นายกฯ ปฏิเสธข้อครหามติ ครม.ซื้อเวลาโครงการรถเมล์เช่า ตั้งธงให้ “สภาพัฒน์” ศึกษาจัดซื้อหรือเช่าอย่างไหนดีกว่า ภายใต้กรอบต้องโปร่งใสเป็นอันดับแรก ไม่ติดใจหากจะเสนอดึงบุคลากรอื่นเข้าร่วมคณะกรรมการ ไม่ขอเคลียร์ใจภูมิใจไทย ชี้เบรกโครงการเพราะมีเหตุผล
คลิกที่นี่ เพื่อฟัง นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ให้สัมภาษณ์
วันนี้ (4 มิ.ย.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกรณี 40 ส.ว.ต้องการให้ยืดระยะเวลาศึกษาการเช่ารถเมล์ 4,000 คันออกไปเป็นเวลา 3 เดือน และต้องการให้หน่วยงานอื่นเข้ามาศึกษาด้วยว่า ขณะนี้เราไม่ได้เจาะจงไปที่ตัวสำนักงานเราส่งไปที่คณะกรรมการของสภาพัฒน์ ซึ่งตนคิดว่ามีทั้งผู้มีประสบการณ์มีความเชี่ยวชาญและน่าจะมีเครือข่าย หากให้เวลาเขา 1 เดือนไปศึกษา ถ้ามีความจำเป็นอะไรในแง่ที่จะต้องดึงฝ่ายอื่นๆ เข้ามาก็สามารถรายงานเข้ามาได้ เรายินดีอยู่แล้ว ส่วนข้อเสนอการทำประชาพิจารณ์นั้น ตนเห็นว่าเรื่องการปรับปรุงรถเมล์น่าจะเป็นสิ่งที่ทุกคนจะยอมรับได้ เพราะสภาพของการบริการและปัญหาของ ขสมก. มั่นใจว่าไม่มีใครคิดว่าควรจะปล่อยให้เป็นอย่างนี้ไปไม่จบไม่สิ้น ฉะนั้น อย่างไรก็ต้องมีการเปลี่ยนแปลง เมื่อจะมีการเปลี่ยนแปลงสิ่งที่มีความต้องการของคน คือ รถที่ใหม่ สะอาด และบริการที่ดี ระบบที่สะดวกเชื่อมโยงกับขนส่งมวลชนอื่นได้ในอนาคต คิดว่าประเด็นเหล่านี้ คงไม่มีความจำเป็นต้องมาตั้งคำถามว่าควรทำหรือไม่ เหมือนกับติดอยู่ประเด็นเดียวว่า การจะได้รถที่จะมาเข้าสู่ระบบนี้วิธีการที่จะจัดหามาวิธีใดดีที่สุดก็เท่านั้นเอง
ผู้สื่อข่าวถามว่า ยังมองว่าปัญหาอยู่ที่วิธีการเช่า หรือการซื้อ แต่ประชาชนมองว่าปัญหาครั้งนี้อาจจะมีการแสวงหาประโยชน์จะให้คำตอบอย่างไร นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ประเด็นอยู่ที่ว่า การเช่าหรือการซื้ออันไหนคุ้มค่าที่สุด และไปวิธีไหนแล้วก็ต้องไปสู่กระบวนการที่โปร่งใสที่สุด สมมติว่าในเชิงการบริหารดูแล้วว่าการซื้อดีกว่าเช่า ประเด็นไม่ได้หมายความว่าซื้อราคาไหนก็ได้อยู่ดี ต้องมีกระบวนการที่โปร่งใส ว่าควรจะซื้อที่ราคาไหนและต้องไปตรวจสอบตรงนั้นอีกที
