ “แก๊งสามเกลอ” ว่า “ต่อแต่นี้ไปจะจำกัดความเคลื่อนไหวเหลือเพียง ขับไล่กลุ่มอำมาตย์นับตั้งแต่ พล.อ.เปรม ลงมา” หากวิเคราะห์เจาะลึกลงไปแล้วก็อาจถือเป็นคำรับสารภาพอย่างเป็นทางการก็ได้ว่า ก่อนหน้านี้คนเสื้อแดงเคยมีเป้าหมายในการขับไล่กลุ่มอำมาตย์ทั้งหมด ไม่ว่าใครหน้าไหนก็ตามที่มีตำแหน่ง “สูงกว่า” หรือ “ต่ำกว่า” พล.อ.เปรม
การเปลี่ยนแปลงในจุดยืนของแก๊งสามเกลอนี้เองที่เป็นสาเหตุใหญ่ว่าทำไมจึงเกิดวิวาทะกันในหมู่แกนนำคนเสื้อแดงด้วยกันเอง จนกลายมาเป็นเรื่องทะเลาะกันออกสื่ออย่างเป็นเรื่องเป็นราว
ชนวนสำคัญของความขัดแย้งรอบนี้อยู่ที่บทความเรื่อง “ทักษิณกลับบ้าน?” และ “อย่าเอาพฤษภาทมิฬเป็นตัวตั้ง” ของ จักรภพ เพ็ญแข ใน นสพ.แนวร่วม Red ซึ่งออกมาต่อว่า วีระ-จตุพร-ณัฐวุฒิ ค่อนข้างรุนแรงว่า
“ใครนำขบวนการประชาธิปไตยไปรับใช้ฝ่ายอำมาตยาธิปไตย จะทางตรงหรือทางอ้อมก็ตาม คือเหลือบที่คอยสิงสู่ทำลายขบวนการประชาธิปไตยในเนื้อ ไม่ต่างอะไรจากเซลล์มะเร็งที่ต้องขจัดออกไปจากร่างกาย …สงครามในครั้งนี้เป็นการต่อสู้ระหว่าง มหาอำมาตย์ (โปรดสังเกตการเลือกใช้คำของจักรภพ - ผู้เขียน) กับมหาประชาชน จะนานเท่าไหร่ก็ต้องยอม ไม่ใช่การต่อสู้เล็กๆ ระหว่างลูกน้องของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเพื่อนำขบวนการทั้งหมดไปสู่ความพ่ายแพ้
“(ที่คนเสื้อแดง) เขายอมให้ท่านนำอยู่ในขณะนี้ เพราะเขารู้ว่าเป็นเวทีใหญ่ที่ประชาชนมารวมตัวกันมาก เนื่องจากคุณทักษิณยังโฟนอินเข้ามา เขาก็เลยใช้เป็นสถานที่ประชุมกันเพื่อทำงานการเมืองที่ก้าวหน้าลึกซึ้งกว่า เหตุการณ์บนเวทีที่ท่านจัดเท่านั้นเอง” และตามมาด้วยประโยคที่แสดงความเหยียดหยาม “แก๊งสามเกลอ” อดีตเพื่อนร่วมเวที นปช. แบบเต็มๆ ว่า
“คนเขาไปดูละครลิงเพราะมันสนุกดี ไม่ได้แปลว่าเขาจะเชื่อลิง”
ในแวดวงของอดีตคนเดือนตุลาฯ และผู้ที่รู้จักมักจี่กับกลุ่มคนผู้คลั่งไคล้ในมาร์กซิสม์และลัทธิคอมมิวนิสต์ในสังคมไทยทุกวันนี้ ต่างทราบดีว่า คนเสื้อแดงสายวิชาการ-ปัญญาชน อย่างจักรภพ เพ็ญแข สุรชัย แซ่ด่าน ใจ อึ๊งภากรณ์ สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ (ซึ่งคอยช่วยเหลือ “ดา ตอร์ปิโด” ดารณี ชาญเชิงศิลปกุล) ฯลฯ นั้นแท้จริง เขาเข้าร่วมกับคนเสื้อแดงและระบอบทักษิณก็เพียงเพื่อต้องการใช้ระบอบทักษิณเป็นเครื่องมือเพื่อนำไปสู่การโค่นล้มสถาบันเบื้องสูง ที่ถือเป็นเสาหลักของระบบทุนนิยมอุปถัมภ์ (Crony Capitalism) ของประเทศเท่านั้น
