สมมติว่า...โครงการรถเมล์เช่า 4,000 คันเจ้าปัญหาวิ่งเข้าจอดป้าย ครม.ในสัปดาห์นี้ได้สำเร็จและครม.ทั้งขณะกระโดดขึ้นรถเมล์ลงมติให้ผ่านได้โดยสะดวก ลองมาคิดเล่นๆ กันมั้ยว่าจะเกิดอะไรขึ้นหลังจากนี้?
ข้อ 1 พรรคประชาธิปัตย์และพรรคภูมิใจไทยจะโกยคะแนนนิยมเพิ่มขึ้นหลังสามารถยุติภาพความขัดแย้ง แสดงออกถึงความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของพรรคร่วมรัฐบาล รัฐบาลมีเสถียรภาพอย่างมาก ไม่เป็นอย่างที่คนภายนอกพยายามกล่าวหา
ข้อ 2 ประชาชนจะพากันสรรเสริญถึงความกล้าหาญในการกล้าตัดสินใจของครม.แม้ว่าโครงการนี้ส่อพิรุธส่งกลิ่นทุจริตเหม็นเน่า แต่เพื่อประโยชน์ของประชาชน และผลกำไรของ ขสมก. ตามที่กระทรวงคมนาคมเจ้าของโครงการบอกต่อสาธารณะ อีกทั้งรองนายกฯ สุเทพ เทือกสุบรรณ ก็อุตส่าห์การันตีว่า ตราบใดโครงการยังไม่เกิดก็จะให้มีทุจริตนั้นเป็นข้อพิสูจน์ที่ชัดเจน ข้อกังวล หวั่นวิตกว่า โครงการนี้จะเป็นโครงการถอนทุนของนักการเมืองจึงเป็นเพียงแค่ ‘ความรู้สึก’ ของประชาชนที่ยังไม่ได้รับข้อมูลเพียงพอ และผู้เสียผลประโยชน์จากโครงการนี้เท่านั้น
ข้อ 3 รัฐบาลนี้จะจบเห่
ข้อ 1 และข้อ 2 เท่าที่จับกระแสดูคงไม่มีใครคิดจะตอบ เพราะไม่ว่าประชาชน สื่อ นักธุรกิจ นักวิชาการ ไม่มีใครเลยที่จะยกมือสนับสนุน ตรงกันข้ามส่วนใหญ่เชื่อว่า เมื่อไหร่ที่รถเมล์เช่า 4 พันคันนี้ผ่าน ครม.ก็รังแต่จะพารัฐบาลวิ่งไปพลิกคว่ำตายทั้งคณะ!
ใครที่เลือกข้อ 3 น่าจะมองช็อตต่อไปว่า รัฐบาลคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หลีกเลี่ยงไม่พ้นพงหนาม ต้องเผชิญชะตากรรมเตรียมรับมหกรรมแสดงออกถึงการคัดค้านอย่างไม่เคยเกิดขึ้นกับโครงการใหญ่แบบนี้นานแล้วหลายต่อหลายกลุ่มที่รุมเร้าเข้ามาร่วมรบกับรัฐบาล
อย่างน้อยในวิถีรัฐสภาตามกรอบรัฐธรรมนูญอย่างเป็นทางการก็ไล่ตั้งแต่กลุ่ม ส.ว.ที่จะยื่นเรื่องให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ตรวจสอบต่อ และแม้แต่จะยื่นถอดถอนนายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี หากยังดื้อดึงจะเอาโครงการนี้
นี่ไม่นับรวมองค์กรเอกชน เครือข่ายภาคประชาชนอีกนับไม่ถ้วนที่ลงชื่อรอจองกฐินยาวเป็นหางว่าว
ทำไมจึงเป็นเช่นนี้?
