xs
xsm
sm
md
lg

บลจ.ชี้ลงทุนหุ้นเต็มร้อยยังเสี่ยง

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ASTVผู้จัดการรายวัน - บิ้ก "เอ็มเอฟซี" ชี้ นักลงทุนแห่โดดเข้าตลาดหุ้น เพราะเชื่อมั่นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ จะฉุดมะกัน-โลกฟื้น เช่นเดียวกับจีน แต่มองหุ้นไทยยังอ่อนไหว แม้ดีชนีดีดตัวผ่านระดับ 500 จุดไปแล้ว เหตุมีโอกาสขึ้นและลงเท่ากัน เผยกลยุทธ์ จัดสรรเงินเก็งกำไรตามรอบ ย้ำยังไม่ใช่จังหวะลงทุนเต็มที่ ด้าน บลจ.วรรณ ประเมิน ข่าวดีมีลุ้นดันดัชนีผ่าน 510 จุด ขณะที่ "บีที" หวังรัฐจัดอาเซียนรอบ 2 เรียกความเชื่อมั่นกลับ

นายพิชิต อัคราทิตย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงมุมมองการลงทุนในตลาดหุ้นไทยว่า บรรยาศการลงทุนที่ปรับตัวดีขึ้น ส่วนหนึ่งมาจากความมั่นใจของนักลงทุนต่อแนวทางการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและปัญหาสถาบันการเงินของสหรัฐฯ ว่าจะเป็นบวกมากกว่าลบ หรือพอจะมองเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์แล้ว แต่ความเชื่อมั่นดังกล่าว เป็นเพียงความมั่นใจว่าจะสามารถแก้ไขปัญหาระบบสถาบันการเงิน และปัญหาซัพไพรม์ได้เท่านั้น เพราะไม่ได้หมายความว่าจะทำให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ รวมถึงเศรษฐกิจโลกฟื้นตัวแต่อย่างใด ซึ่งขณะนี้เอง ก็ยังไม่เห็นสัญญาณใดที่จะบ่งบอกว่า ปัจจัยพื้นฐานจึงดึงเศรษบกิจสหรัฐฯ และเศรษฐกิจโลกออกจากภาวะถดถอยได้
นอกจากนี้ การที่ประเทศจีนถูกคาดหมายว่า ในปีนี้เศรษฐกิจจะสามารถขยายตัวได้ถึง 6.5% นั้น ก็เป็นปัจจัยสนับสนุนเช่นกัน เนื่องจากรัฐบาลจีนเองใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างมหาศาล ทั้งมาตรการทางการเงินและการคลังเช่นเดียวกับประเทศอื่นๆ ทั่วโลก ดังนั้น นักลงทุนจึงค่อนข้างมั่นใจว่า มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศอื่นๆ ทั่วโลก จะได้ผลเช่นเดียวกับที่เกิดขึ้นกับประเทศจีน ซึ่งหลังจากนี้ เศรษฐกิจจีนเองเริ่มนิ่งแล้วและโอกาสตกต่ำกว่านี้มีน้อยแล้ว
"ปัจจัยทั้งหมดที่กล่าวมา ทำให้นักลงทุนส่วนหนึ่งเข้ามาเก็งกำไรระยะสั้น เนื่องจากมั่นใจว่าในไม่ช้า เศรษฐกิจอาจจะฟื้นตัว"นายพิชิตกล่าว
อย่างไรก็ตาม มองว่าหลังจากนี้ ดัชนีหุ้นไทยมีโอกาสทั้งขึ้นและลง ถึงแม้ว่าดัชนีจะผ่านที่ระดับ 500 จุดไปแล้วนั้น ก็มีโอกาสปรับลดลงได้เช่นกัน หากมีปัจจัยลบที่มีผลกระทบต่อความมั่นใจเข้ามา ซึ่งถือว่าช่วงนี้ ตลาดหุ้นไทยอยู่ในช่วงที่มีความอ่อนไหวค่อนข้างสูง
นายพิชิตกล่าวว่า สำหรับพอร์ตการลงทุนของเอ็มเอฟซีในช่วงนี้ มีการจัดสรรเงินส่วนหนึ่งสำหรับลงทุนเล่นรอบด้วย เพราะเราเองก็มีการคาดการณ์ด้วยว่าตลาดหุ้นจะปรับขึ้นหรือปรับลง แล้วหาโอกาสทำกำไรในการเล่นรอบแต่ละครั้ง ซึ่งการตัดสินใจลงทุนเองต้องเร็วด้วย อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ มองว่ายังไม่ใช่เวลาที่เหมาะสำหรับการลงทุนเต็มที่ และถึงแม้ว่าหลังจากนี้ ดัชนีจะปรับลดลงไปต่ำกว่า 500 จุดอีกครั้ง ก็ยังไม่ใช่จังหวะของการลงทุนเต็มที่เช่นกัน
