รมว.คลังเตรียมเสนอแนวทางการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างให้นายกรัฐมนตรีเพื่อเข้าที่ประชุม ครม. ยันกว่าจะผ่านสภาคาดว่าต้องใช้เวลาเป็นปี ขณะที่การขึ้นภาษีน้ำมันไม่กระทบกับเอกชน เหตุกองทุนน้ำมันยังมีเงินเหลือ 1.5 หมื่นล้าน เพียงพออุดหนุนราคา โฆษก ปชป.ลั่นไม่มีคน ปชป.ได้ประโยชน์จากภาษีน้ำมัน ยันกู้เงินโปร่งใส แตกต่างรัฐบาลทักษิณกู้ก่อนเข้าสภา
นายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง เปิดเผยว่า กระทรวงการคลังอยู่ระหว่างศึกษากฎหมายภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างร่วมกับสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) คาดว่าเร็วๆ นี้ จะได้ข้อสรุปเพื่อเสนอให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี พิจารณาและเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่ออนุมัติ หลังจากนั้นจะนำเข้าสภาผู้แทนราษฎร คาดว่าเป็นขั้นตอนที่ต้องใช้เวลามากและไม่สามารถจัดเก็บภาษีได้ทันปี 2552
“เม็ดเงินแรกที่รัฐบาลจะได้รับจากการใช้ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง จะยังไม่เห็นภายใน 1-2 ปีนี้ และหลังจากออกกฎหมายแล้ว คลังจะพิจารณาจัดเก็บภาษีมรดกต่อไป และยืนยันว่าการใช้ภาษีดังกล่าวเป็นการขึ้นภาษีเพื่อสังคม ซึ่งจะมีผลดีต่อเศรษฐกิจ ไม่ใช่ขึ้นภาษีเพื่อหารายได้เป็นหลัก” นายกรณ์ กล่าว
ที่ผ่านมา กระทรวงการคลังได้หารือกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.)เพื่อทำความเข้าใจการเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง เป็นเป้าหมายหลักของรัฐบาลที่ต้องเดินหน้าจัดเก็บภาษีที่ดินเพื่อลดความเหลื่อมล้ำ ให้เกิดความยุติธรรม และที่ดินให้เป็นประโยชน์ต่อระบบเศรษฐกิจ ซึ่งรัฐบาลยืนยันว่าการขึ้นภาษีไม่ได้มีเป้าหมายหลักที่การจัดเก็บรายได้
ทั้งนี้ การจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างจะมีการจัดทำเป็น ร่าง พ.ร.บ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ทดแทนการจัดเก็บภาษีโรงเรือนและที่ดิน และภาษีบำรุงท้องที่ในส่วนของท้องถิ่นที่จัดเก็บอยู่ในปัจจุบัน กำหนดอัตราภาษี 3 อัตรา คือ อัตราภาษีทั่วไปไม่เกิน 0.5% ที่อยู่อาศัยโดยไม่เชิงพาณิชย์ไม่เกิน 0.1% และที่ดินเพื่อเกษตรกรรมไม่เกิน 0.05%
ในส่วนของภาษีน้ำมัน นายกรณ์กล่าวว่า หากมีการปรับขึ้นภาษีจริง เชื่อว่าจะไม่กระทบกับภาคธุรกิจ เนื่องจากกองทุนน้ำมัน ยังมีเงินกองทุนเหลือ 1.5 หมื่นล้านบาท ซึ่งเพียงพอที่จะช่วยในการอุดหนุนราคาน้ำมัน ทำให้ราคาหน้าปั๊มไม่ปรับสูงขึ้นมาในระยะสั้นๆ อย่างไรก็ตาม การจะเข้าไปอุดหนุนเท่าไหร่ เป็นนโยบายของกองทุนน้ำมัน ต้องไปพิจารณา
