ส่งสัญญาณกันมาให้เห็นชัดๆ
อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในฐานะหัวหน้ารัฐบาล แย้มออกมาว่า พร้อมปรับคณะรัฐมนตรีหากมีการร้องขอจากพรรคร่วมรัฐบาล บนหลักการที่ว่า เมื่อย่างเข้าเดือนมิถุนายนนี้ อันเป็นการครบรอบ 6 เดือนของรัฐบาล ก็อาจต้องมีการประเมินผลงานรัฐมนตรีจากแต่ละพรรคกันหน่อยว่า
คนไหนสอบได้ คนไหนสอบตก
เปิดทางให้พรรคร่วมได้ปรับทัพกันใหม่ แต่ยังไม่มีพรรคร่วมพรรคไหนส่งสัญญาณจะเขี่ยรัฐมนตรีชุดนี้ออกแต่อย่างใด คงมีแต่ “ภูมิใจไทย" แสดงอาการอยากออกมาให้เห็นไปก่อนแล้ว จะปรับเปลี่ยนเก้าอี้ รมช.เกษตรและสหกรณ์ ของ ชาติชาย พุคยาภรณ์ ที่กลายเป็น “ม้าพยศ” ในภูมิใจไทย
เพราะ “ชาติชาย”ไม่เคยเข้าร่วมประชุมพรรค ทั้งยังเอาตัวออกห่าง แต่ที่สำคัญคือ “ซองรายเดือน”ไม่มีโผล่ให้เห็นเลย แบบนี้พรรคที่เอาเงินเป็นตัวตั้งไม่เก็บไว้แน่ รายชื่อคนใหม่ที่จะมาแทนก็ออกมาแล้ว คั่วกันอยู่สองคน ถ้าไม่ใช่ ศุภชัย โพธิ์สุ หรือ “ครูแก้ว” เด็กในคาถาของเนวิน ก็จะเป็น รณฤทธิชัย คานเขต คนนี้อยู่กับ สุชาติ ตันเจริญ
ในส่วนของเก้าอี้รมว.พาณิชย์ ของ พรทิวา นาคาศัย ก็ใช่ว่าจะแน่นอนมั่นคง หลังเจ้าตัว
ปฏิเสธบทโศก ดรามาการเมือง ที่ เจ๊พร อินจัดถึงขั้นปรากฏข่าว
หลั่งน้ำตา ลั่นวาจา สองมาตรฐาน
กลางที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อวันพุธที่ 13 พ.ค.52 หลังโดนเบรกหัวทิ่ม เมื่อเสนอ
โครงการเข้าที่ประชุมครม..ให้เห็นชอบ
การระบายจำหน่ายข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ตามโครงการแทรกแซงตลาดข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี
2551 / 52 เพื่อการส่งออกต่างประเทศด้วยวิธีการประมูลให้กับผู้ซื้อในประเทศ จำนวน 449,342.856 ตัน มูลค่า 2,041.052 ล้านบาท
บนข้อกังขาที่นำไปสู่การงัดข้อของรัฐมนตรีพรรคร่วมรัฐบาลกลางที่ประชุมครม.ก็คือ
“ความไม่โปร่งใส-ข้อกฎหมาย" ของความพยายามผลักดันโครงการนี้แบบสุดตัวของ รมว.
พาณิชย์ อาทิ ในเรื่องผลการประมูลโครงการที่มีบริษัท 4 บริษัทได้รับโควต้าแบ่งปันกันไป ได้แก่
1.บริษัท สยามธัญรักษ์ไซโล ที่วงการธุรกิจรู้กันดีว่า มีสายสัมพันธ์โยงใยกับกลุ่มบริษัทเพรซิเดนท์ อะกริ เทรดดิ้ง บริษัทเจ้าปัญหาที่เคยโด่งดังในยุครัฐบาลไทยรักไทย กับการได้โควตาข้าวส่งออกจำนวนมหาศาล แต่กลับมีปัญหาในทางปฏิบัติ โดยสยามฯ เสนอราคาซื้อตันละ 3.50-4.50 บาท
2.บริษัท นานาพรรณเกษตรอุตสาหกรรม เสนอซื้อ กก.ละ 5-5.75 บาท 3.บริษัท เอ็นซีเอเอ็นเตอร์ไพรซ์ จำกัดเสนอราคาซื้อกก.ละ 2.50-5.50 บาท และ 4.บริษัท เค.เอส พรีเมี่ยม จำกัด เสนอซื้อกก.ละ 4 บาท จากราคาที่รัฐบาลรับจำนำที่กก.ละ 8.50 บาท
แต่ได้มีการตั้งข้อสังเกตว่า มีบริษัทแห่งหนึ่งได้โควตาสูงกว่าเพื่อนจากที่มีการประมูลแบบ
แบ่งซอย 4.49 แสนตัน ก็พบว่า บริษัทเจ้าปัญหาได้โควต้าไป 4 แสนตัน ส่วนบริษัทที่เหลือกลับได้รับโควตาไปเพียงรายละไม่กี่หมื่นตัน จึงมีการตั้งข้อสังเกตว่าอาจมีอะไรผิดปกติหรือไม่
เมื่อ พรทิวา ตอบข้อสงสัยต่างๆไม่ได้ แม้จะหนีบ ยรรยง พวงราช อธิบดีกรมการค้าภายใน
มาช่วยพยุงปีกในห้องประชุมครม.
