ASTVผู้จัดการรายวัน-หอการค้าไทย เตรียมเสนอรัฐบาลแก้ปัญหาเร่งด่วน 3 ด้านแก้ปัญหาส่งออก เน้นแก้ไขปัญหาค่าบาทแข็ง หาทางประกันความเสี่ยงผู้ส่งออก และให้สินเชื่อซอฟต์โลน หวังเพิ่มศักยภาพแข่งขัน เพิ่มสภาพคล่อง ลั่นถ้าไม่ช่วย ส่งออกปีนี้สาหัส ติดลบ 20% แน่
นายพงษ์ศักดิ์ อัสสกุล รองประธานกรรมการหอการค้าไทย เปิดเผยถึงแนวทางการให้ความช่วยเหลือการส่งออกของไทยว่า หอการค้าไทยได้เตรียมเสนอให้รัฐบาลแก้ไขปัญหาเร่งด่วน 3 ด้าน คือ 1.ดูแลอัตราการแลกเปลี่ยนให้เหมาะสม และไม่แข็งค่าเกินอัตราแลกเปลี่ยนของคู่แข่ง 2.เสริมสภาพคล่องให้ผู้ส่งออก และให้ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (ธสน.) ประกันความเสี่ยงให้ผู้ส่งออกอย่างไม่จำกัด และ3.ให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (ซอฟต์โลน) ในภาวะฉุกเฉินแก่ผู้ประกอบการ เพื่อให้มีต้นทุนทางการเงินที่ต่ำลง เพิ่มศักยภาพการแข่งขัน หากไม่ได้รับช่วยเหลือ การส่งออกสินค้าไทยในปีนี้อาจติดลบถึง 20% ทั้งนี้ หอการค้าไทยจะนำข้อเสนอดังกล่าวเข้าสู่การประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชน (กรอ.) ในเร็วๆ นี้
ทั้งนี้ ตั้งแต่เดือนม.ค.2552 จนถึงปัจจุบัน ค่าเงินบาทแข็งค่ามากถึง 2.71% เมื่อเทียบกับ 12 สกุลเงินของคู่ค้า และคู่แข่งหลัก ได้แก่ สหรัฐฯ อังกฤษ สหภาพยุโรป จีน ญี่ปุ่น ไต้หวัน เกาหลีใต้ ฮ่องกง สิงคโปร์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ ส่งผลให้สินค้าส่งออกของไทยสูญเสียความสามารถในการแข่งขันด้านราคาไปถึง 2.71% หรืออขายสินค้าราคา 1 เหรียญสหรัฐ และเมื่อคิดเป็นเงินบาท จะหายไปเกือบ 3 บาท ทำให้แข่งขันไม่ได้ จึงต้องการให้รัฐบาลดูแลค่าเงินบาทไม่ให้แข็งค่าเกินกว่าคู่แข่ง หรืออยู่ในระดับที่ 37 บาท/เหรียญสหรัฐ
ส่วนการประกันความเสี่ยงนั้น ขณะนี้ ผู้ซื้อต่างประเทศส่วนใหญ่จะไม่เปิดแอล/ซี เพื่อให้ผู้ส่งออกไทยนำไปขึ้นเงินกับธนาคารหลังการส่งสินค้าแล้ว เพราะขาดเงินทุนหมุนเวียน แต่จะมีใบสั่งซื้อ (เพอร์เชส ออร์เดอร์) แทน ซึ่งผู้ส่งออกไทยไม่สามารถนำไปขึ้นเงินได้ จึงเกิดความเสี่ยงกับผู้ส่งออก ประกอบกับ ผู้ซื้อยืดเวลาชำระเงินค่าสินค้าออกไปอีก 30-90 วัน ดังนั้น ต้องการให้มีการรับประกันความเสี่ยงให้กับผู้ส่งออกด้วย สำหรับการให้สินเชื่อซอฟต์โลน ในยามฉุกเฉินนั้น ต้องการให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) นำกลับมาใช้ใหม่หลังจากก่อนหน้านี้เคยทำมาแล้ว เพื่อให้ผู้ส่งออกสามารถประคองตัวผ่านสถานการณ์ยุ่งยากไปได้
