“มาร์ค”เสียงเข้มการเมืองกดดันผมไม่ได้ หลัง “เนวิน-สมศักดิ์” คาใจเตะถ่วงเมล์เอ็นจีวี 4 พัน ลั่นโครงการต้องเกิดแน่ รอสภาพัฒน์ตีประเด็นซื้อ-เช่า ชี้ต้องว่ากันด้วยข้อเท็จจริง ไม่ใช่เรื่องของอารมณ์ ยันปชป.ไม่คิดเป็นพระเอกเอาดีใส่ตัว ระบุงานรัฐบาลทุกงานพรรคร่วมรัฐบาลต้องร่วมรับผิดรับชอบร่วมกัน ไม่ขวางหาก “โสภณ”จะทำประชาพิจารณ์บอกเรื่องดี ย้อน “สมศักดิ์”วิจารณ์ผลงานล้มเหลว เหตุไม่ได้สัมผัสงานรัฐบาลด้วยตัวเอง
คลิกที่นี่ เพื่อฟัง นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ให้สัมภาษณ์
วันนี้(6 มิ.ย.) ที่เมืองทองธานี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่นายเนวิน ชิดชอบ อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย แกนนำกลุ่มเพื่อนเนวิน ออกมาระบุว่า การเช่ารถเมล์เอ็นจีวีน่าจะคุ้มค่ามากกว่าใช้วิธีการซื้อในโครงการเช่ารถเมล์ 4 พัน ที่ได้ให้คณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปศึกษา หลังจากที่นายกฯว่าการซื้อน่าจะดีกว่า ก็เป็นเรื่องที่ทุกฝ่ายต้องให้ข้อมูล ขณะนี้เราก็มีคนกลางที่ไม่มีส่วนได้เสียอะไรศึกษาและให้คำตอบกับรัฐบาล ให้คำตอบกับสังคม ทุกคนก็สามารถเสนอความคิดเห็นได้ มันก็มีข้อมูลคนก็ส่งข้อมูลมาให้เยอะ เชียร์ให้ซื้อก็มี เชียร์ให้เช่าก็มี ก็เป็นเรื่องที่ต้องให้กรรมการสภาพัฒน์ฯประเมินออกมา และเอาสิ่งที่ดีให้กับสังคม
ผู้สื่อข่าวถามว่า แต่ตรงนี้ทางสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจรจะจัดให้มีการสัมมนาในเรื่องนี้ จะทำให้ประเด็นแตกออกไปหรือไม่โดยไม่จบที่สภาพัฒน์ฯ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ทุกคนมีส่วนร่วมได้ เราไปห้ามใครไม่ได้หรอก ทุกคนมีความเห็นได้ แต่ว่าสภาพัฒน์ฯจะทำหน้าที่เป็นหน่วยงานที่มีความเป็นกลาง และจะรวบรวมความเห็น ก็อยากให้ใครก็ตามที่มีความเห็นส่งไปให้สภาพัฒน์ฯ มีข้อมูลก็ส่งไปให้สภาพัฒน์ฯ เพื่อให้สภาพัฒน์ฯมีข้อมูลที่รอบด้านที่สุด เราทำเรื่องนี้เพื่อให้โอกาสกับทุกฝ่าย และให้สังคมได้มีโอกาสทำความเข้าใจว่าการที่จะปรับปรุงขสมก.เดินไปข้างหน้าอะไรที่ดีที่สุด เมื่อถามต่อว่า หากสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) มีข้อสรุปอย่างไรก็สามารถเสนอไปยังสภาพัฒน์ฯได้ นายกฯ กล่าวว่า ก็มิสิทธิมาสรุปได้ ส่วนสภาพัฒน์ฯจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง เมื่อถามอีกว่า แต่ สนข.เองก็ขึ้นตรงกับกระทรวงคมนาคม ตรงนี้ถูกมองได้หรือ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ก็ไม่เป็นไร ก็มีฝ่ายอื่นๆ ที่มีความเห็นก็เสนอไป อย่าไปปิดกั้นการแสดงความคิดเห็น ที่สุดแล้วเราก็ต้องตัดสินใจบนข้อมูลที่สมบูรณ์ที่สุด
