ASTVผู้จัดการรายวัน – คลังเดินหน้าต่อเสนอร่างกฎหมายขึ้นภาษีน้ำมัน-บุหรี่เพิ่มหลัง ครม.เห็นชอบในหลักการ หวังรายได้เพิ่มขึ้นอีก 5.5 หมื่นล้านบาท จับตาขบวนการกักตุนบุหรี่ที่กรมสรรพสามิตควบคุมจากปริมาณการขายแสตมป์ให้แก่โรงงานไม่ให้เปลี่ยนแปลงมากนัก ศูนย์วิจัยปัญหาสุรา จี้รัฐเก็บภาษีเหล้า-เบียร์เต็มเพดาน ช่วยรัฐมีรายได้เพิ่ม 2.3 หมื่นล้านบาท ขณะที่ สธ.แจ้งจับลีโอของค่ายเบียร์สิงห์ ฐานโฆษณาผิด พ.ร.บ.เหล้า โทษปรับไม่เกิน 5 แสนหรือจำคุกไม่เกิน 1 ปี ด้านราคาน้ำมันปรับขึ้นอีกกวันนี้
นายพฤฒิชัย ดำรงรัตน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า จากความจำเป็นเร่งด่วนเรื่องรายได้รัฐบาล ขณะนี้รัฐบาลจึงได้เสนอร่างพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) จัดเก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมันและภาษีสรรพสามิตบุหรี่เพิ่มเติม ภายหลังจากที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติในหลักการขยายเพดานการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมันและภาษีสรรพสามิตบุหรี่เพิ่มเติมแล้ว
**ขยายเพดานภาษีน้ำมันถึง10บาท
โดยภาษีสรรพสามิตน้ำมันจะขยายเพดานจัดเก็บไปถึง 10 บาทต่อลิตร จากปัจจุบันเพดานจัดเก็บอยู่ที่ 5 บาทต่อลิตรและจัดเก็บเต็มอัตราแล้วในส่วนของน้ำมันนเบนซิน 95 และ 91 ส่วนดีเซลเพดานจัดเก็บอยู่ที่ 4 บาทต่อลิตร แต่จัดเก็บขณะนี้ที่ 3.30 บาทต่อลิตร อย่างไรก็ตาม สำหรับอัตราที่จะจัดเก็บจริงจะยังไม่จัดเก็บเต็มเพดาน โดยเบนซินคาดจะจัดเก็บเพิ่ม 2 บาทต่อลิตร จะมีผลเพิ่มรายได้ให้รัฐต่อปี 5-5.5 หมื่นล้านบาท
"แม้ว่าอัตราภาษีน้ำมันจะเพิ่มขึ้นถึงลิตรละ 5 บาท แต่ในการจัดเก็บจริงจะให้มีผลกระทบต่อราคาขายปลีกน้อยที่สุด ซึ่งเบื้องต้นได้ประสานไปทางกระทรวงพลังงานเพื่อใช้กลไกกองทุนน้ำมันเข้ามาช่วยเหลือ แต่จะออกมาในรูปแบบช่วยจ่ายเต็มหรือแบ่งงครึ่งกับผู้ใช้รถในส่วนของราคาที่เพิ่มขึ้นมา เป็นหน้าที่ของคณะกรรมการกองทุนน้ำมันจะเป็นผู้พิจารณา" นายพฤฒิชัยกล่าว
**ขี้ยากระอักเพดานภาษีถึง90%
ขณะที่ภาษีสรรพสามิตบุหรี่จะขยายเพดานจัดเก็บตามมูลค่าที่อัตราไปถึง 90% จากปัจจุบันจัดเก็บอยู่ที่ 80% ซึ่งคาดอัตราภาษีใหม่จะอยู่ที่ 85% โดยจะมีผลให้ราคาบุหรี่ต่อซองปรับเพิ่มประมาณ 11-16 บาท ซึ่งบุหรี่ไทย เช่น สายฝน กรองทิพย์ กรุงทอง ปรับเพิ่มขึ้นซองละ 11 บาท โดยราคาปัจจุบันอยู่ที่ซองละ 45 บาท เสียภาษีอยู่ที่ 23.92 บาท/ซอง จากอัตราใหม่จะทำให้ราคาขึ้นไปที่ซองละ 56 บาท และเสียภาษีซองละ 34.92 บาท ส่วนบุหรี่นอก เช่น แอลเอ็มจะปรับเพิ่มซองละ 12 บาท และมาร์ลโบโรจะปรับเพิ่มซองละ 16 บาท จากราคาปัจจุบันอยู่ที่ซองละ 65 บาท เสียภาษีที่ซองละ 32.68 บาท อัตราใหม่จะทำให้ราคาปรับเพิ่มเป็นซองละ 81 บาท และเสียภาษีซองละ 48.60 บาท คาดจะสร้างรายได้เพิ่มเติมแก่รัฐปีละ 2 หมื่นล้านบาท
