xs
xsm
sm
md
lg

"มาร์ค"รอชี้ขาดรถเมล์ฉาว ยันต้องโปร่งใส-หากยังมีข้อกังขารัฐบาลพัง

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวตอนหนึ่งในรายการ “เชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯ อภิสิทธิ์” เมื่อวานนี้ (7มิ.ย.) ถึงการแก้ปัญหาการขาดทุน ขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.)ว่า เรื่องของรถเมล์ เราคงไม่สามารถที่จะปล่อยให้ ขสมก. ดำเนินการ หรือให้บริการประชาชนอย่างที่เป็นอยู่นี้ไปเรื่อยๆ เพราะว่า นอกจากจะขาดทุนแล้วบริการที่พี่น้องประชาชนได้รับในขณะนี้ยังไม่ดีพอ
ทั้งนี้ สิ่งที่รัฐบาลต้องการจะทำคือ ต้องการปฏิรูปตรงนี้ ซึ่งหมายถึงการทำหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการปรับปรุงตัวรถที่จะมาวิ่งให้เป็นรถใหม่ ให้เป็นรถที่ใช้พลังงานที่สะอาด อย่างเช่น NGV ให้เป็นรถที่มีระบบตั๋วที่ทันสมัยเป็นระบบตั๋วอิเล็กทรอนิกส์ และวันข้างหน้าจะได้ไปเชื่อมโยงกับตั๋วของรถไฟฟ้าได้ ให้เป็นระบบที่มีการวิ่งในเส้นทางซึ่งจะป้อนเข้าสู่ขนส่งมวลชนอื่นได้ด้วย มีระบบค่าโดยสารที่จะจูงใจให้คนมาใช้มากขึ้น
แต่ปัญหาก็มีอยู่ว่า การจัดหารถเพื่อที่จะเข้ามาทำบริการตรงนี้ เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์มาโดยตลอด เริ่มจากการเสนอโครงการเข้ามาเป็นรถเมล์ที่จะเช่า 6,000 คัน เป็นเงินถึง 110,000 ล้านบาท ก็มีการทักท้วงกัน คณะรัฐมนตรี (ครม.)ในขณะนั้นก็มอบให้ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ ซึ่งขณะนั้นก็เป็นรองนายกรัฐมนตรี ไปพิจารณาดู ท่านก็เสนอว่าน่าจะลดลงเหลือ 4,000 คัน และก็ลดเงินลงมาเหลือประมาณ 69,000 ล้านบาท เมื่อมาถึงรัฐบาลนี้ ก็มีการนำเสนอข้อสรุปตรงนี้เข้ามา แต่ก็มีข้อสังเกตของรัฐบาลว่ายังมีตัวเลขบางตัวซึ่งมีข้อโต้แย้งอยู่ เช่น เรื่องค่าซ่อม เรื่องดอกเบี้ย ก็ได้มอบหมายให้กระทรวงคมนาคมไปร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ลองไปดูตัวเลขตรงนี้
เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ก็มีการรายงาน กลับเข้ามา แต่ก็ยังพบว่ายังมีตัวเลขบางตัวซึ่งยังเห็นไม่ตรงกันอยู่ในระหว่างหลายหน่วยงาน แต่ได้มีการปรับลดลงไปอีก 5,000 ล้านบาท เหลือ 64,000 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม ก็มีเสียงท้วงติงวิพากษ์วิจารณ์ว่า ตรงนี้แพงไปหรือไม่ ในแง่ที่ว่าถ้าเราลองพิจารณาวิธีอื่นที่ไม่ใช่วิธีเช่า จะเป็นซื้อ จะเป็นเช่าซื้อ หรือจะเป็นวิธีการใดแล้วจะดีกว่าหรือไม่ ตนก็อยากจะบอกว่า จริงๆ แล้วทั้งสองฝ่ายมีเหตุมีผล