ผู้สื่อข่าวถามว่า ทางรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมระบุว่า อาจจะต้องมีการทำประชาพิจารณ์ในเรื่องนี้ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ก็ทำได้ ทำประชาพิจารณ์ก็ยิ่งดี หรือถ้าทุกอย่างทำได้ภายใน 1 เดือนก็ยิ่งดี เพราะมีประชาชนจำนวนมาก็อยากจะแสดงความคิดเห็น แต่ก็ขอให้เป็นเรื่องของการเอาข้อมูลมา และมาเทียบเคียงกัน อย่าใช้อารมณ์ก็แล้วกัน ขอให้เป็นเรื่องของเหตุผลข้อมูลมา จะได้ช่วยให้การตัดสินใจสมบูรณ์ที่สุด
เมื่อถามว่า แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้กลายเป็นประเด็นที่แกนนำพรรคภูมิใจไทยเองก็เริ่มออกมาโจมตีพรรคประชาธิปัตย์ในเรื่องของรถเมล์ว่าพรรคประชาธิปัตย์ต้องการหาเสียงในกทม. เอาความดีไปคนเดียว นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า งานของรัฐบาลก็เป็นงานของทุกพรรครับผิดชอบร่วมกันอยู่แล้ว
“ไม่ว่าจะรับผิดหรือรับชอบก็ต้องรับด้วยกัน ผมอยากย้ำว่า หลายครั้งที่มีประเด็นถกเถียงก็มักจะมาเอาข้อเท็จจริงเอาเหตุผลมาพูดกัน แต่บางทีเป็นเรื่องของอารมณ์ ความรู้สึกกันมาก และเวลาเป็นอย่างนั้นแล้ว จะไม่ได้สิ่งที่ดีที่สุด ขอให้ทุกฝ่ายเอาเรื่องของข้อเท็จจริงมา” นายกฯ กล่าว ผู้สื่อข่าวถามต่อว่า โดยเฉพาะพรรคร่วมรัฐบาลหรือเปล่า นายกฯ กล่าวว่า ทุกคน ทุกฝ่าย
เมื่อถามว่า ประเด็นนี้จะทำให้ปัญหาการทำงานในพรรคร่วมหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ตนยืนยันว่ารัฐบาลจะทำงานโดยยึดประโยชน์ส่วนรวมของประชาชนเป็นที่ตั้ง กรณีนี้คือต้องการมีรถเมล์ที่ดี ที่บริการประชาชน ใช้พลังงานที่สะอาด เป็นรถเมล์ที่อยู่ในสภาพที่ทำให้ให้ประชาชนมีความรู้สึกมั่นใจ และอยากจะใช้ในราคาที่สมเหตุสมผล และรัฐไม่ควรสูญเสียเงินมากเท่าที่ควรจะเสียในการจัดหารถ เป้าหมายตรงนี้ไม่ได้คิดเรื่องอื่น เมื่อถามต่อว่า มั่นใจว่าจะไม่เป็นปัญหาคาใจระหว่างประชาธิปัตย์กับพรรคภูมิใจไทย นายกฯ กล่าวว่า ไม่มีอะไรคาใจ เมื่อถามต่อว่า เป็นไปได้หรือไม่ว่าพรรคร่วมรัฐบาลกำลังมองว่าพรรคประชาธิปัตย์ต้องการเป็นพระเอกอยู่พรรคเดียว นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ไม่มีใครเป็นพระเอกหรอกครับ ทุกคนก็ทำงานอยู่ด้วยกัน รับผิดรับชอบด้วยกันอยู่แล้ว และสิ่งที่เกิดขึ้นในขณะนี้เพื่อต้องการให้สังคมมีความมั่นใจว่า เวลาตัดสินใจแล้วมันมีข้อมูลรองรับผ่านการกลั่นกลองโดยคนที่มีความเป็นกลาง เมื่อถามต่อว่า แต่ดูเหมือนว่า พรรคภูมิใจไทยจะคาใจกับโครงการนี้อยู่ นายกฯ กล่าวว่า เดี๋ยวพอได้คำตอบออกมาก็ไม่มีใครคาใจ