เมื่อถามว่าจะให้ความมั่นใจต่อประชาชนได้อย่างไรว่านักการเมืองตกลงกันได้ ไม่ใช่เพราะประชาชน นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า เวลานี้ไม่ใช่เรื่องนักการเมืองเป็นเรื่องที่ให้ทางคณะกรรมการสภาพัฒน์ดูในเชิงเทคนิคการบริหารว่าวิธีการใดดีที่สุด เมื่อถามว่า หมายความว่าถ้าจะเดินหน้าโครงการนี้เรื่องความโปร่งใสต้องมาเป็นอันดับแรก นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า แน่นอน เราเน้นย้ำตรงนั้นอยู่แล้ว เมื่อถามว่าทำไมรัฐบาลไม่มีนโยบายในใจของตัวเอง นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ตนไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญที่จะตอบได้ว่า เช่า หรือซื้อ ดีกว่ากัน มันมีข้อดีข้อเสีย ซื้อก็เป็นสินทรัพย์ของเรา ขณะเดียวกันปัญหาที่ผ่านมาระบบการซ่อมบำรุงดูแลก็มีปัญหาอย่างที่เป็นอยู่ ถ้ามีคนมารับผิดชอบทุกอย่างได้ก็เป็นข้อดี ขณะเดียวกัน ความยืดหยุ่นความคล่องตัวน้อยกว่า ถ้าจะปรับเปลี่ยนอะไร ฉะนั้น มีทั้งข้อดี ข้อเสีย เวลาที่เขาศึกษามาก่อนหน้านี้ก็ไม่สามารถบ่งชี้ได้ ว่าวิธีไหนดีกว่ากัน
เมื่อถามว่า ขณะนี้ถูกมองว่ารัฐบาลยืดปัญหาดองไปเรื่อยๆ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า เดือนเดียว ความจริงเรื่องนี้ค้างมานาน เรื่องนี้พูดกันมาตั้งแต่ต้น หรือกลางปีที่แล้ว และมีปัญหาเรื่องตัวเลขมาโดยตลอด เมื่อมาถึงรัฐบาลนี้พอเสนอเข้ามา 2 สัปดาห์ เราไปไล่ดูตัวเลขในส่วนของการเช่าก็ลดลงไปได้ถึง 5 พันล้าน แต่ยังมีข้อสงสัยว่าซื้อจะดีกว่านี้ไหม ต้องไปดู เมื่อถามว่า พรรคภูมิใจไทยมีการตั้งแง่ว่าการไม่ผ่านโครงการนี้เป็นเพราะพรรคประชาธิปัตย์อยากดึงเรื่องรถเมล์ไปทำเองเพื่อเป็นผลงานของพรรค นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ยังไม่มีการพูดถึงตรงนั้น ความจริงความคิดเรื่องการจะโอนให้ กทม.ถึงขั้นที่เคยมีมติ ครม.ไปแล้ว แต่ทำไม่สำเร็จเพราะมีปัญหาเรื่องหนี้สินที่ค้างอยู่ ส่วนการปฏิรูปองค์กรก็ต้องทำไปด้วย โดยเฉพาะเรื่องระบบตั๋ว ต้องเปลี่ยน และจะมีการเสนอทางออกให้กับพนักงานเพราะต้องมีการปรับเปลี่ยนจำนวนคน พอสมควร เพื่อลดต้นทุน แต่ต้องมีโครงการรองรับตรงนี้ไปพร้อมๆ กับการปรับเปลี่ยนตรงนี้ ฉะนั้นขอยืนยันว่า การทำครั้งนี้ไม่ใช่แค่เรื่องการเปลี่ยนรถอย่างเดียว ต้องเป็นการเปลี่ยนระบบของตัวบริการด้วย เหมือนกับที่ ครม.มีมติเรื่องรถไฟ ว่าต่อไปนี้ตัวการรถไฟ ที่เป็นตัวแม่ ทำเรื่องของราง ส่วนการเดินรถต้องแยกองค์กรออกมา การบริหารเรื่องทรัพย์สินที่ดิน ก็ต้องแยกออกมา ซึ่งเชื่อว่าจะทำให้การขาดทุนลดลงได้เยอะ