"กฎหมายที่เสนอให้ปรับเพิ่มภาษีน้ำมันและบุหรี่จะต้องรอประกาศในราชกิจจานุเบกษาจึงจะนำมาใช้จริง ซึ่งระหว่างนี้ได้สั่งการให้กรมสรรพสามิตเข้มงวดในการตรวจสอบเพื่อป้องกันการกักตุนสินค้า แต่โดยปกติกรมจะมีข้อมูลการซื้อแสตมป์บุหรี่จากโรงงานผลิตอยู่แล้วดังนั้นจึงคาดว่าไม่น่าจะกักตุนได้มาก ทั้งนี้การออกกฎหมายครั้งนี้เข้มงวดเฉพาะสินค้าบาปแสดงให้เห็นว่ารัฐบาลไม่ส่งเสริมให้ประชาชนลุ่มหลงมัวเมากับเหล้ายา สอดคล้องไปกับต้องการลดงบการให้บริการสาธารณสุขที่ต่อปีต้องใช้เพื่อดูแลผู้ดื่มเหล้าสูบบุหรี่ถึง 1.5 แสนล้านบาท" นายแพทย์พฤฒิชัยกล่าว
**ชี้ขึ้นภาษีน้อยกว่าความจริง
นพ.บัณฑิต ศรไพศาล ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยปัญหาสุรา กล่าวว่า จากการที่รัฐบาลมีมติให้ขึ้นอัตราภาษีสรรพสามิตนั้น เห็นว่าเป็นการขึ้นภาษีน้อยเกินกว่าที่จะทำได้เพราะความจริงรัฐบาลสามารถขึ้นภาษีได้เต็มเพดานมากกว่านี้ โดยเบียร์สามารถขึ้นภาษีได้ถึงร้อยละ 60 หรือเพิ่มขึ้น 7-9 บาทต่อขวด ส่งผลให้ราคาขายเพิ่มขึ้นร้อยละ 20 เหล้าขาวสามารถขึ้นไปได้ถึง 200 บาทต่อลิตร จะได้ภาษีเพิ่ม 22.50 ต่อ ขวด ราคาขายเพิ่มขึ้นร้อยละ 28 และรัฐจะได้ภาษีในภาพรวมถึงกว่า 23,000 ล้านบาท แทนที่จะได้เพียง 6,000 ล้านบาทจากการขึ้นอัตราภาษีครั้งนี้
“สิ่งที่รัฐบาลทำเป็นการแก้ปัญหาไม่ถูกจุด เพราะหากรัฐบาลและกรมสรรพสามิต ต้องการหาเงินเข้ารัฐ ก็น่าที่จะขึ้นภาษีในเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ที่ให้ส่วนแบ่งรายได้แก่รัฐในอัตราสูง เช่น สุรานำเข้า หรือเบียร์ แต่กลับขึ้นภาษีเหล้าขาว สุราปรุงพิเศษ ซึ่งมีสัดส่วนรายได้คืนให้แก่รัฐต่ำมาก ที่สำคัญบริษัทผู้นำเข้าสุราต่างประเทศก็จะหันไปผลิตตสุราราคาถูกที่มีเพดานภาษีต่ำ ทำให้กลุ่มเป้าหมายในการดื่มขยายวงกว้างขึ้น เพราะผู้บริโภคจะหันมาดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ราคาถูกเพราะเสียภาษีถูกกว่า” นายแพทย์บัณฑิต กล่าว
ขณะนี้โครงสร้างรายรับภาษีสรรพสามิตสุราของประเทศไทย ปี 2551 รัฐบาลได้ภาษีสรรพสามิตสุรายอดรวม 90,186 ล้านบาท จากอันดับ เบียร์ 53,369 บาท คิดเป็นร้อยละ 59 เหล้าขาว 11,605 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 13 เหล้าผสม 9,020 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 10 สุรานำเข้า 7,589 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 8.4 สุราพิเศษ ครอบคลุมบรั่นดี 6,151 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 6.8 สุราปรุงพิเศษ 198 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 0.2