ผู้สื่อถามว่า แสดงว่ายังไงโครงการนี้ต้องเกิดไม่ว่าจะเป็นการซื้อหรือเช่าก็ตาม นายกฯ กล่าวว่า ตนว่าโครงการต้องเกิด เราคงไม่ปล่อยให้ ขสมก.อยู่ในสภาพอย่างวันนี้ไปเรื่อยๆ ทั้งการขาดทุนของตัวองค์กรเอง ทั้งบริการประชาชนที่ต้องได้ดีกว่านี้ ควรจะได้รถเมล์ที่ใหม่และสะอาด ที่ใช้พลังงานอย่างประหยัด ที่สามารถจะป้อนระบบขนส่งมวลชนได้ด้วย ตนคิดว่า ตรงนี้เป็นสิทธิที่คนกรุงเทพฯพึ่งจะได้ด้วย เมื่อถามว่า แสดงว่าโครงการนี้ในรัฐบาลชุดนี้อีก 1-2 เดือนต้องคลอด นายกฯ กล่าวว่า ต้องเดินหน้า ส่วนกรอบเวลาจะขึ้นอยู่กับขั้นตอนอื่นๆ เช่าหรือซื้อก็ตาม ก็ยังมีโครงการต้องไปเปิดประมูลแข่งขัน ถ้าซื้อก็เป็นงบลงทุนด้วย ซึ่งก็ต้องผ่านขั้นตอนของกฎหมายด้วย
ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่นายสมศักดิ์ เทพสุทิน อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย ที่ได้กล่าวในระหว่างไปร่วมงานของพรรคภูมิใจไทยระหว่างการหาเสียง โดยวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของพรรคประชาธิปัตย์ว่า ทำงานร่วมกับพรรคประชาธิปัตย์แล้วรู้สึกว่า ทำให้พรรคร่วมดูไม่ดี ภาพพจน์เสียๆ ไปอยู่ที่พรรคร่วม กับโครงการของพรรคประชาธิปัตย์ก็ไม่ได้เดินหน้าไปไหนเลย นายกอภิสิทธิ์ ไม่ตอบคำถามดังกล่าว แต่ได้กล่าวเพียงว่า “ผมก็ไม่ทราบ เมื่อถามต่อว่า ในพรรคร่วมรัฐบาลด้วยกันเองได้คุยกันบ้างไหม นายกฯ กล่าวว่า ในพรรรคร่วมรัฐบาลหรือเปิดสมัยประชุมสภาวิปรัฐบาลก็จะทำหน้าที่ในการประสานงาน ในทุกสัปดาห์คณะรัฐมนตรีก็ได้มีกาประชุมปรึกษาหารือกันอยู่แล้ว และตนก็เป็นคนที่ทุกคนทราบ เวลามีการประชุมก็เปิดให้ทุกคนแสดงความคิดเห็นเต็มที่อยู่แล้ว เพราะฉะนั้นมีอะไรก็สามารถพูดคุยกันได้อยู่แล้ว
เมื่อถามว่า แต่เสียงที่วิพากษ์วิจารณ์ไม่ใช่คนที่อยู่ในรัฐบาล แต่มีบทบาทในการจัดตั้งรัฐบาล นายกฯ กล่าวว่า อาจเป็นเพราะว่า ท่านไม่ได้มาสัมผัสโดยตรงกับการทำงานก็เป็นได้ เมื่อถามต่อว่า คิดว่าจำเป็นหรือไม่ต้องทำความเข้าใจนอกรอบกับพรรคร่วมรัฐบาลหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า การพบปะก็อยู่เป็นระยะๆ ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ ผู้สื่อข่าวถามต่อว่า ก่อนหน้านี้ตอนจัดตั้งรัฐบาลนายกฯเป็นคนบอกเองว่า จะมีการรับประทานอาหารคุยกันทุกเดือน ตรงนี้จำเป็นต้องทำหรือไม่ เพราะร่วมรัฐบาลเองก็เริ่มคาใจพรรคประชาธิปัตย์ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า คิดว่าก่อนเปิดสมัยประชุมสมัยวิสามัญพรรคต่างๆ ก็ต้องมีการพูดคุยกันอยู่แล้ว เพราะคิดว่าพรรคต่างๆ ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร เพราะงานทุกเรื่องที่เป็นงานใหญ่ๆ เดินหน้าไปได้ มันต้องผ่านการประชุมของครม. ทุกพรรคที่ร่วมรัฐบาลก็มีรัฐมนตรีของพรรคร่วมประชุมอยู่แล้ว เปิดโอกาสให้พูดกันอย่างเต็มที่ แสดงความคิดเห็นอย่างหลากหลาย