โครงการเช่ารถเมล์ 4,000 คันนี้ผุดจากความคิดตั้งขึ้นเป็นโครงการมาตั้งแต่สมัยพรรคพลังประชาชน ที่มีนายสมัคร สุนทรเวช เป็นนายกรัฐมนตรี ขณะนั้นคนที่ผลักดันก็เป็นกลุ่มนายเนวิน ชิดชอบ และพวกซึ่งเป็นคนสนิทใกล้ชิดนายสมัครหรือรู้จักกันดีในกลุ่ม “แก๊งออฟโฟร์” ส่วนพรรคประชาธิปัตย์ที่เป็นฝ่ายค้านอยู่ขณะนั้นก็คัดค้านโครงการนี้สุดฤทธิ์
คนทั่วไปย่อมคาดหวังมาตรฐานจริยธรรมที่สูง และรับไม่ได้หากพรรคประชาธิปัตย์จะกลับลำหนุนส่งโครงการที่ตัวเองสร้างความเข้าใจให้มวลชนว่า เป็นโครงการที่ส่อเค้าน่าสงสัย และการที่ข้อมูลของโครงการนี้แพร่กระจายมีผู้รู้ในโครงการนี้อย่างกว้างขวาง ขณะที่สื่อ คอลัมนิสต์ นักวิชาการ ส.ว.พากันชำแหละตีแผ่ความไม่ชอบมาพากลออกมาเป็นระยะๆ
เมื่อประเมินแล้วใครๆ จึงพากันเข้าใจได้ (ยกเว้นรัฐมนตรีของพรรคภูมิใจไทย) ก็คือ โครงนี้ทั้งแพงเกินจริง เชื่อได้ว่ามีผลประโยชน์แอบแฝง เพราะมีข้อพิรุธให้จับผิดได้แทบทุกจุด
อาทิ ค่าตัวรถ ค่าซ่อม ตัวเลขรายได้ ผลกำไร รวมถึงสัญญาที่ผูกพันนานเกินเหตุ รวมๆ แล้วไม่มีเหตุผลสักข้อที่พอฟังขึ้น
อุปมาเหมือนกับสินค้ามีตำหนิมาตั้งแต่ต้นแล้วพ่อค้ารายนี้ยังหน้าด้านจะมายัดเยียดเสนอขายในราคาแพง …เป็นใครก็รับไม่ได้ทั้งนั้น!!
สมัยที่โครงการนี้เพิ่งเกิดและถูกดันเข้า ครม.สมัคร และนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกฯ ที่ไม่เคยได้ทำงานในทำเนียบฯ ในเวลาต่อมา เรื่องนี้พอถูกทักเข้าก็ถอยหลังใหม่ รัฐมนตรีที่รับผิดชอบก็นำกลับไปแก้ไขใหม่ ปรับลดตัวเลขให้ตัวเงินลดลง เพื่อให้ดูว่าใช้งบประมาณน้อยลง
เดิมทีโครงการมีมูลค่าสูงมากนับแสนล้าน ปัจจุบันจึงลดลงเหลือ 67,000 ล้านบาท
ทว่า แม้เปลี่ยนเนื้อหาใหม่ แต่ไส้ในก็ยังเหมือนเดิม ไม่ต่างอะไรเลยกับบทเพลงที่แม้แปลงเนื้อร้องใหม่แต่หากยังใช้ทำนองเดิม ใครๆ ก็ฟังออกว่านี่คือ โครงการหวังกิน ตะกรุมตะกรามแบบไอ้เสือเอาวาตามแบบฉบับของนักการเมืองยุคเก่า!