เจ๊พร เลยหน้าแหก เพราะนอกจากไม่มีการอนุมัติแล้ว ยังถูกสั่งให้ส่งเอกสารรายละเอียดโครงการทั้งหมดให้ละเอียดมากกว่าเดิม ผ่าน กอร์ปศักดิ์ สภาวสุ รองนายกฯ ฝ่ายเศรษฐกิจ เพื่อส่งต่อไปให้ครม.อีกรอบหนึ่ง
อาจเป็นเพราะ พรทิวา แม้จะเป็นเลขาธิการพรรคภูมิใจไทย แต่เมื่อไม่ได้สังกัดค่าย เนวิน ชิดชอบ เพราะรู้กันดีว่า เธอเป็นนอมินีของ "ค่ายสนามบินน้ำ" ของสองผัวเมียตระกูล“เทพสุทิน" สมศักดิ์-อนงค์วรรณ ก็เลยอาจทำให้ความเกรงอกเกรงใจจากรัฐมนตรีในพรรคร่วมรัฐบาล ย่อมแตกต่างไปจากกลุ่มเนวิน แม้จะอยู่ภูมิใจไทยด้วยกันก็ตาม
เลยได้เห็นภาพจระเข้ขวางคลอง จากพรรคร่วมรัฐบาล ที่ไม่ยอมให้วาระการประชุมเรื่องนี้
ผ่านไปได้ง่ายๆ ที่สำคัญคนออกโรงเองคือ อภิสิทธิ์ นายกรัฐมนตรี
แถมได้ลูกคู่ที่มีข่าวเกาเหลากับเจ๊พร คือ กอร์ปศักดิ์ รองนายกรัฐมนตรี จากประชาธิปัตย์ ที่ขัดแย้งกับพรทิวา ในเรื่องนี้มาแล้วหลายครั้ง ยามที่กอร์ปศักดิ์ นั่งหัวโต๊ะประชุมคณะอนุกรรมการระบายข้าวโพด โดยมี พรทิวา นั่งขนาบข้าง เลยได้โอกาสมาขวางในที่ประชุมครม.ให้รู้ดำรู้แดงกันไปเลย
พร้อมกองหนุนอีกหลายคนจากพรรคชาติไทยพัฒนา เช่น พลตรี สนั่น ขจรประศาสตร์ รองนายก
รัฐมนตรี ชุมพล ศิลปอาชา รมว.ท่องเที่ยวฯ และหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา ที่ก็ไม่ได้แฮปปี้กับภูมิใจไทยเท่าใดนัก ในฐานะคู่แข่งสำคัญของชาติไทยพัฒนาในพื้นที่ภาคกลาง
"เจ๊พร" ที่ไม่มีพี่เลี้ยงในที่ประชุมครม. เพราะรมต.จากภูมิใจไทยด้วยกันเอง ก็ถอยฉาก
ทำให้ เจ๊พร หน้ามืด เลยใช้ลูกฮึดเล่นชกข้ามรุ่นกับนายกฯ กลางที่ประชุมครม. เสียเลย กับคำกล่าว
สองมาตรฐาน
ที่แม้ไม่จำแนกแจกแจงรายละเอียดให้ชัดว่า สองมาตรฐาน นี้คืออะไร แต่ก็ตีความได้ไม่ยากในทางการเมือง เมื่อฉากของเรื่องเกิดขึ้นในห้องประชุมคณะรัฐมนตรี ก็ย่อมหมายถึงว่า ทีโครงการของพรรคประชาธิปัตย์หรือของพรรคร่วมรัฐบาลอื่น เสนอมาแต่ละที ใช้งบจำนวนมาก ไฉนกลับผ่านฉลุย แต่ของพรทิวา กลับ
“ชุนละเอียด" ซักไซ้ ถามทุกขั้นตอน
อย่าลืมเด็ดขาดว่า คำพูดที่ออกมาจากปาก เจ๊พรทิวา ที่สวมบทสวยแต่ดุ หลังผลักดันโครงการไม่สำเร็จทั้งที่หมายมั่นปั้นมือว่าทุกอย่างราบรื่น แต่เมื่อไม่เป็นดั่งที่คิด คำตัดพ้อประเภท ทวงบุญคุณช่วยตั้งรัฐบาล- สองมาตรฐาน มันก็เลยกลายเป็นถ้อยคำที่ทำให้
“มาร์คเจ็บปี๊ด"ถึงทรวงอก
เพราะโดนทักษิณ ชินวัตร-แกนนำนปช.- คนเสื้อแดง ด่าเช้า-ด่าเย็น ข้างทำเนียบรัฐบาลยี่สิบวัน ในช่วงเมษายนที่ผ่านมาว่า "รัฐบาลสองมาตรฐาน" ยังไม่รู้สึกอะไร เพราะนั่นคือการสู้รบการเมือง และคนที่ด่าก็เป็นคนละฝั่ง ครั้นมาเจอ "สวยแต่แสบ" อย่าง เจ๊พร สงสัยคงทำเอามาร์คถึงกับจุกในอก แต่ตามข่าวก็ยังรายงานว่า อภิสิทธิ์ ก็ยังเก็บอาการไว้ได้
สรุปสุดท้าย เลยวงแตก ให้เห็นรอยร้าวเล็กๆ ที่รอวันปะทุในพรรคร่วมรัฐบาล
อย่างไรก็ดี การออกมาเล่นบทจระเข้ ขวางคลอง ของอภิสิทธิ์ ไม่ให้โครงการที่มีผลประโยชน์จำนวนมากผ่านไปง่ายๆ อันถือเป็นเรื่องดีที่พรรคร่วมรัฐบาลตรวจสอบกันเองอย่างเข้มข้น ไม่ใช่พิจารณาโครงการเม็ดเงินหลายพัน หลายหมื่นล้าน หรือเมกะโปรเจกต์แสนล้าน แล้วอนุมัติผ่านภายในห้านาที-สิบนาที เพราะความเกรงอกเกรงใจกันในฐานะพรรคร่วมรัฐบาล แบบขอๆ กันไป หรือที่เรียกกันว่า
“แบ่งเค้ก-สามัคคีสมานฉัน (กิน)"
แม้มองอีกด้านหนึ่งอาจจะมองได้ว่า เป็นเรื่องการเมือง ที่พรรคร่วมอย่างประชาธิปัตย์-ชาติไทยพัฒนา ก็อาจอยู่ในสภาพอึดอัดใจกับภูมิใจไทย ที่กุมเชิงความได้เปรียบพรรคร่วมรัฐบาลอื่นไว้มากโข กับความเป็น “รัฐบาลเสียงปริ่มน้ำ" มาตั้งแต่ต้น
เพราะก่อนหน้านี้ และหลังจากนี้ ก็มีอีกหลายโครงการที่รัฐมนตรีจากพรรคภูมิใจไทย เตรียมเอาเข้าที่ประชุม ครม. อันล้วนแต่เป็นโครงการขนาดใหญ่ เม็ดเงินมหาศาล เช่น ในส่วนของกระทรวงคมนาคม อย่าง รถไฟรางคู่ 2.28 แสนล้านบาท และระบบขนส่งทางถนน 2.94 แสนล้านบาท โครงการก่อสร้างถนนไร้ฝุ่น ระยะทาง 7,000 กม.ทั่วประเทศ ที่ถือเป็นเมกะโปรเจ็กต์ของจริง เพราะเม็ดเงินและประโยชน์ที่จะได้รับคิดเป็น 7-8% ของมูลค่าผลผลิตมวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) โดยล่าสุดโครงการนี้แบ่งออกเป็นหลายระยะ และมีการปรับลดงบ แต่
ก็ยังถือว่าเป็นเงินมากโขอยู่ คือ 34,000 ล้านบาท การจัดหาเครื่องบินของบริษัทการบินไทย 14 ลำ วงเงิน 35,323 ล้านบาท เครื่องบินแอร์บัส เอ 330 จำนวน 8 ลำ วงเงิน 6,084 ล้านบาท และเครื่องบินพิสัยใกล้ ลำตัวแคบ แอร์บัส เอ 321-200 จำนวน 20 ลำ วงเงิน 7,875 ล้านบาท งานก่อสร้างปรับปรุง และเพิ่มประสิทธิภาพทางหลวงทั่วประเทศ 16,415
เมื่อคนภายนอกมองดูว่า อภิสิทธิ์ ยอมประเคนทุกอย่างให้ เนวิน ชิดชอบ และภูมิใจไทย
จนเกินงาม ชนิดขออะไรก็จัดให้ ภาพเช่นนี้ย่อมไม่ดีกับ อภิสิทธิ์
แม้พรทิวา จะสังกัดค่ายสนามบินน้ำของ เทพสุทิน แต่เมื่อรั้งเก้าอี้ใหญ่เลขาธิการพรรค (นอมินี)