ฝ่ายที่เสนอให้เช่า ก็บอกว่าถ้าไปซื้อมาแล้วก็การบริหารจัดการไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงมันก็ซ้ำรอยเดิม แล้วก็จะทำให้มีการเสียเงินในเรื่องของการซ่อมบำรุงค่อนข้างมาก สภาพรถก็จะเสื่อมโทรมอย่างรวดเร็ว แต่ฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกับการเช่า ยังยืนยันว่าตัวเลขตรงนี้น่าจะแพงเกินไป และวิธีอื่นน่าจะถูกกว่า
"ดังนั้นครม.จึงมอบหมายให้คณะกรรมการของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจ และสังคมแห่งชาติ (สศช.) อันนี้เป็นตัวคณะกรรมการนะครับ ไม่ใช่ตัวสำนักงาน เพราะฉะนั้นมีคนไปวิพากษ์วิจารณ์ บอกว่า ส่งไปให้สำนักงานเป็นข้าราชการ จะสั่งกันได้ ไม่ใช่นะครับ อันนี้เป็นตัวคณะกรรมการ ซึ่งประกอบไปด้วยผู้ทรงคุณวุฒิ ซึ่งรายชื่อท่านตรวจสอบได้เลย ท่านอาจารย์พนัส สิมะเสถียร เป็นประธานอยู่ ผมคิดว่าจะสามารถดูเรื่องนี้ได้อย่างเป็นกลาง ใครมีข้อมูลอะไรสามารถส่งไปให้คณะกรรมการชุดนี้ได้ ให้เวลาไว้ 1 เดือน และจะนำข้อสรุปข้อเสนอแนะกลับมาให้รัฐบาลเพื่อตัดสินใจต่อไป" นายกรัฐมนตรี กล่าว
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ตนยืนยันว่าหลักที่ใช้ในการทำงานคือ ประโยชน์สูงสุดของส่วนรวม ประโยชน์สูงสุดของประเทศ ประโยชน์สูงสุดของพี่น้องประชาชน เพราะฉะนั้นขอให้มั่นใจตรงนี้ และใครที่มีความคิดเห็นอะไร ขอให้สะท้อนมาได้ รัฐบาลยินดีที่จะรับฟัง แล้วเราต้องแก้ปัญหากันด้วยเหตุด้วยผล ข้อสรุปต่างๆ ออกมาเป็นอย่างไร ตนจะอธิบาย และรัฐบาลทั้งคณะต้องรับผิดชอบด้วยกัน แนวทางนี้เท่านั้น จะเป็นแนวทางของการแก้ไขปัญหาที่คิดว่า สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของการปกครองในระบอบประชาธิปไตย และจะเป็นหลักประกันที่ดีที่สุดในการดูแลรักษาผลประโยชน์ของส่วนรวมประเทศ ชาติและประชาชน
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี ยอมรับว่า การชะลอโครงการต่างๆอาจจะกระทบความสัมพันธ์พรรคร่วมบ้าง แต่อย่าใช้ประโยชน์ทางการเมืองเป็นเครื่องตัดสิน ไม่ได้คำนึงว่าข้อเสนอของพรรคไหน แต่ขอให้ยึดประโยชน์ของประชาชนเป็นที่ตั้ง อย่าให้เกิดข้อกังขา ไม่เช่นนั้นรัฐบาลจะบริหารบ้านเมืองไม่ได้