ทางออกโครงการนี้ในสายตาประชาชนดูตีบตันมาก แต่สำหรับนักการเมืองยังพยายามผลักดันงัดวิชาก้นหีบทุกท่าออกมาใช้ และไม้ตายที่นิยมใช้กันคือ บีบคอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยตรง กรณีนี้คือ ขสมก ออกมาพูดชี้นำให้เห็นประโยชน์ของโครงการ
ดังนั้น เราจึงได้เห็นนายปิยะพันธ์ จัมปาสุต ประธานบอร์ด ขสมก. ออกแถลงข่าวด่วนเมื่อวันจันทร์ (1 มิ.ย.) ทันที
เขาระบุว่า การจัดเช่ารถเมล์ถือเป็นแนวทางที่ดีที่สุด และจำเป็นต่อการฟื้นฟูสถานะของ ขสมก. ที่ขณะนี้ขาดทุนสูงกว่า 6,000 ล้านบาท และจะมีผลขาดทุนสะสมมากกว่า 100,000 ล้านบาท ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า
การจัดเช่ารถทำให้องค์กรไม่ต้องแบกรับภาระค่าซ่อมบำรุง ตลอดอายุ 10 ปีของสัญญา แต่การจัดซื้อจะมีหลักประกันซ่อมบำรุงเพียง 3 ปีแรก ขณะที่ตัวเลขที่มีการเช่ารถ 4,657 บาท/คัน/วันก็เป็นราคาที่เหมาะสม
คำพูดของประธานบอร์ด ขสมก. ก็บังเอิญไปสอดรับกับนายโสภณ ซารัมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ที่เปิดเผยในวันเดียวกันว่า ในวันที่ 3 มิถุนายนนี้ ยังยืนยันนำเรื่องโครงการเช่ารถเมล์ NGV 4,000 คัน เข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ตามที่ ครม.ได้เคยตั้งเวลา 2 สัปดาห์ในการทบทวนโครงการ ทั้งนี้แม้ ครม.จะไม่อนุมัติโครงการก็ยอมรับได้แต่อยากให้ทุกฝ่ายยอมรับว่า โครงการดังกล่าวจะเป็นการช่วยฟื้นฟู ขสมก. ที่ขณะนี้มีปัญหาหนี้สินอยู่เป็นจำนวนมาก
สรุปเหลือเหตุผลเดียวที่ต้องทำ ไม่ทำไม่ได้คือ ขสมก.จะขาดทุน เงินภาษีของประชาชนจะถูกปูยี้ปูยำ นักการเมืองจะโกงจะกินก็คุ้ม? งั้นหรือ
ว่าไปแล้ว ...ละครซี่รีส์นี้เดินมาถึงฉากสำคัญ เหตุการณ์ก็กำลังสุกงอมเพียงพอแล้วล่ะที่จะให้ผู้กำกับได้เลือกฉากจบว่าจะให้เป็นอย่างไร จะจบแบบทิ้งปริศนาเอาไว้ให้คิดอีกว่า รถเมล์ 4,000 คันจะยังมีภาคต่อให้ดูอีก รอกระแสซาแล้วค่อยกลับเข้า ครม.ใหม่แบบเงียบๆ หรือว่าจบแบบชัดเจน ล้มเลิกโครงการแล้วหาวิธีใหม่ที่ชาติและประชาชนได้ประโยชน์
3 มิถุนายนนี้ คำตอบอยู่ที่คนชื่อ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เท่านั้น.
ข้อ 1 พรรคประชาธิปัตย์และพรรคภูมิใจไทยจะโกยคะแนนนิยมเพิ่มขึ้นหลังสามารถยุติภาพความขัดแย้ง แสดงออกถึงความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของพรรคร่วมรัฐบาล รัฐบาลมีเสถียรภาพอย่างมาก ไม่เป็นอย่างที่คนภายนอกพยายามกล่าวหา
ข้อ 2 ประชาชนจะพากันสรรเสริญถึงความกล้าหาญในการกล้าตัดสินใจของครม.แม้ว่าโครงการนี้ส่อพิรุธส่งกลิ่นทุจริตเหม็นเน่า แต่เพื่อประโยชน์ของประชาชน และผลกำไรของ ขสมก. ตามที่กระทรวงคมนาคมเจ้าของโครงการบอกต่อสาธารณะ อีกทั้งรองนายกฯ สุเทพ เทือกสุบรรณ ก็อุตส่าห์การันตีว่า ตราบใดโครงการยังไม่เกิดก็จะให้มีทุจริตนั้นเป็นข้อพิสูจน์ที่ชัดเจน ข้อกังวล หวั่นวิตกว่า โครงการนี้จะเป็นโครงการถอนทุนของนักการเมืองจึงเป็นเพียงแค่ ‘ความรู้สึก’ ของประชาชนที่ยังไม่ได้รับข้อมูลเพียงพอ และผู้เสียผลประโยชน์จากโครงการนี้เท่านั้น
ข้อ 3 รัฐบาลนี้จะจบเห่
ข้อ 1 และข้อ 2 เท่าที่จับกระแสดูคงไม่มีใครคิดจะตอบ เพราะไม่ว่าประชาชน สื่อ นักธุรกิจ นักวิชาการ ไม่มีใครเลยที่จะยกมือสนับสนุน ตรงกันข้ามส่วนใหญ่เชื่อว่า เมื่อไหร่ที่รถเมล์เช่า 4 พันคันนี้ผ่าน ครม.ก็รังแต่จะพารัฐบาลวิ่งไปพลิกคว่ำตายทั้งคณะ!