“ขณะนี้ ผู้ส่งออกไทยขาดสภาพคล่องหนักกว่าเมื่อตอนต้นปี แม้เศรษฐกิจโลกจะดีขึ้น ทำให้การส่งออกไทยเริ่มดีขึ้น เริ่มมีคำสั่งซื้อเข้ามาแล้ว แต่ผู้ส่งออกแทบไม่ได้รับประโยชน์เลย เพราะไม่มีเงินทุนหมุนเวียนจะผลิตสินค้าล็อตใหม่ ประกอบกับ ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นมาก จึงอยากให้รัฐบาลช่วยเหลือเร่งด่วน ส่วนเรื่องรับประกันความเสี่ยง แม้รัฐบาลจะออกข่าวหลายครั้งว่า ให้ธสน.รับประกันความเสี่ยงให้ผู้ส่งออกมากขึ้น แต่จนถึงขณะนี้ แทบไม่เกิดผลเป็นรูปธรรมเลย มีผู้ส่งออกน้อยมาก ที่ธสน.รับประกันความเสี่ยงให้” นายพงษ์ศักดิ์กล่าว
อย่างไรก็ตาม หากรัฐบาลสามารถดูแลให้ค่าเงินบาทอ่อนลงได้ทุกๆ 1 บาท/เหรียญสหรัฐ จะทำให้การส่งออกขยายตัวดีขึ้น ส่งผลให้อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจไทยในปีนี้เพิ่มขึ้นได้ 0.3% และเกิดการจ้างงานเพิ่มอีก 110,000 คน ส่วนหากธนาคารพาณิชย์ปล่อยสินเชื่อเพิ่มขึ้นได้ 25,000 ล้านบาท จะทำให้การลงทุนขยายตัวดีขึ้น ส่งผลให้เศรษฐกิจขยายตัวเพิ่มขึ้น 0.03% และเกิดการจ้างงานเพิ่มขึ้นอีก 10,000 คน
นายพงษ์ศักดิ์ อัสสกุล รองประธานกรรมการหอการค้าไทย เปิดเผยถึงแนวทางการให้ความช่วยเหลือการส่งออกของไทยว่า หอการค้าไทยได้เตรียมเสนอให้รัฐบาลแก้ไขปัญหาเร่งด่วน 3 ด้าน คือ 1.ดูแลอัตราการแลกเปลี่ยนให้เหมาะสม และไม่แข็งค่าเกินอัตราแลกเปลี่ยนของคู่แข่ง 2.เสริมสภาพคล่องให้ผู้ส่งออก และให้ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (ธสน.) ประกันความเสี่ยงให้ผู้ส่งออกอย่างไม่จำกัด และ3.ให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (ซอฟต์โลน) ในภาวะฉุกเฉินแก่ผู้ประกอบการ เพื่อให้มีต้นทุนทางการเงินที่ต่ำลง เพิ่มศักยภาพการแข่งขัน หากไม่ได้รับช่วยเหลือ การส่งออกสินค้าไทยในปีนี้อาจติดลบถึง 20% ทั้งนี้ หอการค้าไทยจะนำข้อเสนอดังกล่าวเข้าสู่การประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชน (กรอ.) ในเร็วๆ นี้