และอาจเรียกได้ว่า เธอไม่ได้อยู่ในสายตาของกลุ่มเนวิน เลยแม้แต่น้อย เมื่ออภิสิทธิ์ เล่นบทตรวจเข้ม และพร้อมเบรกให้รัฐมนตรีพรรคร่วมรัฐบาลได้หัวทิ่มหน้าแหกเล่น
มันก็ทำให้เห็นว่า อภิสิทธิ์ ไม่ได้คิดถึงแต่ประโยชน์การเมือง กับเสถียรภาพรัฐบาลเพียง
อย่างเดียว
หากเห็นว่าเมื่อต้องเล่นบทเข้ม ก็จำเป็นต้องทำ แถมทำแล้วได้คะแนนเสียงดีทันควัน ผสมกับแกนนำพรรคร่วม ก็ไม่ได้ติดใจอะไร เพราะขุมข่ายของสนามบินน้ำในภูมิใจไทย ก็แทบไม่มีบทบาทอะไร เมื่อเทียบกับกลุ่มเนวิน ชิดชอบ อาจมีก็แค่ กลุ่มมัชฌิมาฯ เดิมที่อาจไม่พอใจ แต่ก็เก็บอาการไว้รอวันเอาคืน
ยามนี้"เจ๊พร" นอกจากต้องช้ำในทรวงอกแบบเดียวดาย เพราะฝีมือมาร์ค กระชวกดับคาทำเนียบรัฐบาล
ยังต้องคอยเกาะขาเก้าอี้เอาไว้ให้แน่นเช่นกัน เพราะว่ากันตามจริง 6 เดือนที่ผ่านมา เธอแทบจะไม่มีผลงานเป็นชิ้นเป็นอัน แถมยังมีหลายโครงการ ที่เธอรับผิดชอบถูกจับตามองด้วยสายตาแบบไม่ไว้วางใจ เช่น การประมูลข้าว 2.6 ล้านตัน ที่มีการโยงใยไปถึงอดีตรมช.พาณิชย์ อย่าง พ.ต.ท.บรรยิน ตั้งภากรณ์ จากมัชฌิมาฯ เดิม แต่แท้ที่จริงแล้ว บรรยิน หักกับสมศักดิ์อย่างแรง จนย้ายไปอยู่กับเพื่อไทยมาเกือบ 5 เดือนแล้ว
เมื่อจะปรับครม.ทั้งที นายกฯอภิสิทธิ์ ก็ควรจะเฟ้นหาคนดีมีความสามารถเข้ามาทำงาน กรณี รมว.พาณิชย์ คนนี้อยู่มา 5 เดือน ทำให้ภาคการส่งออกมีตัวเลขติดลบ 25 เปอร์เซ็นต์ ตกต่ำหนักที่สุดเท่าที่เคยมีมา หากรัฐบาลต้องการกอบกู้เศรษฐกิจของประเทศ อภิสิทธิ์ ก็ต้องใช้ความกล้าหาคนใหม่มาทำงานแทนที่กระทรวงพาณิชย์ ได้แล้ว
รวมทั้งรมต.ห่วยแตกทั้งหลาย ที่เอาตำแหน่งหน้าที่เป็นช่องทางแสวงประโยชน์ ให้แก่ตัวเองและพวกพ้อง แต่ทำงานไม่เป็นโล้เป็นพาย ก็ต้องโละทิ้งไปให้หมด
อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในฐานะหัวหน้ารัฐบาล แย้มออกมาว่า พร้อมปรับคณะรัฐมนตรีหากมีการร้องขอจากพรรคร่วมรัฐบาล บนหลักการที่ว่า เมื่อย่างเข้าเดือนมิถุนายนนี้ อันเป็นการครบรอบ 6 เดือนของรัฐบาล ก็อาจต้องมีการประเมินผลงานรัฐมนตรีจากแต่ละพรรคกันหน่อยว่า
คนไหนสอบได้ คนไหนสอบตก
เปิดทางให้พรรคร่วมได้ปรับทัพกันใหม่ แต่ยังไม่มีพรรคร่วมพรรคไหนส่งสัญญาณจะเขี่ยรัฐมนตรีชุดนี้ออกแต่อย่างใด คงมีแต่ “ภูมิใจไทย" แสดงอาการอยากออกมาให้เห็นไปก่อนแล้ว จะปรับเปลี่ยนเก้าอี้ รมช.เกษตรและสหกรณ์ ของ ชาติชาย พุคยาภรณ์ ที่กลายเป็น “ม้าพยศ” ในภูมิใจไทย