**สิงห์แอบโฆษณาบนเว็บไซต์
นายแพทย์สมาน ฟูตระกูล ผู้อำนวยการเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และยาสูบ กรมควบคุมโรคกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า เมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม ที่ผ่านมา สำนักงานฯ ได้แจ้งความต่อผู้กำกับสถานีตำรวจภูธร จ.นนทบุรี กรณีบริษัท สิงห์ คอร์เปอเรชั่น จำกัด กระทำผิดกฎหมายตามพ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ.2551 ตามมาตรา 32 เนื่องจากฝ่าฝืนในการโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ยี่ห้อ ลีโอ เบียร์ ลงในเว็บไซต์ www.leolism.net และ www.leobeer.com โดยปรากฎข้อความบนฉลากของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ยี่ห้อดังกล่าว บนหน้าแรกของทั้งสองเว็บไซต์ว่า “เต็มเปี่ยมด้วยคุณภาพ” ซึ่งเป็นข้อความที่อยู่ด้านหลังฉลากเครื่องดื่มยี่ห้อดังกล่าว และคำว่า “SMOOTH & GREET TASTE” หมายความว่า รสนุ่มและยอดเยี่ยม และยังพบข้อความ “ลีโอเบียร์ ถูกคอ ถูกใจ” ด้านล่างเว็บไซต์
“นอกจากนี้ยังพบข้อความประกอบรูปภาพในเว็บไซต์ โดยมีคำว่า “เย็นๆ...ริมทะเล” ประกอบภาพขวดและกระป๋อง และคำว่า “พักผ่อนให้เต็มที่ วันนี้ไม่ต้องขับรถ” ประกอบภาพขวด ซึ่งฝ่าฝืนมาตรา 32 ที่ ห้ามโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หรือแสดงชื่อ หรือเครื่องหมายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่เป็นการอวดอ้างสรรพคุณ หรือชักจูงใจให้ผู้อื่นดื่มโดยตรงหรืออ้อม รวมทั้งการโฆษณา ประชาสัมพันธ์ สามารถทำได้โดยให้ข้อมูลข่าวสาร หรือความรู้เชิงสร้างสรรค์สังคม โดยไม่มีการปรากฎภาพของสินค้า หรือบรรจุภัณฑ์ของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ยกเว้นภาพสัญลักษณ์ ของเครื่องดื่มหรือบริษัทผู้ผลิตเท่านั้น หากฝ่าฝืนมีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี และปรับไม่เกิน 5 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ”นายแพทย์สมานกล่าว
***น้ำมันขึ้นวันนี้60สต./ลิตร
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วานนี้(7พ.ค.) ปตท.นำร่องแจ้งปรับราคาน้ำมันขายปลีกทุกชนิดเว้นอี 85 เพิ่มขึ้นอีกลิตรละ 60 สตางค์มีผลตั้งแต่วันนี้(8พ.ค.) เป็นต้นไปทำให้ผู้ค้ารายอื่นๆ แจ้งปรับตาม ส่งผลให้ราคาขายปลีกน้ำมันในเขตกทม.และปริมณฑลเป็นดังนี้ เบนซิน 91 เป็น 30.14 บาทต่อลิตร แก๊สโซฮอล์ 95 เป็น 26.34 บาทต่อลิตร แก๊สโซฮอล์ 91 เป็น 25.54 บาทต่อลิตร อี 20 เป็น 24.04 บาทต่อลิตร ดีเซล(บี2) เป็น23.39 บาทต่อลิตร และบี 5 เป็น 20.39 บาทต่อลิตร ส่วนอี 85 อยู่ที่ 24.04 บาทต่อลิตร