ใครที่เลือกข้อ 3 น่าจะมองช็อตต่อไปว่า รัฐบาลคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หลีกเลี่ยงไม่พ้นพงหนาม ต้องเผชิญชะตากรรมเตรียมรับมหกรรมแสดงออกถึงการคัดค้านอย่างไม่เคยเกิดขึ้นกับโครงการใหญ่แบบนี้นานแล้วหลายต่อหลายกลุ่มที่รุมเร้าเข้ามาร่วมรบกับรัฐบาล
อย่างน้อยในวิถีรัฐสภาตามกรอบรัฐธรรมนูญอย่างเป็นทางการก็ไล่ตั้งแต่กลุ่ม ส.ว.ที่จะยื่นเรื่องให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ตรวจสอบต่อ และแม้แต่จะยื่นถอดถอนนายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี หากยังดื้อดึงจะเอาโครงการนี้
นี่ไม่นับรวมองค์กรเอกชน เครือข่ายภาคประชาชนอีกนับไม่ถ้วนที่ลงชื่อรอจองกฐินยาวเป็นหางว่าว
ทำไมจึงเป็นเช่นนี้?
โครงการเช่ารถเมล์ 4,000 คันนี้ผุดจากความคิดตั้งขึ้นเป็นโครงการมาตั้งแต่สมัยพรรคพลังประชาชน ที่มีนายสมัคร สุนทรเวช เป็นนายกรัฐมนตรี ขณะนั้นคนที่ผลักดันก็เป็นกลุ่มนายเนวิน ชิดชอบ และพวกซึ่งเป็นคนสนิทใกล้ชิดนายสมัครหรือรู้จักกันดีในกลุ่ม “แก๊งออฟโฟร์” ส่วนพรรคประชาธิปัตย์ที่เป็นฝ่ายค้านอยู่ขณะนั้นก็คัดค้านโครงการนี้สุดฤทธิ์
คนทั่วไปย่อมคาดหวังมาตรฐานจริยธรรมที่สูง และรับไม่ได้หากพรรคประชาธิปัตย์จะกลับลำหนุนส่งโครงการที่ตัวเองสร้างความเข้าใจให้มวลชนว่า เป็นโครงการที่ส่อเค้าน่าสงสัย และการที่ข้อมูลของโครงการนี้แพร่กระจายมีผู้รู้ในโครงการนี้อย่างกว้างขวาง ขณะที่สื่อ คอลัมนิสต์ นักวิชาการ ส.ว.พากันชำแหละตีแผ่ความไม่ชอบมาพากลออกมาเป็นระยะๆ
เมื่อประเมินแล้วใครๆ จึงพากันเข้าใจได้ (ยกเว้นรัฐมนตรีของพรรคภูมิใจไทย) ก็คือ โครงนี้ทั้งแพงเกินจริง เชื่อได้ว่ามีผลประโยชน์แอบแฝง เพราะมีข้อพิรุธให้จับผิดได้แทบทุกจุด
อาทิ ค่าตัวรถ ค่าซ่อม ตัวเลขรายได้ ผลกำไร รวมถึงสัญญาที่ผูกพันนานเกินเหตุ รวมๆ แล้วไม่มีเหตุผลสักข้อที่พอฟังขึ้น
อุปมาเหมือนกับสินค้ามีตำหนิมาตั้งแต่ต้นแล้วพ่อค้ารายนี้ยังหน้าด้านจะมายัดเยียดเสนอขายในราคาแพง …เป็นใครก็รับไม่ได้ทั้งนั้น!!