เพราะ “ชาติชาย”ไม่เคยเข้าร่วมประชุมพรรค ทั้งยังเอาตัวออกห่าง แต่ที่สำคัญคือ “ซองรายเดือน”ไม่มีโผล่ให้เห็นเลย แบบนี้พรรคที่เอาเงินเป็นตัวตั้งไม่เก็บไว้แน่ รายชื่อคนใหม่ที่จะมาแทนก็ออกมาแล้ว คั่วกันอยู่สองคน ถ้าไม่ใช่ ศุภชัย โพธิ์สุ หรือ “ครูแก้ว” เด็กในคาถาของเนวิน ก็จะเป็น รณฤทธิชัย คานเขต คนนี้อยู่กับ สุชาติ ตันเจริญ
ในส่วนของเก้าอี้รมว.พาณิชย์ ของ พรทิวา นาคาศัย ก็ใช่ว่าจะแน่นอนมั่นคง หลังเจ้าตัว
ปฏิเสธบทโศก ดรามาการเมือง ที่ เจ๊พร อินจัดถึงขั้นปรากฏข่าว
หลั่งน้ำตา ลั่นวาจา สองมาตรฐาน
กลางที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อวันพุธที่ 13 พ.ค.52 หลังโดนเบรกหัวทิ่ม เมื่อเสนอ
โครงการเข้าที่ประชุมครม..ให้เห็นชอบ
การระบายจำหน่ายข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ตามโครงการแทรกแซงตลาดข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี
2551 / 52 เพื่อการส่งออกต่างประเทศด้วยวิธีการประมูลให้กับผู้ซื้อในประเทศ จำนวน 449,342.856 ตัน มูลค่า 2,041.052 ล้านบาท
บนข้อกังขาที่นำไปสู่การงัดข้อของรัฐมนตรีพรรคร่วมรัฐบาลกลางที่ประชุมครม.ก็คือ
“ความไม่โปร่งใส-ข้อกฎหมาย" ของความพยายามผลักดันโครงการนี้แบบสุดตัวของ รมว.
พาณิชย์ อาทิ ในเรื่องผลการประมูลโครงการที่มีบริษัท 4 บริษัทได้รับโควต้าแบ่งปันกันไป ได้แก่
1.บริษัท สยามธัญรักษ์ไซโล ที่วงการธุรกิจรู้กันดีว่า มีสายสัมพันธ์โยงใยกับกลุ่มบริษัทเพรซิเดนท์ อะกริ เทรดดิ้ง บริษัทเจ้าปัญหาที่เคยโด่งดังในยุครัฐบาลไทยรักไทย กับการได้โควตาข้าวส่งออกจำนวนมหาศาล แต่กลับมีปัญหาในทางปฏิบัติ โดยสยามฯ เสนอราคาซื้อตันละ 3.50-4.50 บาท
2.บริษัท นานาพรรณเกษตรอุตสาหกรรม เสนอซื้อ กก.ละ 5-5.75 บาท 3.บริษัท เอ็นซีเอเอ็นเตอร์ไพรซ์ จำกัดเสนอราคาซื้อกก.ละ 2.50-5.50 บาท และ 4.บริษัท เค.เอส พรีเมี่ยม จำกัด เสนอซื้อกก.ละ 4 บาท จากราคาที่รัฐบาลรับจำนำที่กก.ละ 8.50 บาท
แต่ได้มีการตั้งข้อสังเกตว่า มีบริษัทแห่งหนึ่งได้โควตาสูงกว่าเพื่อนจากที่มีการประมูลแบบ
แบ่งซอย 4.49 แสนตัน ก็พบว่า บริษัทเจ้าปัญหาได้โควต้าไป 4 แสนตัน ส่วนบริษัทที่เหลือกลับได้รับโควตาไปเพียงรายละไม่กี่หมื่นตัน จึงมีการตั้งข้อสังเกตว่าอาจมีอะไรผิดปกติหรือไม่
เมื่อ พรทิวา ตอบข้อสงสัยต่างๆไม่ได้ แม้จะหนีบ ยรรยง พวงราช อธิบดีกรมการค้าภายใน
มาช่วยพยุงปีกในห้องประชุมครม.