ลึกๆ แล้ว คนเสื้อแดงสายวิชาการเหล่านี้ มิได้หลงใหลได้ปลื้มอะไรไปกับ พ.ต.ท.ทักษิณ หรือระบอบทักษิณ มากนักหรอก พวกเขาเพียงยังเจ็บแค้นและยังอารมณ์ค้างคาอยู่กับการต่อสู้เมื่อ 30 กว่าปีก่อน รวมไปถึงบางส่วนที่มัวยึดถือเอาข้อความในตำราเก่าๆ ทฤษฎีเก่าๆ ซึ่งได้รับการพิสูจน์แล้วว่าล้มเหลวและไม่เข้ากับความเป็นจริงของยุคสมัย
สาเหตุที่พวกเขาออกมาส่งเสียงด่าทอพวกเสื้อแดงกันเองก็เพราะกริ่งเกรงว่า หาก “เสื้อแดงกลุ่มสู้แล้วรวย” ทำอะไรทะเล่อทะล่า ล้ำหน้าไป จนสามารถพา พ.ต.ท.ทักษิณกลับมาบ้านแต่เพลี่ยงพล้ำเสียชีวิต หรือเป็นอะไรไปแล้ว แผนการที่มุ่งไปสู่เป้าหมายหลักจะพังครืนลงมาเสียก่อน
ขณะเดียวกันแก๊งสามเกลอ ซึ่งได้รับการพิสูจน์ชัดเจนว่าไม่ได้มีอุดมการณ์ทางการเมืองสูงส่งอย่างที่คุยเอาไว้ แต่พร้อมจะเอาตัวเข้าแลก และถือว่าพวกตนเองเสี่ยงคุก เสี่ยงตะรางที่สุด ก็ถือตนว่าไม่มีใครรักและพร้อมเสี่ยงชีวิตให้กับนายใหญ่เท่าตน โดยเสื้อแดงกลุ่มนี้รู้อยู่แก่ใจว่า ในห้วงเวลาเช่นนี้การดื้อดึงมุ่งหน้าไปโค่นล้มเป้าหมายอันสูงส่งนั้นรังแต่จะทำให้นายใหญ่บอบช้ำและนับวันจะยิ่งไร้ที่พักพิงในสังคมโลกเข้าไปทุกที
ข้อเท็จจริงดังกล่าว สามารถพิสูจน์ได้จากสภาวะที่หลังเหตุการณ์สงกรานต์เลือดเป็นต้นมา สื่อกระแสหลักในโลกใบนี้ทั้งโทรทัศน์ เว็บไซต์ รวมไปถึงสำนักข่าว (ยกเว้นนิตยสารหัวนอกบางฉบับที่สามารถซื้อได้ด้วยเงิน) ต่างลดปริมาณการนำเสนอข่าว พ.ต.ท.ทักษิณ อย่างฮวบฮาบ จนเจ้าตัวต้องหันไปใช้สื่อทางเลือกอย่าง Facebook Twitter และการวิดีโอลิงก์ไปตามร้านจิ้มจุ่ม ร้านก๋วยเตี๋ยวเนื้อแทน
อย่างไรก็ตาม ผมเชื่อว่า “การกัดกันเองต่อหน้าสาธารณชน” ของแกนนำคนเสื้อแดงครั้งนี้ ในที่สุดแล้วก็ไม่มีอะไรมากไปกว่า “เกมตีสองหน้า” ของ “ระบอบทักษิณ” ที่ปล่อยให้ลูกสมุน 2 ฝ่าย แบ่งงานกันไปทำ ฝ่ายหนึ่งทำงานเพื่อหวังผลสำหรับเป้าหมายในระยะสั้น ส่วนอีกฝ่ายตระเตรียมและซ่องสุมกำลังไว้เพื่อเป้าหมายในระยะยาว