ผู้สื่อข่าวถามว่า เป็นไปได้หรือไม่ว่าในช่วงที่มีการหาเสียงเลือกตั้ง หรือช่วงที่ต้องผ่านพรก.กู้เงิน ต้องการที่จะกดดันรัฐบาลเพื่อที่จะมีการแลกเปลี่ยน นายกฯ กล่าวว่า ไม่ทราบๆ “แต่ว่าไม่มีอะไรมากดดันผม มีเรื่องกดดันอย่างเดียวคือปัญหาของประเทศ” เมื่อถามว่า ยังไงเรื่องนี้ก็ต้องศึกษาให้แล้วเสร็จภายใน 1 เดือน นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ก็ 1 เดือนเป็นมติที่ให้ไปสภาพัฒน์ฯ ก็ต้องรายงานกลับ เมื่อถามว่า ตามขั้นตอน 1 เดือนสภาพัฒน์ฯต้องรายงานกลับมา แล้วครม.มีขั้นตอน มีมติที่จะจัดทำสัญญาจะต้องใช้เวลาเท่าไร นายกฯ กล่าวว่า ต้องขึ่นอยู่กับข้อยุตินั้นว่าเป็นอย่างไร แล้วค่อยมากำหนดกันอีกที
เมื่อถามว่า ที่นายกฯบ่นว่าอึดอัด นายกฯ กล่าวย้อนถามว่า ใครอึดอัด ผู้สื่อข่าวตอบกลับไปว่า บ่นว่าอึดอัดเรื่องการทำงานเพื่อประเทศ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ไม่มี ตนเพียงแต่บอกว่า ถามว่ามีคนกดดันตนไหม บอกไม่มี มีสิ่งเดียวที่กดดันตนคือปัญหาของประเทศ เพราะมีปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนอยู่ ตัวนั้นเป็นตัวเดียวที่กดดันผมให้ต้องเร่งทำงาน แก้ปัญหา อย่างอื่นไม่มี “ไมได้สนใจแรงกดดันอย่างอื่นเลย ๆ “ และใน 5-6 เดือนที่ผ่านมางานก็เดิน งานใหม่ๆ ที่เดินออกมาเยอะมาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสวัสดิการของเด็กนักเรียน ผู้ปกครอง ผู้สูงอายุ สาธารณสุข งานด้านเศรษฐกิจ ผ่านงบกลางปีมาแล้วรอบหนึ่ง 5-6 เดือนที่ผ่านงานออกมาเยอะมาก แต่ปัญหามันเยอะกว่า และที่เรียนว่า เรื่องปัญหายาเสพติดกับปัญหาภาคใต้ เป็นปัญหาที่ตนต้องการแก้ไขปัญหาให้ดีกว่าเดิม ตรงนี้เป็นตัวกดดัน
“เรื่องการเมืองผมไม่ได้ให้ความสำคัญ ไม่มีใครสร้างปัญหา ตอนนี้ทุกคนร่วมกันแก้ไขปัญหา ความเห็นแตกต่างเป็นเรื่องปกติ ธรรมดา ผมไม่ได้คาดคิดว่าทุกคนจะต้องมีความคิดเห็นตรงกันแล้วแต่ต้น ก็ซักซ้อมตั้งแต่จัดตั้งรัฐบาลแล้วว่า เรามาครั้งนี้มาแก้วิกฤต อันนั้นเป็นเรื่องสำคัญที่สุด” นายกฯ กล่าว
เมื่อถามว่า เรื่องของรถเมล์ฟรี น้ำ ไฟ เสีย จะยังคงต่อหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า จะสิ้นสุดเดือนกรกฎาคมนี้ ขณะนี้กำลังให้ทุกหน่วยงานประเมินมาในแง่ของสถานการณ์อีกที ว่าจะตัดสินใจอย่างไร เพราะเพิ่งได้คุยกับรมว.คลังไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เห็นบอกว่าจะต้องนำผลประเมินเข้ามาเร็วๆ นี้ และถ้าจะต่อโครงการก็ต่อเนื่องไปเลย เพื่อไม่ให้ช่องทาง แต่ยังไม่มีข้อยุติว่าจะต่อหรือไม่