เจ๊พร เลยหน้าแหก เพราะนอกจากไม่มีการอนุมัติแล้ว ยังถูกสั่งให้ส่งเอกสารรายละเอียดโครงการทั้งหมดให้ละเอียดมากกว่าเดิม ผ่าน กอร์ปศักดิ์ สภาวสุ รองนายกฯ ฝ่ายเศรษฐกิจ เพื่อส่งต่อไปให้ครม.อีกรอบหนึ่ง
อาจเป็นเพราะ พรทิวา แม้จะเป็นเลขาธิการพรรคภูมิใจไทย แต่เมื่อไม่ได้สังกัดค่าย เนวิน ชิดชอบ เพราะรู้กันดีว่า เธอเป็นนอมินีของ "ค่ายสนามบินน้ำ" ของสองผัวเมียตระกูล“เทพสุทิน" สมศักดิ์-อนงค์วรรณ ก็เลยอาจทำให้ความเกรงอกเกรงใจจากรัฐมนตรีในพรรคร่วมรัฐบาล ย่อมแตกต่างไปจากกลุ่มเนวิน แม้จะอยู่ภูมิใจไทยด้วยกันก็ตาม
เลยได้เห็นภาพจระเข้ขวางคลอง จากพรรคร่วมรัฐบาล ที่ไม่ยอมให้วาระการประชุมเรื่องนี้
ผ่านไปได้ง่ายๆ ที่สำคัญคนออกโรงเองคือ อภิสิทธิ์ นายกรัฐมนตรี
แถมได้ลูกคู่ที่มีข่าวเกาเหลากับเจ๊พร คือ กอร์ปศักดิ์ รองนายกรัฐมนตรี จากประชาธิปัตย์ ที่ขัดแย้งกับพรทิวา ในเรื่องนี้มาแล้วหลายครั้ง ยามที่กอร์ปศักดิ์ นั่งหัวโต๊ะประชุมคณะอนุกรรมการระบายข้าวโพด โดยมี พรทิวา นั่งขนาบข้าง เลยได้โอกาสมาขวางในที่ประชุมครม.ให้รู้ดำรู้แดงกันไปเลย
พร้อมกองหนุนอีกหลายคนจากพรรคชาติไทยพัฒนา เช่น พลตรี สนั่น ขจรประศาสตร์ รองนายก
รัฐมนตรี ชุมพล ศิลปอาชา รมว.ท่องเที่ยวฯ และหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา ที่ก็ไม่ได้แฮปปี้กับภูมิใจไทยเท่าใดนัก ในฐานะคู่แข่งสำคัญของชาติไทยพัฒนาในพื้นที่ภาคกลาง
"เจ๊พร" ที่ไม่มีพี่เลี้ยงในที่ประชุมครม. เพราะรมต.จากภูมิใจไทยด้วยกันเอง ก็ถอยฉาก
ทำให้ เจ๊พร หน้ามืด เลยใช้ลูกฮึดเล่นชกข้ามรุ่นกับนายกฯ กลางที่ประชุมครม. เสียเลย กับคำกล่าว
สองมาตรฐาน
ที่แม้ไม่จำแนกแจกแจงรายละเอียดให้ชัดว่า สองมาตรฐาน นี้คืออะไร แต่ก็ตีความได้ไม่ยากในทางการเมือง เมื่อฉากของเรื่องเกิดขึ้นในห้องประชุมคณะรัฐมนตรี ก็ย่อมหมายถึงว่า ทีโครงการของพรรคประชาธิปัตย์หรือของพรรคร่วมรัฐบาลอื่น เสนอมาแต่ละที ใช้งบจำนวนมาก ไฉนกลับผ่านฉลุย แต่ของพรทิวา กลับ
“ชุนละเอียด" ซักไซ้ ถามทุกขั้นตอน
อย่าลืมเด็ดขาดว่า คำพูดที่ออกมาจากปาก เจ๊พรทิวา ที่สวมบทสวยแต่ดุ หลังผลักดันโครงการไม่สำเร็จทั้งที่หมายมั่นปั้นมือว่าทุกอย่างราบรื่น แต่เมื่อไม่เป็นดั่งที่คิด คำตัดพ้อประเภท ทวงบุญคุณช่วยตั้งรัฐบาล- สองมาตรฐาน มันก็เลยกลายเป็นถ้อยคำที่ทำให้