นายสมชัย เตชะวณิช ผู้อำนวยการพัฒนาธุรกิจตลาดค้าปลีก บริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) กล่าวยอมรับว่า ค่าการตลาดค่อนข้างต่ำเนื่องจาก 1-2 วันที่ผ่านมาราคาน้ำมันตลาดโลกได้ทยอยปรับขึ้นสูง อย่างไรก็ตามกรณีที่รัฐบาลจะปรับขึ้นภาษีสรรพสามิตน้ำมันอีก 2บาทต่อลิตรคงไม่มีผลต่อการขายปลีกเพราะคาดว่ารัฐบาลจะใช้กลไกกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเข้ามารับภาระแทนจึงไม่มีประโยชน์ที่จะเก็งกำไร
**คาดดีเซลไม่เกิน 30บ./ลิตร
นายมนูญ ศิริวรรณ ผู้เชี่ยวชาญด้านน้ำมัน กล่าวว่า การขึ้นภาษีสรรพสามิตน้ำมันั2 บาทต่อลิตรแม้ว่าจะไม่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงราคาขายปลีกทันทีเพราะใช้กลไกกองทุนน้ำมันฯมาอุดหนุนแต่ประชาชนต้องตระหนักว่าท้ายสุดกองทุนฯก็จะเรียกเก็บคืนจากประชาชนในช่วงราคาน้ำมันลดลงอยู่ดีซึ่งโชคดีที่ปีนี้ราคาน้ำมันไม่สูงนักเพราะเศรษฐกิจโลกชะลอตัวดังนั้นเฉลี่ยแล้วหากขึ้น 2 บาทต่อลิตรจริงดีเซลเฉลี่ยน่าจะอยู่ระดับ 28 บาทต่อลิตรและหากราคาดีเซลไม่เกิน 30 บาทต่อลิตรก็เชื่อว่าภาคธุรกิจไม่น่าจะมีปัญหา
**แนะทยอยขึ้นหวั่นกระทบค่าขนส่ง
นายสันติ วิลาสศักดานนท์ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.)กล่าวถึง กรณีการเก็บภาษีเหล้า เบียร์ ตามที่คณะรัฐมนตรี(ครม.)อนุมัติให้ปรับขึ้นทันทีนั้นเป็นวิธีการที่รัฐบาลจะนำมาชดเชยรายได้ของรัฐบาลที่ขาดหายไปจากการจัดเก็บภาษีต่างๆ ที่ไม่เป็นไปตาม ซึ่งการขึ้นภาษีสรรพสามิตดังกล่าวมีทั้งผลดีและผลเสีย ผลดีหากยอดขายสินค้ายังคงมีปริมาณเท่าเดิมเพราะรัฐบาลจะมีรายได้เพิ่มขึ้น แต่ถ้าขึ้นภาษีแล้วยอดขายสินค้าตกลงก็จะไม่มีประโยชน์อะไร
สำหรับกรณีรัฐเตรียมขอขยายเพดานปรับขึ้นภาษีสรรพสามิตน้ำมัน 2 บาทต่อลิตร นายสันติกล่าวว่า รัฐบาลควรจะใช้กลไกกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเข้ามาบริหารเพื่อไม่ให้กระทบต่อภาระประชาชนโดยเฉพาะส่วนของต้นทุนค่าขนส่งเพราะจะมีผลกระทบทางอ้อมต่อภาคการผลิตที่ขณะนี้คำสั่งซื้อได้ลดลงจากเศรษฐกิจชะลอตัว
“แม้ว่าจะใช้กลไกกองทุนฯบริหารแต่ท้ายสุดช่วงน้ำมันถูกกองทุนฯก็จะเรียกเก็บขึ้นอยู่ดีภาพรวมคือน้ำมันก็คือปรับขึ้นจากปกติ 2 บาทต่อลิตร รัฐบาลต้องค่อยๆดูว่าผู้ประกอบการภาคไหนที่จะช่วยเหลือได้บ้าง เช่น กลุ่มประมงเพื่อลดผลกระทบที่จะเกิดขึ้นเพราะกลุ่มประมงเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีน้ำมันเป็นต้นทุนและภาคขนส่งจะต้องไม่ให้ฉวยขึ้นค่าขนส่งเพิ่ม” นายสันติกล่าว.