สมัยที่โครงการนี้เพิ่งเกิดและถูกดันเข้า ครม.สมัคร และนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกฯ ที่ไม่เคยได้ทำงานในทำเนียบฯ ในเวลาต่อมา เรื่องนี้พอถูกทักเข้าก็ถอยหลังใหม่ รัฐมนตรีที่รับผิดชอบก็นำกลับไปแก้ไขใหม่ ปรับลดตัวเลขให้ตัวเงินลดลง เพื่อให้ดูว่าใช้งบประมาณน้อยลง
เดิมทีโครงการมีมูลค่าสูงมากนับแสนล้าน ปัจจุบันจึงลดลงเหลือ 67,000 ล้านบาท
ทว่า แม้เปลี่ยนเนื้อหาใหม่ แต่ไส้ในก็ยังเหมือนเดิม ไม่ต่างอะไรเลยกับบทเพลงที่แม้แปลงเนื้อร้องใหม่แต่หากยังใช้ทำนองเดิม ใครๆ ก็ฟังออกว่านี่คือ โครงการหวังกิน ตะกรุมตะกรามแบบไอ้เสือเอาวาตามแบบฉบับของนักการเมืองยุคเก่า!
ทางออกโครงการนี้ในสายตาประชาชนดูตีบตันมาก แต่สำหรับนักการเมืองยังพยายามผลักดันงัดวิชาก้นหีบทุกท่าออกมาใช้ และไม้ตายที่นิยมใช้กันคือ บีบคอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยตรง กรณีนี้คือ ขสมก ออกมาพูดชี้นำให้เห็นประโยชน์ของโครงการ
ดังนั้น เราจึงได้เห็นนายปิยะพันธ์ จัมปาสุต ประธานบอร์ด ขสมก. ออกแถลงข่าวด่วนเมื่อวันจันทร์ (1 มิ.ย.) ทันที
เขาระบุว่า การจัดเช่ารถเมล์ถือเป็นแนวทางที่ดีที่สุด และจำเป็นต่อการฟื้นฟูสถานะของ ขสมก. ที่ขณะนี้ขาดทุนสูงกว่า 6,000 ล้านบาท และจะมีผลขาดทุนสะสมมากกว่า 100,000 ล้านบาท ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า
การจัดเช่ารถทำให้องค์กรไม่ต้องแบกรับภาระค่าซ่อมบำรุง ตลอดอายุ 10 ปีของสัญญา แต่การจัดซื้อจะมีหลักประกันซ่อมบำรุงเพียง 3 ปีแรก ขณะที่ตัวเลขที่มีการเช่ารถ 4,657 บาท/คัน/วันก็เป็นราคาที่เหมาะสม
คำพูดของประธานบอร์ด ขสมก. ก็บังเอิญไปสอดรับกับนายโสภณ ซารัมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ที่เปิดเผยในวันเดียวกันว่า ในวันที่ 3 มิถุนายนนี้ ยังยืนยันนำเรื่องโครงการเช่ารถเมล์ NGV 4,000 คัน เข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ตามที่ ครม.ได้เคยตั้งเวลา 2 สัปดาห์ในการทบทวนโครงการ ทั้งนี้แม้ ครม.จะไม่อนุมัติโครงการก็ยอมรับได้แต่อยากให้ทุกฝ่ายยอมรับว่า โครงการดังกล่าวจะเป็นการช่วยฟื้นฟู ขสมก. ที่ขณะนี้มีปัญหาหนี้สินอยู่เป็นจำนวนมาก
สรุปเหลือเหตุผลเดียวที่ต้องทำ ไม่ทำไม่ได้คือ ขสมก.จะขาดทุน เงินภาษีของประชาชนจะถูกปูยี้ปูยำ นักการเมืองจะโกงจะกินก็คุ้ม? งั้นหรือ
ว่าไปแล้ว ...ละครซี่รีส์นี้เดินมาถึงฉากสำคัญ เหตุการณ์ก็กำลังสุกงอมเพียงพอแล้วล่ะที่จะให้ผู้กำกับได้เลือกฉากจบว่าจะให้เป็นอย่างไร จะจบแบบทิ้งปริศนาเอาไว้ให้คิดอีกว่า รถเมล์ 4,000 คันจะยังมีภาคต่อให้ดูอีก รอกระแสซาแล้วค่อยกลับเข้า ครม.ใหม่แบบเงียบๆ หรือว่าจบแบบชัดเจน ล้มเลิกโครงการแล้วหาวิธีใหม่ที่ชาติและประชาชนได้ประโยชน์
3 มิถุนายนนี้ คำตอบอยู่ที่คนชื่อ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เท่านั้น.