ความขัดแย้งซึ่งฝ่ายหนึ่งนำโดย นายจักรภพ เพ็ญแข ผู้ต้องหาหลบหนีคดีเผาเมืองช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่ผ่านมาและนายสุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ (แซ่ด่าน) แกนนำกลุ่มแดงสยาม ส่วนอีกฝ่ายหนึ่งคือ “แก๊งสามเกลอ” อันประกอบไปด้วย นายวีระ มุสิกพงศ์ นายจตุพร พรหมพันธุ์และนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ
ส่วนตัวผมมีความสงสัยมานานพอสมควรแล้วว่า การเคลื่อนไหวของ “กลุ่มคนเสื้อแดง” นั้นจะสามารถดำเนินไปได้อย่างยั่งยืนได้ยาวนานเพียงใด เนื่องจากการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อแดงนั้นมีรากฐานมาจากการอุปโลกน์ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นั้นเป็นบิดาแห่งประชาธิปไตยที่แท้จริง ขณะที่โดยข้อเท็จจริงแล้ว “ระบอบทักษิณ” นั้นคือ ตัวทำลายระบอบประชาธิปไตย และรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 ต่างหาก
หรือหากจะกล่าวกันอย่างตรงไปตรงมาก็คือในช่วงปี 2544-2549 พ.ต.ท.ทักษิณ ใช้การเลือกตั้งเป็นเพียงเครื่องมือในการกุมอำนาจแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด เพื่อจัดสรรผลประโยชน์ให้กับตนเอง ครอบครัว พวกพ้อง และเพื่อตอบสนองต่อการดำเนินธุรกิจแบบทุนสามานย์ที่กำลังครอบโลกอยู่ในปัจจุบัน
ด้วยเหตุนี้เอง เมื่อปราศจากอุดมการณ์-แก่นแกน-รากฐาน การเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อแดง (รวมถึงพรรคเพื่อไทย กลุ่มคนเสื้อน้ำเงินและเสื้อขาวส่วนใหญ่) จึงต้องพยายามรวบรัดตัดตอน ห้วงเวลาของปัญหาของประเทศในปัจจุบันว่า เกิดขึ้นนับตั้งแต่วันที่ 19 กันยายน 2549 (ซึ่งจะครบรอบ 3 ปีในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้) ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริง ปัญหาทั้งหมดเริ่มขึ้นตั้งแต่ปี 2544 เมื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ และพรรคไทยรักไทย ชนะการเลือกตั้งจนสามารถจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างมากได้
ณ วันนี้ รอยปริร้าวของความสัมพันธ์ และความขัดแย้งระหว่างกลุ่มจักรภพ-สุรชัย กับกลุ่มแก๊ง 3 เกลอนั้น เกิดจากการที่คนเสื้อแดงกลุ่มหนึ่งซึ่งยึดมั่นอุดมการณ์เดิม คือ การโค่นล้มสถาบันหลักของชาติ (หรือที่พวกเขาขนานนามว่า “ระบอบอำมาตยาธิปไตย”) ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งกลับเปลี่ยนจุดยืน ด้วยการออกมาเคลื่อนไหวขอพระราชทานอภัยโทษให้ พ.ต.ท.ทักษิณ และพยายามจำกัดวงการเคลื่อนไหวของตัวเองว่า เพื่อขับไล่กลุ่มอำมาตย์นับตั้งแต่ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีลงมา
จริงๆ การออกมายอมรับของ “แก๊งสามเกลอ” ว่า “ต่อแต่นี้ไปจะจำกัดความเคลื่อนไหวเหลือเพียง ขับไล่กลุ่มอำมาตย์นับตั้งแต่ พล.อ.เปรม ลงมา” หากวิเคราะห์เจาะลึกลงไปแล้วก็อาจถือเป็นคำรับสารภาพอย่างเป็นทางการก็ได้ว่า ก่อนหน้านี้คนเสื้อแดงเคยมีเป้าหมายในการขับไล่กลุ่มอำมาตย์ทั้งหมด ไม่ว่าใครหน้าไหนก็ตามที่มีตำแหน่ง “สูงกว่า” หรือ “ต่ำกว่า” พล.อ.เปรม
การเปลี่ยนแปลงในจุดยืนของแก๊งสามเกลอนี้เองที่เป็นสาเหตุใหญ่ว่าทำไมจึงเกิดวิวาทะกันในหมู่แกนนำคนเสื้อแดงด้วยกันเอง จนกลายมาเป็นเรื่องทะเลาะกันออกสื่ออย่างเป็นเรื่องเป็นราว
ชนวนสำคัญของความขัดแย้งรอบนี้อยู่ที่บทความเรื่อง “ทักษิณกลับบ้าน?” และ “อย่าเอาพฤษภาทมิฬเป็นตัวตั้ง” ของ จักรภพ เพ็ญแข ใน นสพ.แนวร่วม Red ซึ่งออกมาต่อว่า วีระ-จตุพร-ณัฐวุฒิ ค่อนข้างรุนแรงว่า
“ใครนำขบวนการประชาธิปไตยไปรับใช้ฝ่ายอำมาตยาธิปไตย จะทางตรงหรือทางอ้อมก็ตาม คือเหลือบที่คอยสิงสู่ทำลายขบวนการประชาธิปไตยในเนื้อ ไม่ต่างอะไรจากเซลล์มะเร็งที่ต้องขจัดออกไปจากร่างกาย …สงครามในครั้งนี้เป็นการต่อสู้ระหว่าง มหาอำมาตย์ (โปรดสังเกตการเลือกใช้คำของจักรภพ - ผู้เขียน) กับมหาประชาชน จะนานเท่าไหร่ก็ต้องยอม ไม่ใช่การต่อสู้เล็กๆ ระหว่างลูกน้องของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเพื่อนำขบวนการทั้งหมดไปสู่ความพ่ายแพ้
“(ที่คนเสื้อแดง) เขายอมให้ท่านนำอยู่ในขณะนี้ เพราะเขารู้ว่าเป็นเวทีใหญ่ที่ประชาชนมารวมตัวกันมาก เนื่องจากคุณทักษิณยังโฟนอินเข้ามา เขาก็เลยใช้เป็นสถานที่ประชุมกันเพื่อทำงานการเมืองที่ก้าวหน้าลึกซึ้งกว่า เหตุการณ์บนเวทีที่ท่านจัดเท่านั้นเอง” และตามมาด้วยประโยคที่แสดงความเหยียดหยาม “แก๊งสามเกลอ” อดีตเพื่อนร่วมเวที นปช. แบบเต็มๆ ว่า
“คนเขาไปดูละครลิงเพราะมันสนุกดี ไม่ได้แปลว่าเขาจะเชื่อลิง”