นายพฤฒิชัย ดำรงรัตน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า จากความจำเป็นเร่งด่วนเรื่องรายได้รัฐบาล ขณะนี้รัฐบาลจึงได้เสนอร่างพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) จัดเก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมันและภาษีสรรพสามิตบุหรี่เพิ่มเติม ภายหลังจากที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติในหลักการขยายเพดานการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมันและภาษีสรรพสามิตบุหรี่เพิ่มเติมแล้ว
**ขยายเพดานภาษีน้ำมันถึง10บาท
โดยภาษีสรรพสามิตน้ำมันจะขยายเพดานจัดเก็บไปถึง 10 บาทต่อลิตร จากปัจจุบันเพดานจัดเก็บอยู่ที่ 5 บาทต่อลิตรและจัดเก็บเต็มอัตราแล้วในส่วนของน้ำมันนเบนซิน 95 และ 91 ส่วนดีเซลเพดานจัดเก็บอยู่ที่ 4 บาทต่อลิตร แต่จัดเก็บขณะนี้ที่ 3.30 บาทต่อลิตร อย่างไรก็ตาม สำหรับอัตราที่จะจัดเก็บจริงจะยังไม่จัดเก็บเต็มเพดาน โดยเบนซินคาดจะจัดเก็บเพิ่ม 2 บาทต่อลิตร จะมีผลเพิ่มรายได้ให้รัฐต่อปี 5-5.5 หมื่นล้านบาท
"แม้ว่าอัตราภาษีน้ำมันจะเพิ่มขึ้นถึงลิตรละ 5 บาท แต่ในการจัดเก็บจริงจะให้มีผลกระทบต่อราคาขายปลีกน้อยที่สุด ซึ่งเบื้องต้นได้ประสานไปทางกระทรวงพลังงานเพื่อใช้กลไกกองทุนน้ำมันเข้ามาช่วยเหลือ แต่จะออกมาในรูปแบบช่วยจ่ายเต็มหรือแบ่งงครึ่งกับผู้ใช้รถในส่วนของราคาที่เพิ่มขึ้นมา เป็นหน้าที่ของคณะกรรมการกองทุนน้ำมันจะเป็นผู้พิจารณา" นายพฤฒิชัยกล่าว
**ขี้ยากระอักเพดานภาษีถึง90%
ขณะที่ภาษีสรรพสามิตบุหรี่จะขยายเพดานจัดเก็บตามมูลค่าที่อัตราไปถึง 90% จากปัจจุบันจัดเก็บอยู่ที่ 80% ซึ่งคาดอัตราภาษีใหม่จะอยู่ที่ 85% โดยจะมีผลให้ราคาบุหรี่ต่อซองปรับเพิ่มประมาณ 11-16 บาท ซึ่งบุหรี่ไทย เช่น สายฝน กรองทิพย์ กรุงทอง ปรับเพิ่มขึ้นซองละ 11 บาท โดยราคาปัจจุบันอยู่ที่ซองละ 45 บาท เสียภาษีอยู่ที่ 23.92 บาท/ซอง จากอัตราใหม่จะทำให้ราคาขึ้นไปที่ซองละ 56 บาท และเสียภาษีซองละ 34.92 บาท ส่วนบุหรี่นอก เช่น แอลเอ็มจะปรับเพิ่มซองละ 12 บาท และมาร์ลโบโรจะปรับเพิ่มซองละ 16 บาท จากราคาปัจจุบันอยู่ที่ซองละ 65 บาท เสียภาษีที่ซองละ 32.68 บาท อัตราใหม่จะทำให้ราคาปรับเพิ่มเป็นซองละ 81 บาท และเสียภาษีซองละ 48.60 บาท คาดจะสร้างรายได้เพิ่มเติมแก่รัฐปีละ 2 หมื่นล้านบาท