"ในระยะยาว รัฐบาลไม่ได้มีนโยบายให้ราคาน้ำมันถูก แต่จะรักษาระดับราคาน้ำมัน ทะยอยปรับขึ้นราคา ให้เหมาะสมคุ้มค่ากับการลงทุน ซึ่งในระยะยาวรัฐบาลมีนโยบายสนับสนุนให้ใช้พลังงานทดแทน เพื่อลดการนำเข้าน้ำมัน ที่ปัจจุบันมีการนำเข้ามากที่สุดในภูมิภาคเอเชีย ซึ่งหากทำสำเร็จก็จะช่วยยกราคาสินค้าเกษตรได้ด้วย"
สำหรับการจัดเก็บภาษีบุหรี่ จะใช้เกณฑ์เดียวกับการปรับขึ้นภาษีน้ำมัน ซึ่งต้องมีการออกพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) เพื่อขยายเพดานการจัดเก็บภาษี ซึ่งปัจจุบัน ทั้งภาษีน้ำมัน และภาษีบุหรี่ ที่จัดเก็บใกล้เต็มเพดานแล้ว
สุดสัปดาห์ที่ผ่านมา นายพฤฒิชัย ดำรงรัตน์ รมช.คลัง เปิดเผยว่า ภาษีสรรพสามิตน้ำมันจะขยายเพดานจัดเก็บไปถึง 10 บาทต่อลิตร จากปัจจุบันเพดานจัดเก็บอยู่ที่ 5 บาทต่อลิตรและจัดเก็บเต็มอัตราแล้วในส่วนของน้ำมันนเบนซิน 95 และ 91 ส่วนดีเซลเพดานจัดเก็บอยู่ที่ 4 บาทต่อลิตร แต่จัดเก็บขณะนี้ที่ 3.30 บาทต่อลิตร อย่างไรก็ตาม สำหรับอัตราที่จะจัดเก็บจริงจะยังไม่จัดเก็บเต็มเพดาน โดยเบนซินคาดจะจัดเก็บเพิ่ม 2 บาทต่อลิตร จะมีผลเพิ่มรายได้ให้รัฐต่อปี 5-5.5 หมื่นล้านบาท
ขณะที่ภาษีสรรพสามิตบุหรี่จะขยายเพดานจัดเก็บตามมูลค่าที่อัตราไปถึง 90% จากปัจจุบันจัดเก็บอยู่ที่ 80% ซึ่งคาดอัตราภาษีใหม่จะอยู่ที่ 85% โดยจะมีผลให้ราคาบุหรี่ต่อซองปรับเพิ่มประมาณ 11-16 บาท ซึ่งบุหรี่ไทย เช่น สายฝน กรองทิพย์ กรุงทอง ปรับเพิ่มขึ้นซองละ 11 บาท โดยราคาปัจจุบันอยู่ที่ซองละ 45 บาท เสียภาษีอยู่ที่ 23.92 บาท/ซอง จากอัตราใหม่จะทำให้ราคาขึ้นไปที่ซองละ 56 บาท และเสียภาษีซองละ 34.92 บาท
ส่วนบุหรี่นอก เช่น แอลเอ็มจะปรับเพิ่มซองละ 12 บาท และมาร์ลโบโรจะปรับเพิ่มซองละ 16 บาท จากราคาปัจจุบันอยู่ที่ซองละ 65 บาท เสียภาษีที่ซองละ 32.68 บาท อัตราใหม่จะทำให้ราคาปรับเพิ่มเป็นซองละ 81 บาท และเสียภาษีซองละ 48.60 บาท คาดจะสร้างรายได้เพิ่มเติมแก่รัฐปีละ 2 หมื่นล้านบาท
นายดุสิต นันทะนาคร ประธานสภาหอการค้าไทย กล่าวว่า การขึ้นภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง จะทำให้ภาคเอกชนมีภาระเพิ่ม แต่หากรัฐบาลจะจัดเก็บภาษีเพื่อหารายได้เพิ่มขึ้น ก็ยินดี อย่างไรก็ตาม ภาคเอกชน จะหารือเพื่อวางกรอบมาตรการต่างๆ ที่เป็นประโยชน์กับภาคเอกชนเพื่อเสนอรัฐบาล
โฆษก ปชป.ยันภาษีเป็นธรรม
นพ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงแนวคิดการเก็บภาษีที่ดินว่า มีการพูดคุยในพรรคหลายครั้ง อยู่บนหลักการการให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย โดยนายกรัฐมนตรีสั่งให้กระทรวงการคลังไปศึกษาการออกกฎหมายอย่างจริงจังและรอบคอบ ส่วนภาษีสรรพสามิตน้ำมันที่อยู่ระหว่างแก้กฎหมาย ตนขอท้าไปยังพรรคเพื่อไทยที่กล่าวหาว่าตัวแทนของพรรคประชาธิปัตย์ในภาคใต้ได้รับประโยชน์ ขอให้พรรคเพื่อไทย เปิดเผยมาให้ชัดว่าหมายถึงใครที่ได้ประโยชน์