เมื่อถามว่า ต้องมีการเคลียร์ใจกับพรรคภูมิใจไทยหรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า คิดว่าทุกอย่างมีเหตุผลชัดเจนอยู่แล้ว และทุกท่านก็ดูเข้าใจดีในที่ประชุม ครม.ไม่เห็นมีข้อโต้แย้งอะไรก็ได้ข้อสรุป เมื่อถามว่า เรื่องความไม่โปร่งใสมีอย่างที่ถูกตั้งข้อสงสัยหรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ขอเรียนว่าเรื่องตัวเลขที่มีการถกเถียงกันเพราะมีความเห็นต่าง เช่น เรื่องดอกเบี้ย และเรื่องค่าซ่อม เป็นปัญหามาก เพราะฝ่ายหนึ่งอิงสภาพ อีกฝ่ายอิงเอาการศึกษาของทางสถาบันพระปกเกล้า ซึ่งความจริงไม่ได้ศึกษาเรื่องนี้โดยตรง แต่ศึกษาเรื่องการกำหนดค่าตอบแทนว่ารัฐควรจะชดเชยเท่าไหร่กรณีที่รถเมล์ให้บริการฟรีหรือต่ำกว่าต้นทุน และยังมีปัญหาเถียงกันอีกว่า การซ่อม มาตรฐานทั้งเรื่องยาง และเรื่องอะไรต่างๆ มีความแตกต่างกัน ซึ่งยังเป็นตัวเลขที่ถกเถียงกันอยู่ แต่ทางกระทรวงยืนยันว่า ได้ปรับลดลงมาถึงที่สุดแล้ว แต่ก็ยังมีคำถามว่า ซื้อถูกกว่าหรือไม่
เมื่อถามว่า หลักการของนายกฯ รักษาความรู้สึกพรรคภูมิใจไทยหรือรักษาความถูกต้อง นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ตนทำในสิ่งที่คิดว่าควรจะได้สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับประชาชนในแง่ของตัว ขสมก. ที่จะต้องฟื้นขึ้นมาให้ได้ และมีบริการรถเมล์ที่ดี นั่นคือเป้าหมายสำคัญที่สุด เมื่อถามว่ามีการเช่าแล้วทำไมยังมีค่าซ่อมบำรุง นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า เป็นการคำนวณตัวเลขรวม ถ้าใช้วิธีเช่า ขสมก.จะไม่ต้องรับผิดชอบ แต่ก็มีการตีราคากันไป เมื่อถามว่าทำไมภาคราชการไม่เสนอความคิดเห็นให้เพราะภาคราชการก็ยังเช่ารถ แม้แต่สำนักนายกฯ ยังเช่าเพราะถูกกว่า นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า มีทั้ง 2 กรณี หลายแห่งเปลี่ยนจากการซื้อมาเป็นการเช่า ขณะเดียวกันเริ่มมีหลายหน่วยงานบ่นว่าแพง ทางกระทรวงยุติธรรมยังยกขึ้นมาพูดในที่ประชุม ครม.ว่า เมื่อเช่าไปสักระยะต้องเริ่มมีการทบทวนว่าซื้อถูกกว่าหรือไม่ ขณะนี้มี 2 ทาง เรื่องการเช่าที่เป็นปัญหาอีกอย่าง คือ ระยะเวลา 10 ปี ดูจะยาวกว่าอายุการใช้งานของรถที่เราคุ้นเคยกัน ส่วนการซื้อก็ยังมีข้อกังวลในเรื่องของการซ่อมบำรุง การรักษารถ ในแบบปัจจุบันการซื้อเริ่มต้นดูถูกกว่า แต่เรื่องค่าซ่อมกว่าจะ 10 ปี อาจจะแพงกว่า ซึ่งมีความเป็นไปได้ จึงต้องให้ดูความชัดเจนว่าวิธีไหนดีที่สุด