"กฎหมายที่เสนอให้ปรับเพิ่มภาษีน้ำมันและบุหรี่จะต้องรอประกาศในราชกิจจานุเบกษาจึงจะนำมาใช้จริง ซึ่งระหว่างนี้ได้สั่งการให้กรมสรรพสามิตเข้มงวดในการตรวจสอบเพื่อป้องกันการกักตุนสินค้า แต่โดยปกติกรมจะมีข้อมูลการซื้อแสตมป์บุหรี่จากโรงงานผลิตอยู่แล้วดังนั้นจึงคาดว่าไม่น่าจะกักตุนได้มาก ทั้งนี้การออกกฎหมายครั้งนี้เข้มงวดเฉพาะสินค้าบาปแสดงให้เห็นว่ารัฐบาลไม่ส่งเสริมให้ประชาชนลุ่มหลงมัวเมากับเหล้ายา สอดคล้องไปกับต้องการลดงบการให้บริการสาธารณสุขที่ต่อปีต้องใช้เพื่อดูแลผู้ดื่มเหล้าสูบบุหรี่ถึง 1.5 แสนล้านบาท" นายแพทย์พฤฒิชัยกล่าว
**ชี้ขึ้นภาษีน้อยกว่าความจริง
นพ.บัณฑิต ศรไพศาล ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยปัญหาสุรา กล่าวว่า จากการที่รัฐบาลมีมติให้ขึ้นอัตราภาษีสรรพสามิตนั้น เห็นว่าเป็นการขึ้นภาษีน้อยเกินกว่าที่จะทำได้เพราะความจริงรัฐบาลสามารถขึ้นภาษีได้เต็มเพดานมากกว่านี้ โดยเบียร์สามารถขึ้นภาษีได้ถึงร้อยละ 60 หรือเพิ่มขึ้น 7-9 บาทต่อขวด ส่งผลให้ราคาขายเพิ่มขึ้นร้อยละ 20 เหล้าขาวสามารถขึ้นไปได้ถึง 200 บาทต่อลิตร จะได้ภาษีเพิ่ม 22.50 ต่อ ขวด ราคาขายเพิ่มขึ้นร้อยละ 28 และรัฐจะได้ภาษีในภาพรวมถึงกว่า 23,000 ล้านบาท แทนที่จะได้เพียง 6,000 ล้านบาทจากการขึ้นอัตราภาษีครั้งนี้
“สิ่งที่รัฐบาลทำเป็นการแก้ปัญหาไม่ถูกจุด เพราะหากรัฐบาลและกรมสรรพสามิต ต้องการหาเงินเข้ารัฐ ก็น่าที่จะขึ้นภาษีในเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ที่ให้ส่วนแบ่งรายได้แก่รัฐในอัตราสูง เช่น สุรานำเข้า หรือเบียร์ แต่กลับขึ้นภาษีเหล้าขาว สุราปรุงพิเศษ ซึ่งมีสัดส่วนรายได้คืนให้แก่รัฐต่ำมาก ที่สำคัญบริษัทผู้นำเข้าสุราต่างประเทศก็จะหันไปผลิตตสุราราคาถูกที่มีเพดานภาษีต่ำ ทำให้กลุ่มเป้าหมายในการดื่มขยายวงกว้างขึ้น เพราะผู้บริโภคจะหันมาดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ราคาถูกเพราะเสียภาษีถูกกว่า” นายแพทย์บัณฑิต กล่าว
ขณะนี้โครงสร้างรายรับภาษีสรรพสามิตสุราของประเทศไทย ปี 2551 รัฐบาลได้ภาษีสรรพสามิตสุรายอดรวม 90,186 ล้านบาท จากอันดับ เบียร์ 53,369 บาท คิดเป็นร้อยละ 59 เหล้าขาว 11,605 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 13 เหล้าผสม 9,020 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 10 สุรานำเข้า 7,589 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 8.4 สุราพิเศษ ครอบคลุมบรั่นดี 6,151 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 6.8 สุราปรุงพิเศษ 198 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 0.2