“มาร์คเจ็บปี๊ด"ถึงทรวงอก
เพราะโดนทักษิณ ชินวัตร-แกนนำนปช.- คนเสื้อแดง ด่าเช้า-ด่าเย็น ข้างทำเนียบรัฐบาลยี่สิบวัน ในช่วงเมษายนที่ผ่านมาว่า "รัฐบาลสองมาตรฐาน" ยังไม่รู้สึกอะไร เพราะนั่นคือการสู้รบการเมือง และคนที่ด่าก็เป็นคนละฝั่ง ครั้นมาเจอ "สวยแต่แสบ" อย่าง เจ๊พร สงสัยคงทำเอามาร์คถึงกับจุกในอก แต่ตามข่าวก็ยังรายงานว่า อภิสิทธิ์ ก็ยังเก็บอาการไว้ได้
สรุปสุดท้าย เลยวงแตก ให้เห็นรอยร้าวเล็กๆ ที่รอวันปะทุในพรรคร่วมรัฐบาล
อย่างไรก็ดี การออกมาเล่นบทจระเข้ ขวางคลอง ของอภิสิทธิ์ ไม่ให้โครงการที่มีผลประโยชน์จำนวนมากผ่านไปง่ายๆ อันถือเป็นเรื่องดีที่พรรคร่วมรัฐบาลตรวจสอบกันเองอย่างเข้มข้น ไม่ใช่พิจารณาโครงการเม็ดเงินหลายพัน หลายหมื่นล้าน หรือเมกะโปรเจกต์แสนล้าน แล้วอนุมัติผ่านภายในห้านาที-สิบนาที เพราะความเกรงอกเกรงใจกันในฐานะพรรคร่วมรัฐบาล แบบขอๆ กันไป หรือที่เรียกกันว่า
“แบ่งเค้ก-สามัคคีสมานฉัน (กิน)"
แม้มองอีกด้านหนึ่งอาจจะมองได้ว่า เป็นเรื่องการเมือง ที่พรรคร่วมอย่างประชาธิปัตย์-ชาติไทยพัฒนา ก็อาจอยู่ในสภาพอึดอัดใจกับภูมิใจไทย ที่กุมเชิงความได้เปรียบพรรคร่วมรัฐบาลอื่นไว้มากโข กับความเป็น “รัฐบาลเสียงปริ่มน้ำ" มาตั้งแต่ต้น
เพราะก่อนหน้านี้ และหลังจากนี้ ก็มีอีกหลายโครงการที่รัฐมนตรีจากพรรคภูมิใจไทย เตรียมเอาเข้าที่ประชุม ครม. อันล้วนแต่เป็นโครงการขนาดใหญ่ เม็ดเงินมหาศาล เช่น ในส่วนของกระทรวงคมนาคม อย่าง รถไฟรางคู่ 2.28 แสนล้านบาท และระบบขนส่งทางถนน 2.94 แสนล้านบาท โครงการก่อสร้างถนนไร้ฝุ่น ระยะทาง 7,000 กม.ทั่วประเทศ ที่ถือเป็นเมกะโปรเจ็กต์ของจริง เพราะเม็ดเงินและประโยชน์ที่จะได้รับคิดเป็น 7-8% ของมูลค่าผลผลิตมวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) โดยล่าสุดโครงการนี้แบ่งออกเป็นหลายระยะ และมีการปรับลดงบ แต่
ก็ยังถือว่าเป็นเงินมากโขอยู่ คือ 34,000 ล้านบาท การจัดหาเครื่องบินของบริษัทการบินไทย 14 ลำ วงเงิน 35,323 ล้านบาท เครื่องบินแอร์บัส เอ 330 จำนวน 8 ลำ วงเงิน 6,084 ล้านบาท และเครื่องบินพิสัยใกล้ ลำตัวแคบ แอร์บัส เอ 321-200 จำนวน 20 ลำ วงเงิน 7,875 ล้านบาท งานก่อสร้างปรับปรุง และเพิ่มประสิทธิภาพทางหลวงทั่วประเทศ 16,415
