นายกฯ เชื่อ ออก พ.ร.ก.กู้เงินนอกไม่ผิดรัฐธรรมนูญ ชี้ แบ่ง 2 ส่วน ออกทั้ง พ.ร.ก.และ พ.ร.บ.อย่างละ 4 แสนล้าน โต้ ทุก รบ.ต้องกู้ ไม่เว้น รบ.“ทักษิณ” ไม่สนฉายา “นักสู้กู้สิบทิศ” มั่นใจผ่านสภา ลั่น ขึ้นภาษีบาปสร้างความเป็นธรรม ไม่กระทบคนส่วนรวม
คลิกที่นี่ เพื่อฟัง นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ให้สัมภาษณ์
วันนี้ (11 พ.ค.) นายอภิสิทธิ์ กล่าวถึงการที่ฝ่ายค้านเตรียมยื่นเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้มีการตีความการออก พ.ร.ก.การกู้เงินจากต่างประเทศของรัฐบาล จำนวน 4 แสนล้านบาท ที่จะมีการทบทวน ว่า ไม่หรอก เราได้ดำเนินการไปตามเงื่อนไขของรัฐธรรมนูญ ถือว่าเป็นครั้งแรกที่มีการออก พ.ร.บ.ให้อำนาจในการกู้เงินด้วย เพราะเห็นว่า ที่เข้าเงื่อนไขที่จะเป็น พ.ร.ก.ไม่ใช่ 8 แสนล้าน เข้าเฉพาะ 4 แสน เสนอเป็น พ.ร.บ. 4 แสนล้าน และ พ.ร.ก.4 แสนล้านบาท แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลไม่ได้มีเจตนาหลบเลี่ยง วิธีการใช้ พ.ร.บ.แต่จะพิจารณาเฉพาะส่วนที่เข้าเงื่อนไขรัฐธรรมนูญ ที่ต้องออกเป็น พ.ร.ก.ไม่มีการตีความว่าบิดเบือนข้อเท็จจริง ทุกอย่างจะเข้าสภาในยอดที่อยู่ใน พ.ร.ก.เพื่อให้สภาสามารถตรวจสอบได้ รวมไปทั้งโครงการต่างๆ ด้วย เพราะในอดีตไม่มีการเสนอโครงการ จำนวนที่จะกู้เงินเท่าไหร่ เพราะเราต้องการให้ส.ส.รับทราบว่า สิ่งที่รัฐบาลทำเป็นประโยชน์อย่างไร โปร่งใสอย่างไร กระจายอย่างไร โดยเฉพาะเงินก้อนใหญ่ที่จะดำเนินการเรื่องแหล่งน้ำ เรื่องถนน และระบบขนส่ง ซึ่งสำคัญมากทั้งหมดที่ทำอยู่นี้ เป็นการที่จะทำให้ประเทศไทยเข้มแข็ง ด้านโครงสร้างพื้นฐาน การลดต้นทุนได้
“มันก็กู้มาทุกรัฐบาล ทั้ง พ.ร.ก.กู้เงินครั้งสุดท้ายที่จะออกก่อนรัฐบาลนี้ก็มีสมัยท่านนายกฯทักษิณ ชินวัตร ส่วนเรื่องการขึ้นภาษีมรดก และภาษีที่ดินนั้น เป็นนโยบาย ซึ่ง รมว.คลัง พูดมาตั้งแต่ต้นรัฐบาล เป็นของใหม่ต้องออกกฎหมาย มีรายละเอียดมาก งานหลักของรัฐบาลตอนนี้ รัฐบาลเห็นว่า เศรษฐกิจกำลังได้รับผลกระทบ รัฐบาลต้องการลงทุน เพื่อให้ไทยมีความพร้อมในภาวะที่ เอกชนมีความลังเล การส่งออกได้รับผลกระทบ ผู้บริโภคยังไม่มั่นใจ รัฐบาลทำหน้าที่ลงทุนด้วย เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วย ซึ่งเราลงทุนในสิ่งที่เราขาดแคลนอยู่แล้ว ถ้าเราเพิ่มพื้นที่ แหล่งน้ำ รับการกระจายน้ำ เพิ่มผลผลิตการเกษตร ถนนดีขึ้น รถไฟรางคู่ ขนส่งมวลชน เราจะสามารถแข่งขันได้ แต่ปัญหาคือ เราจะเอาเงินมาจากไหน รัฐบาลบอกว่า ในแง่ภาษีไม่มีความคิดขึ้นภาษีเงินได้ เพราะอัตตราภาษีเงินได้ค่อนข้างสูงอยู่แล้วทั้งบุคคลธรรมดา และนิติบุคคล แต่เราจะขึ้นภาษีสรรพามิตร คิดว่าทุกคนจะรับได้ ส่วนภาษีน้ำมันแม้จะขยายเพดานขึ้นไป ช่วงแรกมีการจัดเก็บกองทุนน้ำมันให้เข้ามาดูแลชดเชยได้ จะไม่กระทบให้ต้นทุนเพิ่มขึ้น ส่วนภาษีทรัพย์สิน และภาษีมรดก จะทำให้เกิดความเป็นธรรมมากขึ้นในสังคม ก็เดินหน้า ฉะนั้นจริงๆเรื่องรายได้จะเป็นเรื่องรอง แต่ตัวที่เราจัดเก็บคือภาษีบาป กับภาษีที่จะสร้างความเป็นธรรม”นายอภิสิทธิ์ หัวเราะเบาๆ ตอบคำถามถึงการตั้งฉายาให้ว่า “นักสู้กู้สิบทิศ”
เมื่อถามว่า มั่นใจว่า สามารถชี้แจงหรือโน้มน้าวให้สมาชิกรัฐสภาเห็นชอบ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า มั่นใจ ไม่มีปัญหาการคว่ำร่าง ตนมั่นใจ และคิดว่า มั่นใจเชื่อว่า ทุกคนต้องการเห็นการลงทุน ไม่ต้องการที่จะเห็นประเทศไทยลงทุนเรื่องที่เป็นประโยชน์กับเกษตรกร ธุรกิจ การศึกษาเป็นการลงคะแนนที่จะให้เราสร้างแหล่งน้ำ สร้างถนน สร้างโรงเรียน หากใครคัดค้านก็ต้องชี้แจงให้ได้ว่าทำไมเราถึงไม่สมควรลงทุนในสิ่งเหล่านี้
เมื่อถามว่า มีการโจมตีว่าการขึ้นภาษีเหล้า บุหรี่ จะทำให้สินค้าหนีภาษีมากขึ้น นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ถ้าเราคิดอย่างนั้นต้องแก้ที่จะทำอย่างไรป้องกันไม่ให้เกิดการลักลอบ อัตราที่ขึ้นไปเพียง 5 เปอร์เซ็น เทียบกับฐานเดิมไม่มากที่จะส่งผลขนาดนั้น เป็นเรื่องที่เราต้องกำชับกระทรวงการคลังเองก็ดูโครงการในการปรับปรุงวิธีการตรวจสอบเรื่องดังกล่าวอยู่แล้ว ตนได้ให้นโยบายไป 2-3 เดือนก่อนหน้า ว่า ระบบในหลายประเทศมีการป้องกันเรื่องเหล้า บุหรี่ ก็จะไปทำ
เมื่อถามว่า ภายในพรรคประชาธิปัตย์เองก็มีการติงเรื่องเพดานการกู้เงินจากต่างประเทศถึง 8 แสนล้าน นายอภิสิทธิ์ กล่าวชี้แจงว่า ยามนี้เป็นยามที่รัฐบาลต้องลงทุน ทั่วโลกมองเหมือนกันว่าภาครัฐมีความพร้อมมากที่สุด อยู่ในฐานะที่ทำได้เร็ว นอกจากกระตุ้นเศรษฐกิจแล้ว เป็นสิทธิที่เราควรจะทำอยู่แล้วเพื่อให้ประเทศเข้มแข็งขึ้น
เมื่อถามว่า ภาษีมรดกมีการวิจารณ์ว่าสาเหตุที่รัฐบาลช้าเพราะเกรงว่าจะกระทบต่อคนรวย นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ไม่หรอก จริงๆ แล้วเป็นเรื่องที่ไม่มีรัฐบาลไหนในอดีตระบุว่าจะทำ แต่ตัวกฎหมายต้องวางระบบด้วยความรอบคอบ จะเห็นว่าในหลายประเทศเองมีการปรับเปลี่ยนค่อนข้างมาก มีการหลบเลี่ยงเยอะ แต่ภาษีทรัพย์สินน่าจะเร็วกว่า เพราะเป็นเรื่องที่เราศึกษาหลายรอบ และคิดว่าน่าจะทำได้ เพราะจะเป็นการช่วยเหลือท้องถิ่นด้วยเป็นแหล่งรายได้ท้องถิ่นมากที่สุด