**สิงห์แอบโฆษณาบนเว็บไซต์
นายแพทย์สมาน ฟูตระกูล ผู้อำนวยการเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และยาสูบ กรมควบคุมโรคกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า เมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม ที่ผ่านมา สำนักงานฯ ได้แจ้งความต่อผู้กำกับสถานีตำรวจภูธร จ.นนทบุรี กรณีบริษัท สิงห์ คอร์เปอเรชั่น จำกัด กระทำผิดกฎหมายตามพ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ.2551 ตามมาตรา 32 เนื่องจากฝ่าฝืนในการโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ยี่ห้อ ลีโอ เบียร์ ลงในเว็บไซต์ www.leolism.net และ www.leobeer.com โดยปรากฎข้อความบนฉลากของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ยี่ห้อดังกล่าว บนหน้าแรกของทั้งสองเว็บไซต์ว่า “เต็มเปี่ยมด้วยคุณภาพ” ซึ่งเป็นข้อความที่อยู่ด้านหลังฉลากเครื่องดื่มยี่ห้อดังกล่าว และคำว่า “SMOOTH & GREET TASTE” หมายความว่า รสนุ่มและยอดเยี่ยม และยังพบข้อความ “ลีโอเบียร์ ถูกคอ ถูกใจ” ด้านล่างเว็บไซต์
“นอกจากนี้ยังพบข้อความประกอบรูปภาพในเว็บไซต์ โดยมีคำว่า “เย็นๆ...ริมทะเล” ประกอบภาพขวดและกระป๋อง และคำว่า “พักผ่อนให้เต็มที่ วันนี้ไม่ต้องขับรถ” ประกอบภาพขวด ซึ่งฝ่าฝืนมาตรา 32 ที่ ห้ามโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หรือแสดงชื่อ หรือเครื่องหมายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่เป็นการอวดอ้างสรรพคุณ หรือชักจูงใจให้ผู้อื่นดื่มโดยตรงหรืออ้อม รวมทั้งการโฆษณา ประชาสัมพันธ์ สามารถทำได้โดยให้ข้อมูลข่าวสาร หรือความรู้เชิงสร้างสรรค์สังคม โดยไม่มีการปรากฎภาพของสินค้า หรือบรรจุภัณฑ์ของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ยกเว้นภาพสัญลักษณ์ ของเครื่องดื่มหรือบริษัทผู้ผลิตเท่านั้น หากฝ่าฝืนมีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี และปรับไม่เกิน 5 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ”นายแพทย์สมานกล่าว
***น้ำมันขึ้นวันนี้60สต./ลิตร
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วานนี้(7พ.ค.) ปตท.นำร่องแจ้งปรับราคาน้ำมันขายปลีกทุกชนิดเว้นอี 85 เพิ่มขึ้นอีกลิตรละ 60 สตางค์มีผลตั้งแต่วันนี้(8พ.ค.) เป็นต้นไปทำให้ผู้ค้ารายอื่นๆ แจ้งปรับตาม ส่งผลให้ราคาขายปลีกน้ำมันในเขตกทม.และปริมณฑลเป็นดังนี้ เบนซิน 91 เป็น 30.14 บาทต่อลิตร แก๊สโซฮอล์ 95 เป็น 26.34 บาทต่อลิตร แก๊สโซฮอล์ 91 เป็น 25.54 บาทต่อลิตร อี 20 เป็น 24.04 บาทต่อลิตร ดีเซล(บี2) เป็น23.39 บาทต่อลิตร และบี 5 เป็น 20.39 บาทต่อลิตร ส่วนอี 85 อยู่ที่ 24.04 บาทต่อลิตร