นพ.บุรณัชย์ยังแถลงถึงกรณีที่พรรคเพื่อไทยกล่าวหาว่าการจัดทำงบประมาณภายใต้โครงการไทยเข้มแข็งปี 2555 เป็นไปด้วยเจตนาทางการเมืองและอาจขัดต่อบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญว่า ครั้งนี้โปร่งใส เพราะเป็นครั้งแรกที่จัดให้มีการพิจารณาการใช้เงินนอกงบประมาณเข้าสู่สภาฯ ภายใต้ พ.ร.ก.และ พ.ร.บ. ส่วนในอดีตการใช้จ่ายเงินนอกงบประมาณไม่เคยมีที่จัดทำในรูปแบบที่รัฐสภามีส่วนรู้เห็น จะมีการเสนอรัฐสภาหลังจากที่มีการก่อหนี้ไปแล้ว
ส่วนเงินกู้ 2 แสนล้านบาท ใน พ.ร.ก. ที่พรรคเพื่อไทยกล่าวหาว่าดำเนินการเพราะมีแรงจูงใจทางการเมืองนั้น พรรคขอยืนยันว่าเงิน 2 แสนล้านบาทก้อนหลังที่อยู่ใน พ.ร.ก. เป็นการใช้จ่ายในโครงการที่มีความพร้อมดำเนินการได้ทันที ก่อนวันที่ 1 ต.ค.นี้ ซึ่งเป็นปีปฏิทินงบประมาณตามปกติ และได้เลือกเฉพาะโครงการที่กระจายประโยชน์สู่ทุกพื้นที่ของประเทศ มีการจ้างงานและสร้างงานในชุมชนท้องถิ่น โดยประเมินว่า จะสามารถจ้างงานได้ประมาณ 1.6–2 ล้านตำแหน่ง โดยไม่เลือกปฏิบัติเหมือนในอดีต ที่จัดให้เฉพาะพื้นที่ที่เป็นฐานเสียงทางการเมือง
โครงการหลักของงบเงินกู้ 2 แสนล้านบาท ได้แก่ โครงการจัดทำแหล่งน้ำและระบบชลประทาน ถนนสู่หมู่บ้าน โครงการบูรณะซ่อมแซมยกระดับโรงเรียนทั่วประเทศให้มีอุปกรณ์ที่มีความพร้อมและห้องสมุด ยกระดับสถานีอนามัยขึ้นเป็นโรงพยาบาลสร้างเสริมสุขภาพประจำตำบล เป็นต้น
"การที่พรรคเพื่อไทยจะยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความ พ.ร.ก.เงินกู้ฯ พรรคก็พร้อมที่จะให้การตรวจสอบเป็นไปตามขั้นตอน แต่หากทำให้โครงการล่าช้าออกไป ผู้ได้รับผลกระทบ คือประชาชน ซึ่งหากยังกังวลว่าการออก พ.ร.ก.เป็นการเอื้อประโยชน์ทางการเมือง เหมือนกับรัฐบาลในอดีตที่ออก พ.ร.ก.ภาษีสรรพสามิตโทรคมนาคม จนเกิดปัญหาก็สามารถยื่นให้ศาลตรวจสอบได้ แต่ขอยืนยันว่า รัฐบาลไม่มีการทับซ้อนของผลประโยชน์ทางการเมือง การทำงานของรัฐบาลอยู่บนพื้นฐานของการไม่ขายสมบัติของชาติ ไม่มีการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ ที่ให้สัมปทานผูกขาดตกอยู่ในมือเอกชน โดยการขึ้นภาษีที่มีฐานจำกัด และรัฐบาลกู้เงินมาเพื่อลงทุน ไม่ใช่กู้มาเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายหรือกู้มาเพื่อให้ประชาชนกู้ต่อ และเป็นหนี้เหมือนในอดีต ที่กู้เงินโดยไม่รับผิดชอบ ถือว่ามีความแตกต่างกันมาก" นพ.บุรณัชย์กล่าว.
นายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง เปิดเผยว่า กระทรวงการคลังอยู่ระหว่างศึกษากฎหมายภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างร่วมกับสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) คาดว่าเร็วๆ นี้ จะได้ข้อสรุปเพื่อเสนอให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี พิจารณาและเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่ออนุมัติ หลังจากนั้นจะนำเข้าสภาผู้แทนราษฎร คาดว่าเป็นขั้นตอนที่ต้องใช้เวลามากและไม่สามารถจัดเก็บภาษีได้ทันปี 2552
“เม็ดเงินแรกที่รัฐบาลจะได้รับจากการใช้ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง จะยังไม่เห็นภายใน 1-2 ปีนี้ และหลังจากออกกฎหมายแล้ว คลังจะพิจารณาจัดเก็บภาษีมรดกต่อไป และยืนยันว่าการใช้ภาษีดังกล่าวเป็นการขึ้นภาษีเพื่อสังคม ซึ่งจะมีผลดีต่อเศรษฐกิจ ไม่ใช่ขึ้นภาษีเพื่อหารายได้เป็นหลัก” นายกรณ์ กล่าว
ที่ผ่านมา กระทรวงการคลังได้หารือกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.)เพื่อทำความเข้าใจการเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง เป็นเป้าหมายหลักของรัฐบาลที่ต้องเดินหน้าจัดเก็บภาษีที่ดินเพื่อลดความเหลื่อมล้ำ ให้เกิดความยุติธรรม และที่ดินให้เป็นประโยชน์ต่อระบบเศรษฐกิจ ซึ่งรัฐบาลยืนยันว่าการขึ้นภาษีไม่ได้มีเป้าหมายหลักที่การจัดเก็บรายได้
ทั้งนี้ การจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างจะมีการจัดทำเป็น ร่าง พ.ร.บ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ทดแทนการจัดเก็บภาษีโรงเรือนและที่ดิน และภาษีบำรุงท้องที่ในส่วนของท้องถิ่นที่จัดเก็บอยู่ในปัจจุบัน กำหนดอัตราภาษี 3 อัตรา คือ อัตราภาษีทั่วไปไม่เกิน 0.5% ที่อยู่อาศัยโดยไม่เชิงพาณิชย์ไม่เกิน 0.1% และที่ดินเพื่อเกษตรกรรมไม่เกิน 0.05%
ในส่วนของภาษีน้ำมัน นายกรณ์กล่าวว่า หากมีการปรับขึ้นภาษีจริง เชื่อว่าจะไม่กระทบกับภาคธุรกิจ เนื่องจากกองทุนน้ำมัน ยังมีเงินกองทุนเหลือ 1.5 หมื่นล้านบาท ซึ่งเพียงพอที่จะช่วยในการอุดหนุนราคาน้ำมัน ทำให้ราคาหน้าปั๊มไม่ปรับสูงขึ้นมาในระยะสั้นๆ อย่างไรก็ตาม การจะเข้าไปอุดหนุนเท่าไหร่ เป็นนโยบายของกองทุนน้ำมัน ต้องไปพิจารณา
"ในระยะยาว รัฐบาลไม่ได้มีนโยบายให้ราคาน้ำมันถูก แต่จะรักษาระดับราคาน้ำมัน ทะยอยปรับขึ้นราคา ให้เหมาะสมคุ้มค่ากับการลงทุน ซึ่งในระยะยาวรัฐบาลมีนโยบายสนับสนุนให้ใช้พลังงานทดแทน เพื่อลดการนำเข้าน้ำมัน ที่ปัจจุบันมีการนำเข้ามากที่สุดในภูมิภาคเอเชีย ซึ่งหากทำสำเร็จก็จะช่วยยกราคาสินค้าเกษตรได้ด้วย"