**ครม.ต้องตัดสินหลังสภาพัฒน์สรุป
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าในช่วงที่ 2 ของรายการ ทางทีมงานของรายการได้เชิญนางสาวสโรชา พรอุดมศักดิ์ ผู้ดำเนินรายการจากสถานีโทรทัศน์ ASTV มาทำหน้าที่พิธีกร ซักถามนายกรัฐมนตรี โดยนางสาวสโรชา ถามว่า ล่าสุดมีแนวคิดจากนายกรณ์ จาติกวณิชย์ รมว.คลังว่าอาจจะมีการออกพันธบัตรระดมทุน และจัดตั้งเป็น SPV (นิติบุคคลเฉพาะกิจ) ขึ้นมาบริหารจัดการเรื่องรถเมล์เอ็นจีวี นายกฯ กล่าวว่า ก็มีการพูดกันในครม. คือประเด็นปัญหาเรื่องจะเช่า จะซื้อ หรือจะเช่าซื้อ จะต้องกู้หรือจะออกพันธบัตร หรือจะทำองค์กรพิเศษนี้ คือมันล้วนแล้วแต่เป็นทางเลือกที่เป็นไปได้ทั้งสิ้น และแต่ละทางเลือกก็มีจุดแข็ง จุดอ่อน ที่แตกต่างกันไป
"สิ่งที่สำคัญคือว่า ที่ผ่านมานี้บางทีเราอาจจะไปดูเฉพาะเป็นรายละเอียดของเรื่องมากกว่าการดูทางเลือกภาพใหญ่ ทีนี้การดูทางเลือกภาพใหญ่ก็จำเป็น เพราะว่าเมื่อมีการทักท้วงว่าเราจะต้องใช้เงินมากถึง 6.4 หมื่นล้าน หรือ ก็ต้องไปดูว่า แล้วแนวทางอื่นถูกกว่าหรือไม่ ถูกกว่าแล้วป้องกันปัญหาที่เรากลัวว่ามันจะซ้ำรอยกับที่ผ่านมาหรือไม่ อันนี้ก็เป็นช่องทางหนึ่ง ก็เป็นความคิดที่ทางท่านรมว.คลัง มาเสนอในช่วงประมาณ 1 อาทิตย์แล้ว แต่ว่ามันก็ค่อนข้างกระชั้น และมันก็ยังไม่สามารถที่จะมาพิจารณาได้ โดยเทียบเคียงกับข้อเสนอเดิม เพราะฉะนั้นวันนี้ เมื่อเราให้ทางกรรมการของสภาพัฒน์ฯ เขาไปดู 1 เดือน ทางเลือกทั้งหมด ผมว่าจะมีเวลาในการที่จะมาไล่เพื่อที่จะเปรียบเทียบ และหาสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับประชาชน"นายกรัฐมนตรีกล่าว
เมื่อถามว่า เมื่อได้คำตอบกลับจากสภาพัฒน์ฯแล้ว จะทำอย่างไรต่อ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ก็ต้องเข้าครม. แล้วตัดสินใจกัน เมื่อถามว่าสภาพัฒน์ฯไม่ใช่คำตอบสุดท้าย ถ้ากลับมาว่าจะต้องซื้อแทนเช่า นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า คือสภาพัฒน์ฯ เข้ามา สมมติกลับมาต้องซื้อ ก็ต้องเสนอมาให้ครม. อนุมัติให้ซื้อ กรณีซื้อนี้ถ้าครม. อนุมัติให้ซื้อ ต้องถือว่าเป็นการ เป็นงบลงทุนของ ขสมก. มันก็จะต้องไปตามกฎหมาย ก็คือว่าจะต้องไปให้ทางหน่วยงานต่างๆ เขาให้ความเห็นชอบ อันนี้ก็เป็นขั้นตอนปกติ ถ้าบอกว่าเป็นเช่าซื้อ ถ้าบอกว่าเป็น SPV เป็นอะไร ก็ต้องมาดูว่า ขั้นตอนของกฎหมาย คืออะไร แต่ว่าตนคิดว่าหลังจาก 1 เดือน สภาพัฒน์ฯ ทำการเปรียบเทียบมา ถ้าสมบูรณ์แล้วรัฐบาลก็ต้องตัดสินใจว่าจะเอาอย่างไร
เมื่อถามว่าจะทำประชาพิจารณ์หรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ช่วงนี้ก็มีหน่วยงานที่เขาบอกเขาจะทำประชาพิจารณ์ ซึ่งก็ดี เมื่อมีข้อมูล ข้อสรุป หรือการประมวลความคิดเห็นอย่างไร ก็ส่งไปให้ทางกรรมการของสภาพัฒน์ เขาก็จะได้สามารถได้ข้อมูลที่ครบถ้วนรอบด้าน ตนต้องยอมรับข้อมูลของแต่ละฝ่ายก็จะยังไม่ตรงกันอยู่ เมื่อถามว่าตอนนี้เข้ามาเยอะมาก ต่างทิศต่างทาง นายกฯ กล่าวว่า ใช่ครับ นั่นก็เป็นเหตุผลหนึ่งว่าทำไมเราถึงต้องให้ทางสภาพัฒน์ฯไปดู เพราะว่าตัวเลขต่างๆยังมีการโต้แย้งกันอยู่มาก