นางสาวสหัทยา สรรค์ประสิทธิ์ ผู้จัดการกองทุนอาวุโส บลจ. วรรณ กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น เนื่องมาจากในช่วงระยะเวลา 2 เดือนที่ผ่านมา ได้รับอานิสงส์จากนักลงทุนต่างชาติที่เริ่มกลับเข้ามาลงทุนในตลาดเพิ่มขึ้น จึงทำให้ดัชนีปรับตัวขึ้นมาอยู่ในระดับที่ดีมาก โดยสามารถผ่านแนวต้านที่ 480 จุดมาได้ แต่หลังจากนี้ โอกาสที่ดัชนีตลาดหุ้นจะปรับตัวลดลงนั้นยังมีความเป็นไปได้ จากแรงเทขายหุ้นเพื่อทำกำไรระยะสั้นของนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ ดังนั้น นักลงทุนจึงจำเป็นต้องเพิ่มความระมัดระวังในการลงทุนเป็นอย่างมาก และต้องคอยติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด
ส่วนโอกาสที่ตลาดหุ้นจะปรับตัวเพิ่มขึ้นนั้นมีน้อย เนื่องจากแรงซื้อของนักลงทุนต่างชาติขณะนี้เริ่มลดน้อยลงจากช่วงก่อน อย่างไรก็ตาม แม้แรงซื้อจากนักลงทุนต่างชาติจะลดน้อยลง แต่จากปัจจัยบวกต่างๆที่เริ่มมีเข้ามา อาจจะทำให้ระยะสั้นดัชนีมีโอกาสปรับตัวขึ้นไปถึง 510 จุดได้
นางสาวสหัทยากล่าวว่า การปรับตัวดีขึ้นของตลาดหหุ้นเอง ส่งผลให้ผลการดำเนินงานย้อนหลังของกองทุนรวมตราสารทุนภายใต้การบริหารจัดการปรับตัวขึ้น่นกัน โดยกองทุนส่วนใหญ่ล้วนแล้วแต่มีผลการดำเนินงานสูงกว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์ทุกกองทุน โดยกลยุทธ์การลงทุนของบลจ.วรรณ นั้น ที่ผ่านมามีการปรับพอร์ตการลงทุนบ้างเพียงเล็กน้อย โดยปรับเปลี่ยนการถือครองเงินสดให้น้อยลงจากช่วงก่อนหน้านี้ จากนั้นจึงเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในหุ้นให้มากขึ้น ซึ่งเราจะเน้นลงทุนในหุ้นเป็นรายตัวมากกว่า
ทั้งนี้ ที่ผ่านมาเราให้น้ำหนักการลงทุนในหุ้นพลังงาน และ ธนาคารเป็นหลัก เพราะมองว่าโอกาสที่ราคาหุ้นจะปรับตัวเพิ่มขึ้นมีสูงกว่าหุ้นกลุ่มอื่นๆ และการที่ผลการดำเนินงานของกองทุนหุ้นของเราปรับตัวอยู่สูงกว่าตลาด ก็เป็นผลมาจากกองทุนหุ้นของเราได้รับอานิสงส์จากการที่ราคาหุ้นพลังงานปรับตัวเพิ่มขึ้นด้วย"
ด้านนายอนุสรณ์ บูรณกานนท์ กรรมการผู้จัดการ บลจ.บีที กว่าวว่า กลยุทธ์การลงทุนในกองทุนหุ้น บริษัทยังคงให้ความสำคัญกับหุ้นกลุ่มธนาคารและกลุ่มพลังงานเป็นหลัก เนื่องจากว่า 2 เซกเตอร์ดังกล่าว ยังคงมีการเติบโตสูง อีกทั้งยังมีสภาพคล่องที่สามารถซื้อ-ขายได้ตามจังหวะที่เหมาะสม
ทั้งนี้ ตลาดหุ้นไทยเองมองว่ายังคงไล่ตามประเทศเพื่อนบ้านอยู่ เนื่องจากประเทศเรามีปัญหาภายในเกี่ยวกับเรื่องทางการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง ดังนั้น จึงส่งผลให้ยังขาดความเชื่อมั่นต่อนักลงทุน อย่างไรก็ตาม ในเดือนมิถุนายนนี้ ถ้ารัฐบาลสามารถจัดงานการประชุมอาเซียนได้สำเร็จ เชื่อว่าจะสามารถเรียกความเชื่อมั่นจากนักลงทุนกลับคืนมาได้
สำหรับกลยุทธ์การลงทุนในตราสารหนี้ นายอนุสรณ์กล่าวว่า จะเห็นได้ว่าอัตราดอกเบี้ยในประเทศมีการปรับตัวลดลงมาก ในขณะที่ผลตอบแทนของกลุ่มประเทศใน EU หรือ สหภาพยุโรป ต่างให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าการลงทุนในประเทศไทย ดังนั้น ในช่วงไตรมาส 2 นี้ บริษัทจีงมีแผนที่จะออกกองทุนที่มีนโยบายการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลยุโรป โดยเน้นลงทุนในตราสารที่มีอันดับเครดิตตั้งแต่ AA ขึ้นไป ส่วนกองทุนรวมตราสารหนี้ในประเทศนั้น ยังคงไม่ออกในช่วงนี้เนื่องจากอัตราผลตอบยังได้ไม่สูงมากนักเมื่อเทียบกับตราสารหนี้ในต่างประเทศ
กำลังโหลดความคิดเห็น