นายสมชัย เตชะวณิช ผู้อำนวยการพัฒนาธุรกิจตลาดค้าปลีก บริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) กล่าวยอมรับว่า ค่าการตลาดค่อนข้างต่ำเนื่องจาก 1-2 วันที่ผ่านมาราคาน้ำมันตลาดโลกได้ทยอยปรับขึ้นสูง อย่างไรก็ตามกรณีที่รัฐบาลจะปรับขึ้นภาษีสรรพสามิตน้ำมันอีก 2บาทต่อลิตรคงไม่มีผลต่อการขายปลีกเพราะคาดว่ารัฐบาลจะใช้กลไกกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเข้ามารับภาระแทนจึงไม่มีประโยชน์ที่จะเก็งกำไร
**คาดดีเซลไม่เกิน 30บ./ลิตร
นายมนูญ ศิริวรรณ ผู้เชี่ยวชาญด้านน้ำมัน กล่าวว่า การขึ้นภาษีสรรพสามิตน้ำมันั2 บาทต่อลิตรแม้ว่าจะไม่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงราคาขายปลีกทันทีเพราะใช้กลไกกองทุนน้ำมันฯมาอุดหนุนแต่ประชาชนต้องตระหนักว่าท้ายสุดกองทุนฯก็จะเรียกเก็บคืนจากประชาชนในช่วงราคาน้ำมันลดลงอยู่ดีซึ่งโชคดีที่ปีนี้ราคาน้ำมันไม่สูงนักเพราะเศรษฐกิจโลกชะลอตัวดังนั้นเฉลี่ยแล้วหากขึ้น 2 บาทต่อลิตรจริงดีเซลเฉลี่ยน่าจะอยู่ระดับ 28 บาทต่อลิตรและหากราคาดีเซลไม่เกิน 30 บาทต่อลิตรก็เชื่อว่าภาคธุรกิจไม่น่าจะมีปัญหา
**แนะทยอยขึ้นหวั่นกระทบค่าขนส่ง
นายสันติ วิลาสศักดานนท์ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.)กล่าวถึง กรณีการเก็บภาษีเหล้า เบียร์ ตามที่คณะรัฐมนตรี(ครม.)อนุมัติให้ปรับขึ้นทันทีนั้นเป็นวิธีการที่รัฐบาลจะนำมาชดเชยรายได้ของรัฐบาลที่ขาดหายไปจากการจัดเก็บภาษีต่างๆ ที่ไม่เป็นไปตาม ซึ่งการขึ้นภาษีสรรพสามิตดังกล่าวมีทั้งผลดีและผลเสีย ผลดีหากยอดขายสินค้ายังคงมีปริมาณเท่าเดิมเพราะรัฐบาลจะมีรายได้เพิ่มขึ้น แต่ถ้าขึ้นภาษีแล้วยอดขายสินค้าตกลงก็จะไม่มีประโยชน์อะไร
สำหรับกรณีรัฐเตรียมขอขยายเพดานปรับขึ้นภาษีสรรพสามิตน้ำมัน 2 บาทต่อลิตร นายสันติกล่าวว่า รัฐบาลควรจะใช้กลไกกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเข้ามาบริหารเพื่อไม่ให้กระทบต่อภาระประชาชนโดยเฉพาะส่วนของต้นทุนค่าขนส่งเพราะจะมีผลกระทบทางอ้อมต่อภาคการผลิตที่ขณะนี้คำสั่งซื้อได้ลดลงจากเศรษฐกิจชะลอตัว
“แม้ว่าจะใช้กลไกกองทุนฯบริหารแต่ท้ายสุดช่วงน้ำมันถูกกองทุนฯก็จะเรียกเก็บขึ้นอยู่ดีภาพรวมคือน้ำมันก็คือปรับขึ้นจากปกติ 2 บาทต่อลิตร รัฐบาลต้องค่อยๆดูว่าผู้ประกอบการภาคไหนที่จะช่วยเหลือได้บ้าง เช่น กลุ่มประมงเพื่อลดผลกระทบที่จะเกิดขึ้นเพราะกลุ่มประมงเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีน้ำมันเป็นต้นทุนและภาคขนส่งจะต้องไม่ให้ฉวยขึ้นค่าขนส่งเพิ่ม” นายสันติกล่าว.