ทั้งนี้ ตั้งแต่เดือนม.ค.2552 จนถึงปัจจุบัน ค่าเงินบาทแข็งค่ามากถึง 2.71% เมื่อเทียบกับ 12 สกุลเงินของคู่ค้า และคู่แข่งหลัก ได้แก่ สหรัฐฯ อังกฤษ สหภาพยุโรป จีน ญี่ปุ่น ไต้หวัน เกาหลีใต้ ฮ่องกง สิงคโปร์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ ส่งผลให้สินค้าส่งออกของไทยสูญเสียความสามารถในการแข่งขันด้านราคาไปถึง 2.71% หรืออขายสินค้าราคา 1 เหรียญสหรัฐ และเมื่อคิดเป็นเงินบาท จะหายไปเกือบ 3 บาท ทำให้แข่งขันไม่ได้ จึงต้องการให้รัฐบาลดูแลค่าเงินบาทไม่ให้แข็งค่าเกินกว่าคู่แข่ง หรืออยู่ในระดับที่ 37 บาท/เหรียญสหรัฐ
ส่วนการประกันความเสี่ยงนั้น ขณะนี้ ผู้ซื้อต่างประเทศส่วนใหญ่จะไม่เปิดแอล/ซี เพื่อให้ผู้ส่งออกไทยนำไปขึ้นเงินกับธนาคารหลังการส่งสินค้าแล้ว เพราะขาดเงินทุนหมุนเวียน แต่จะมีใบสั่งซื้อ (เพอร์เชส ออร์เดอร์) แทน ซึ่งผู้ส่งออกไทยไม่สามารถนำไปขึ้นเงินได้ จึงเกิดความเสี่ยงกับผู้ส่งออก ประกอบกับ ผู้ซื้อยืดเวลาชำระเงินค่าสินค้าออกไปอีก 30-90 วัน ดังนั้น ต้องการให้มีการรับประกันความเสี่ยงให้กับผู้ส่งออกด้วย สำหรับการให้สินเชื่อซอฟต์โลน ในยามฉุกเฉินนั้น ต้องการให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) นำกลับมาใช้ใหม่หลังจากก่อนหน้านี้เคยทำมาแล้ว เพื่อให้ผู้ส่งออกสามารถประคองตัวผ่านสถานการณ์ยุ่งยากไปได้
“ขณะนี้ ผู้ส่งออกไทยขาดสภาพคล่องหนักกว่าเมื่อตอนต้นปี แม้เศรษฐกิจโลกจะดีขึ้น ทำให้การส่งออกไทยเริ่มดีขึ้น เริ่มมีคำสั่งซื้อเข้ามาแล้ว แต่ผู้ส่งออกแทบไม่ได้รับประโยชน์เลย เพราะไม่มีเงินทุนหมุนเวียนจะผลิตสินค้าล็อตใหม่ ประกอบกับ ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นมาก จึงอยากให้รัฐบาลช่วยเหลือเร่งด่วน ส่วนเรื่องรับประกันความเสี่ยง แม้รัฐบาลจะออกข่าวหลายครั้งว่า ให้ธสน.รับประกันความเสี่ยงให้ผู้ส่งออกมากขึ้น แต่จนถึงขณะนี้ แทบไม่เกิดผลเป็นรูปธรรมเลย มีผู้ส่งออกน้อยมาก ที่ธสน.รับประกันความเสี่ยงให้” นายพงษ์ศักดิ์กล่าว
อย่างไรก็ตาม หากรัฐบาลสามารถดูแลให้ค่าเงินบาทอ่อนลงได้ทุกๆ 1 บาท/เหรียญสหรัฐ จะทำให้การส่งออกขยายตัวดีขึ้น ส่งผลให้อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจไทยในปีนี้เพิ่มขึ้นได้ 0.3% และเกิดการจ้างงานเพิ่มอีก 110,000 คน ส่วนหากธนาคารพาณิชย์ปล่อยสินเชื่อเพิ่มขึ้นได้ 25,000 ล้านบาท จะทำให้การลงทุนขยายตัวดีขึ้น ส่งผลให้เศรษฐกิจขยายตัวเพิ่มขึ้น 0.03% และเกิดการจ้างงานเพิ่มขึ้นอีก 10,000 คน