**ไม่ห่วงภท.ขึ้นคัตเอาต์หาเสียง
ด้านนพ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีพรรคภูมิใจไทย เตรียมขึ้นคัตเอาต์ว่า เป็นผู้ผลักดันโครงการรถเมล์เอ็นจีวี 4 พันคัน จะส่งผลกระทบต่อฐานเสียงของพรรคประชาธิปัตย์ ในกทม.หรือไม่ว่า จากข่าวที่ปรากฏ เขาพูดชัดว่ามีความตั้งใจที่จะมีผลงาน ซึ่งการแข่งขันกันที่นโยบาย โครงการ และผลงานที่โปร่งใส และเป็นประโยชน์ ประชาชนคน กทม. จะได้รับประโยชน์ ซึ่งที่ผ่านมา แกนนำพรรคภูมิใจไทย ได้เคยระบุว่ามีความตั้งใจแสดงผลงานให้เป็นที่ประจักษ์แก่ชาวกทม. จึงถือว่าเป็นเรื่องที่ดี ที่รัฐมนตรีจากพรรคภูมิใจไทย จะเปิดเวทีประชาพิจารณ์ รับฟังความเห็นจากประชาชน ซึ่งจะทำให้สังคมสบายใจว่า โครงการนี้ยึดมั่นประโยชน์ส่วนรวมและความโปร่งใส และความเห็นชอบร่วมกันของรัฐบาล
ผู้สื่อข่าวถามว่า การขึ้นคัตเอาต์ดังกล่าวเป็นเพราะพรรคภูมิใจไทย ระแวงว่าจะถูกพรรคประชาธิปัตย์ ขโมยผลงานใช่หรือไม่ นพ.บุรณัชย์ กล่าวว่า หลักของนายกรัฐมนตรี พูดชัดว่าเป็นความรับผิดชอบร่วมกัน และผลงานบางทีก็แยกไม่ออก ว่าเป็นผลงานของรัฐบาล แต่ส่วนที่เป็นนโยบายของพรรคร่วมรัฐบาลหลายส่วนก็สืบเนื่องมากจากตั้งแต่ก่อตั้งรัฐบาล เช่น นโยบายของพรรคประชาธิปัตย์ ในเรื่องการเรียนฟรี 15 ปี แผนปฏิบัติการ 99 วันทำได้จริง จึงไม่แปลกที่โครงการของแต่ละพรรคเมื่อผ่านการกรั่นกรองร่วมกันของรัฐบาลและพรรคร่วมรัฐบาลแล้ว ก็ถือว่าเป็นโครงการที่รัฐบาลทำทั้งชุด แต่ที่มาของโครงการอาจจะมาจากแต่ละพรรคการเมืองที่เป็นพรรคร่วมรัฐบาลได้
อย่างไรก็ตาม เรื่องวิธีของการเช่ารถเมล์ พรรคภูมิใจไทย ได้เสนอมาตั้งแต่รัฐบาลที่แล้ว จึงไม่มีปัญหาว่า สูตรของการเช่า 4 พันคัน ก็เป็นแนวทางที่พรรคร่วมรัฐบาลเห็นว่าเป็นแนวทางที่ดีที่สุด แต่รัฐบาลโดยรวมก็เห็นว่า จะต้องมาเปรียบเทียบกับวิธีการอื่น ซึ่งกระทรวงการคลัง ก็เสนอรูปแบบอื่นขึ้นมา ดังนั้นจึงเป็นเหตุผลที่แต่ละฝ่ายจะต้องเสนอทางเลือกให้ครม.เป็นผู้พิจารณา
การขึ้นคัตเอาต์ ดังกล่าว ตนไม่ได้มองว่าเป็นการบีบสภาพัฒน์ฯ เพราะเป็นการขึ้นคัตเอาต์ ในส่วนของนโยบายพรรค แต่แนวทางนโยบายของพรรคต้องผ่านครม. เมื่อพรรคนั้นเป็นพรรคร่วมรัฐบาล เหมือนกับโครงการของพรรคประชาธิปัตย์ ที่ต้องนำเสนอครม.เช่นกัน จึงจะเกิดเป็นจริง ซึ่งประชาชนก็รับทราบว่ามีที่มาจากที่ใด
กำลังโหลดความคิดเห็น