ในแวดวงของอดีตคนเดือนตุลาฯ และผู้ที่รู้จักมักจี่กับกลุ่มคนผู้คลั่งไคล้ในมาร์กซิสม์และลัทธิคอมมิวนิสต์ในสังคมไทยทุกวันนี้ ต่างทราบดีว่า คนเสื้อแดงสายวิชาการ-ปัญญาชน อย่างจักรภพ เพ็ญแข สุรชัย แซ่ด่าน ใจ อึ๊งภากรณ์ สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ (ซึ่งคอยช่วยเหลือ “ดา ตอร์ปิโด” ดารณี ชาญเชิงศิลปกุล) ฯลฯ นั้นแท้จริง เขาเข้าร่วมกับคนเสื้อแดงและระบอบทักษิณก็เพียงเพื่อต้องการใช้ระบอบทักษิณเป็นเครื่องมือเพื่อนำไปสู่การโค่นล้มสถาบันเบื้องสูง ที่ถือเป็นเสาหลักของระบบทุนนิยมอุปถัมภ์ (Crony Capitalism) ของประเทศเท่านั้น
ลึกๆ แล้ว คนเสื้อแดงสายวิชาการเหล่านี้ มิได้หลงใหลได้ปลื้มอะไรไปกับ พ.ต.ท.ทักษิณ หรือระบอบทักษิณ มากนักหรอก พวกเขาเพียงยังเจ็บแค้นและยังอารมณ์ค้างคาอยู่กับการต่อสู้เมื่อ 30 กว่าปีก่อน รวมไปถึงบางส่วนที่มัวยึดถือเอาข้อความในตำราเก่าๆ ทฤษฎีเก่าๆ ซึ่งได้รับการพิสูจน์แล้วว่าล้มเหลวและไม่เข้ากับความเป็นจริงของยุคสมัย
สาเหตุที่พวกเขาออกมาส่งเสียงด่าทอพวกเสื้อแดงกันเองก็เพราะกริ่งเกรงว่า หาก “เสื้อแดงกลุ่มสู้แล้วรวย” ทำอะไรทะเล่อทะล่า ล้ำหน้าไป จนสามารถพา พ.ต.ท.ทักษิณกลับมาบ้านแต่เพลี่ยงพล้ำเสียชีวิต หรือเป็นอะไรไปแล้ว แผนการที่มุ่งไปสู่เป้าหมายหลักจะพังครืนลงมาเสียก่อน
ขณะเดียวกันแก๊งสามเกลอ ซึ่งได้รับการพิสูจน์ชัดเจนว่าไม่ได้มีอุดมการณ์ทางการเมืองสูงส่งอย่างที่คุยเอาไว้ แต่พร้อมจะเอาตัวเข้าแลก และถือว่าพวกตนเองเสี่ยงคุก เสี่ยงตะรางที่สุด ก็ถือตนว่าไม่มีใครรักและพร้อมเสี่ยงชีวิตให้กับนายใหญ่เท่าตน โดยเสื้อแดงกลุ่มนี้รู้อยู่แก่ใจว่า ในห้วงเวลาเช่นนี้การดื้อดึงมุ่งหน้าไปโค่นล้มเป้าหมายอันสูงส่งนั้นรังแต่จะทำให้นายใหญ่บอบช้ำและนับวันจะยิ่งไร้ที่พักพิงในสังคมโลกเข้าไปทุกที
ข้อเท็จจริงดังกล่าว สามารถพิสูจน์ได้จากสภาวะที่หลังเหตุการณ์สงกรานต์เลือดเป็นต้นมา สื่อกระแสหลักในโลกใบนี้ทั้งโทรทัศน์ เว็บไซต์ รวมไปถึงสำนักข่าว (ยกเว้นนิตยสารหัวนอกบางฉบับที่สามารถซื้อได้ด้วยเงิน) ต่างลดปริมาณการนำเสนอข่าว พ.ต.ท.ทักษิณ อย่างฮวบฮาบ จนเจ้าตัวต้องหันไปใช้สื่อทางเลือกอย่าง Facebook Twitter และการวิดีโอลิงก์ไปตามร้านจิ้มจุ่ม ร้านก๋วยเตี๋ยวเนื้อแทน
อย่างไรก็ตาม ผมเชื่อว่า “การกัดกันเองต่อหน้าสาธารณชน” ของแกนนำคนเสื้อแดงครั้งนี้ ในที่สุดแล้วก็ไม่มีอะไรมากไปกว่า “เกมตีสองหน้า” ของ “ระบอบทักษิณ” ที่ปล่อยให้ลูกสมุน 2 ฝ่าย แบ่งงานกันไปทำ ฝ่ายหนึ่งทำงานเพื่อหวังผลสำหรับเป้าหมายในระยะสั้น ส่วนอีกฝ่ายตระเตรียมและซ่องสุมกำลังไว้เพื่อเป้าหมายในระยะยาว