เมื่อถามว่า รัฐบาลผ่านมา 4 เดือน แต่แหล่งรายได้ของรัฐบาลไม่มากเท่าที่ควร นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า จริงๆแล้วต้องดูหลายปัจจัยประกอบกัน เงินที่รัฐบาลเริ่มลงจริงๆนั้น เดือนเมษายน จะทำให้เห็นว่ามีตัวชี้วัดหลายตัวเมื่อเทียบกับเดือนกุมพาพันธ์ ยกเว้นเดือนเมษายนที่มีการชุมนุม และเหตุการณ์ทางการเมือง รวมไปถึงเศรษฐกิจโลกเป็นปัจจัยสำคัญ แต่ที่ตนพูดมาตั้งแรกคือในครึ่งปีแรกมีการชะลอการหดตัว ซึ่งคิดว่าในไตรมาสที่ 2 น่าจะเป็นไปตามเป้า และคิดว่า ในไตรมาสที่ 4 น่าจะเป็นไปตามทีกำหนดไว้
เมื่อถามว่า การที่ นายโอฬาร ไชยประวัติ อดีต รมว.คลัง ออกมาติงคืออะไร นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า จุดที่ นายโอฬาร ออกมาติง คือ เรื่องปัญหาการปล่อยสินเชื่อ คนในรัฐบาลไม่พอใจการปล่อยสินเชื่อของธนาคาร แต่ต้องยอมรับว่า เป็นเรื่องการตัดสินใจของเอกชน ที่ผ่านมาปัญหาเกิดขึ้นทุกครั้งที่เศรษฐกิจชะลอตัวลง และพยายามใช้มาตรการประกันสินเชื่อบ้าง ส่วนกรณีการท่องเที่ยวมีการขานรับที่ดีขึ้น แต่เราไม่สามารถบังคับให้เอกชนปล่อยสินเชื่อได้ แล้วไม่ต้องการให้ขยายสินเชื่อแล้วกลายเป็นหนี้เสียต้องหาความพอดี ส่วนจุดอื่นยอมรับกันได้ ส่วนข้อเสนอของ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ อดีตรัฐมนตรีคลังสมัยรัฐบาลทักษิณ ที่เสนอให้ค่าเงินบาทอ่อนตัว คิดว่า เราดูแลอยู่แล้ว ไม่ให้ค่าบาทผันผวนและมีค่าแข็งเกินไปจนเกิดความเสียเปรียบและดูตัวเลขการเคลื่อนไหวของอัตราแลกเปลี่ยนอยู่แล้วใน ครม.เศรษฐกิจ
เมื่อถามว่า ในฐานะคนทำงานถือว่าสอบผ่านเรื่องเศรษฐกิจหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า คิดว่า เคยประกาศไว้เป็นเป้าหมายน่าจะทำได้อยู่ ส่วนเรื่องการขึ้นราคาบุหรี่ยังไม่ขึ้น อย่างไรก็ตามเรื่องโครงการต้นกล้าอาชีพที่มีการติงกันนั้น ก็ถือว่าการดำเนินการเป็นไปตามเป้าหมายอยู่ มีเสียงวิจารณ์กันมากเพียง 3-4 วันแรก เข้าใจว่า หลังการอบรมก็เป็นไปตามเป้าหมาย ดูจากเว็บไซต์ช่วยชาติได้หมดว่าเป็นไปตามเป้าหมายหรือไม่ ส่วนทุกโครงการที่จะดำเนินการมีการเตรียมการและป้องกันการทุจริตไว้ทุกโครงการ หลักเกณฑ์สำคัญที่สุดของทุกโครงการคือ ความพร้อมในการดำเนินการ ถ้าไม่พร้อมก็จะตัดไปในทันที