สำหรับการจัดเก็บภาษีบุหรี่ จะใช้เกณฑ์เดียวกับการปรับขึ้นภาษีน้ำมัน ซึ่งต้องมีการออกพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) เพื่อขยายเพดานการจัดเก็บภาษี ซึ่งปัจจุบัน ทั้งภาษีน้ำมัน และภาษีบุหรี่ ที่จัดเก็บใกล้เต็มเพดานแล้ว
สุดสัปดาห์ที่ผ่านมา นายพฤฒิชัย ดำรงรัตน์ รมช.คลัง เปิดเผยว่า ภาษีสรรพสามิตน้ำมันจะขยายเพดานจัดเก็บไปถึง 10 บาทต่อลิตร จากปัจจุบันเพดานจัดเก็บอยู่ที่ 5 บาทต่อลิตรและจัดเก็บเต็มอัตราแล้วในส่วนของน้ำมันนเบนซิน 95 และ 91 ส่วนดีเซลเพดานจัดเก็บอยู่ที่ 4 บาทต่อลิตร แต่จัดเก็บขณะนี้ที่ 3.30 บาทต่อลิตร อย่างไรก็ตาม สำหรับอัตราที่จะจัดเก็บจริงจะยังไม่จัดเก็บเต็มเพดาน โดยเบนซินคาดจะจัดเก็บเพิ่ม 2 บาทต่อลิตร จะมีผลเพิ่มรายได้ให้รัฐต่อปี 5-5.5 หมื่นล้านบาท
ขณะที่ภาษีสรรพสามิตบุหรี่จะขยายเพดานจัดเก็บตามมูลค่าที่อัตราไปถึง 90% จากปัจจุบันจัดเก็บอยู่ที่ 80% ซึ่งคาดอัตราภาษีใหม่จะอยู่ที่ 85% โดยจะมีผลให้ราคาบุหรี่ต่อซองปรับเพิ่มประมาณ 11-16 บาท ซึ่งบุหรี่ไทย เช่น สายฝน กรองทิพย์ กรุงทอง ปรับเพิ่มขึ้นซองละ 11 บาท โดยราคาปัจจุบันอยู่ที่ซองละ 45 บาท เสียภาษีอยู่ที่ 23.92 บาท/ซอง จากอัตราใหม่จะทำให้ราคาขึ้นไปที่ซองละ 56 บาท และเสียภาษีซองละ 34.92 บาท
ส่วนบุหรี่นอก เช่น แอลเอ็มจะปรับเพิ่มซองละ 12 บาท และมาร์ลโบโรจะปรับเพิ่มซองละ 16 บาท จากราคาปัจจุบันอยู่ที่ซองละ 65 บาท เสียภาษีที่ซองละ 32.68 บาท อัตราใหม่จะทำให้ราคาปรับเพิ่มเป็นซองละ 81 บาท และเสียภาษีซองละ 48.60 บาท คาดจะสร้างรายได้เพิ่มเติมแก่รัฐปีละ 2 หมื่นล้านบาท
นายดุสิต นันทะนาคร ประธานสภาหอการค้าไทย กล่าวว่า การขึ้นภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง จะทำให้ภาคเอกชนมีภาระเพิ่ม แต่หากรัฐบาลจะจัดเก็บภาษีเพื่อหารายได้เพิ่มขึ้น ก็ยินดี อย่างไรก็ตาม ภาคเอกชน จะหารือเพื่อวางกรอบมาตรการต่างๆ ที่เป็นประโยชน์กับภาคเอกชนเพื่อเสนอรัฐบาล
โฆษก ปชป.ยันภาษีเป็นธรรม
นพ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงแนวคิดการเก็บภาษีที่ดินว่า มีการพูดคุยในพรรคหลายครั้ง อยู่บนหลักการการให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย โดยนายกรัฐมนตรีสั่งให้กระทรวงการคลังไปศึกษาการออกกฎหมายอย่างจริงจังและรอบคอบ ส่วนภาษีสรรพสามิตน้ำมันที่อยู่ระหว่างแก้กฎหมาย ตนขอท้าไปยังพรรคเพื่อไทยที่กล่าวหาว่าตัวแทนของพรรคประชาธิปัตย์ในภาคใต้ได้รับประโยชน์ ขอให้พรรคเพื่อไทย เปิดเผยมาให้ชัดว่าหมายถึงใครที่ได้ประโยชน์