เมื่อคนภายนอกมองดูว่า อภิสิทธิ์ ยอมประเคนทุกอย่างให้ เนวิน ชิดชอบ และภูมิใจไทย
จนเกินงาม ชนิดขออะไรก็จัดให้ ภาพเช่นนี้ย่อมไม่ดีกับ อภิสิทธิ์
แม้พรทิวา จะสังกัดค่ายสนามบินน้ำของ เทพสุทิน แต่เมื่อรั้งเก้าอี้ใหญ่เลขาธิการพรรค (นอมินี)
และอาจเรียกได้ว่า เธอไม่ได้อยู่ในสายตาของกลุ่มเนวิน เลยแม้แต่น้อย เมื่ออภิสิทธิ์ เล่นบทตรวจเข้ม และพร้อมเบรกให้รัฐมนตรีพรรคร่วมรัฐบาลได้หัวทิ่มหน้าแหกเล่น
มันก็ทำให้เห็นว่า อภิสิทธิ์ ไม่ได้คิดถึงแต่ประโยชน์การเมือง กับเสถียรภาพรัฐบาลเพียง
อย่างเดียว
หากเห็นว่าเมื่อต้องเล่นบทเข้ม ก็จำเป็นต้องทำ แถมทำแล้วได้คะแนนเสียงดีทันควัน ผสมกับแกนนำพรรคร่วม ก็ไม่ได้ติดใจอะไร เพราะขุมข่ายของสนามบินน้ำในภูมิใจไทย ก็แทบไม่มีบทบาทอะไร เมื่อเทียบกับกลุ่มเนวิน ชิดชอบ อาจมีก็แค่ กลุ่มมัชฌิมาฯ เดิมที่อาจไม่พอใจ แต่ก็เก็บอาการไว้รอวันเอาคืน
ยามนี้"เจ๊พร" นอกจากต้องช้ำในทรวงอกแบบเดียวดาย เพราะฝีมือมาร์ค กระชวกดับคาทำเนียบรัฐบาล
ยังต้องคอยเกาะขาเก้าอี้เอาไว้ให้แน่นเช่นกัน เพราะว่ากันตามจริง 6 เดือนที่ผ่านมา เธอแทบจะไม่มีผลงานเป็นชิ้นเป็นอัน แถมยังมีหลายโครงการ ที่เธอรับผิดชอบถูกจับตามองด้วยสายตาแบบไม่ไว้วางใจ เช่น การประมูลข้าว 2.6 ล้านตัน ที่มีการโยงใยไปถึงอดีตรมช.พาณิชย์ อย่าง พ.ต.ท.บรรยิน ตั้งภากรณ์ จากมัชฌิมาฯ เดิม แต่แท้ที่จริงแล้ว บรรยิน หักกับสมศักดิ์อย่างแรง จนย้ายไปอยู่กับเพื่อไทยมาเกือบ 5 เดือนแล้ว
เมื่อจะปรับครม.ทั้งที นายกฯอภิสิทธิ์ ก็ควรจะเฟ้นหาคนดีมีความสามารถเข้ามาทำงาน กรณี รมว.พาณิชย์ คนนี้อยู่มา 5 เดือน ทำให้ภาคการส่งออกมีตัวเลขติดลบ 25 เปอร์เซ็นต์ ตกต่ำหนักที่สุดเท่าที่เคยมีมา หากรัฐบาลต้องการกอบกู้เศรษฐกิจของประเทศ อภิสิทธิ์ ก็ต้องใช้ความกล้าหาคนใหม่มาทำงานแทนที่กระทรวงพาณิชย์ ได้แล้ว
รวมทั้งรมต.ห่วยแตกทั้งหลาย ที่เอาตำแหน่งหน้าที่เป็นช่องทางแสวงประโยชน์ ให้แก่ตัวเองและพวกพ้อง แต่ทำงานไม่เป็นโล้เป็นพาย ก็ต้องโละทิ้งไปให้หมด