นพ.บุรณัชย์ยังแถลงถึงกรณีที่พรรคเพื่อไทยกล่าวหาว่าการจัดทำงบประมาณภายใต้โครงการไทยเข้มแข็งปี 2555 เป็นไปด้วยเจตนาทางการเมืองและอาจขัดต่อบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญว่า ครั้งนี้โปร่งใส เพราะเป็นครั้งแรกที่จัดให้มีการพิจารณาการใช้เงินนอกงบประมาณเข้าสู่สภาฯ ภายใต้ พ.ร.ก.และ พ.ร.บ. ส่วนในอดีตการใช้จ่ายเงินนอกงบประมาณไม่เคยมีที่จัดทำในรูปแบบที่รัฐสภามีส่วนรู้เห็น จะมีการเสนอรัฐสภาหลังจากที่มีการก่อหนี้ไปแล้ว
ส่วนเงินกู้ 2 แสนล้านบาท ใน พ.ร.ก. ที่พรรคเพื่อไทยกล่าวหาว่าดำเนินการเพราะมีแรงจูงใจทางการเมืองนั้น พรรคขอยืนยันว่าเงิน 2 แสนล้านบาทก้อนหลังที่อยู่ใน พ.ร.ก. เป็นการใช้จ่ายในโครงการที่มีความพร้อมดำเนินการได้ทันที ก่อนวันที่ 1 ต.ค.นี้ ซึ่งเป็นปีปฏิทินงบประมาณตามปกติ และได้เลือกเฉพาะโครงการที่กระจายประโยชน์สู่ทุกพื้นที่ของประเทศ มีการจ้างงานและสร้างงานในชุมชนท้องถิ่น โดยประเมินว่า จะสามารถจ้างงานได้ประมาณ 1.6–2 ล้านตำแหน่ง โดยไม่เลือกปฏิบัติเหมือนในอดีต ที่จัดให้เฉพาะพื้นที่ที่เป็นฐานเสียงทางการเมือง
โครงการหลักของงบเงินกู้ 2 แสนล้านบาท ได้แก่ โครงการจัดทำแหล่งน้ำและระบบชลประทาน ถนนสู่หมู่บ้าน โครงการบูรณะซ่อมแซมยกระดับโรงเรียนทั่วประเทศให้มีอุปกรณ์ที่มีความพร้อมและห้องสมุด ยกระดับสถานีอนามัยขึ้นเป็นโรงพยาบาลสร้างเสริมสุขภาพประจำตำบล เป็นต้น
"การที่พรรคเพื่อไทยจะยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความ พ.ร.ก.เงินกู้ฯ พรรคก็พร้อมที่จะให้การตรวจสอบเป็นไปตามขั้นตอน แต่หากทำให้โครงการล่าช้าออกไป ผู้ได้รับผลกระทบ คือประชาชน ซึ่งหากยังกังวลว่าการออก พ.ร.ก.เป็นการเอื้อประโยชน์ทางการเมือง เหมือนกับรัฐบาลในอดีตที่ออก พ.ร.ก.ภาษีสรรพสามิตโทรคมนาคม จนเกิดปัญหาก็สามารถยื่นให้ศาลตรวจสอบได้ แต่ขอยืนยันว่า รัฐบาลไม่มีการทับซ้อนของผลประโยชน์ทางการเมือง การทำงานของรัฐบาลอยู่บนพื้นฐานของการไม่ขายสมบัติของชาติ ไม่มีการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ ที่ให้สัมปทานผูกขาดตกอยู่ในมือเอกชน โดยการขึ้นภาษีที่มีฐานจำกัด และรัฐบาลกู้เงินมาเพื่อลงทุน ไม่ใช่กู้มาเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายหรือกู้มาเพื่อให้ประชาชนกู้ต่อ และเป็นหนี้เหมือนในอดีต ที่กู้เงินโดยไม่รับผิดชอบ ถือว่ามีความแตกต่างกันมาก" นพ.บุรณัชย์กล่าว.
