แนะนำกันตรงๆ ไม่อยากเห็นนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ถูกการเมืองการปกครองเผด็จการทำลาย เสียผู้เสียคน เฉกเช่นนายกฯ ท่านอื่นๆ เพราะความเข้าใจผิดเรื่องระบอบการเมืองนี่เอง
เรื่องเคยมีมาแล้ว ชนบทแห่งหนึ่ง ครั้งนั้น สหายปอ ได้ชักชวนว่า เราไปกันเถิดเพื่อน บางทีเราอาจจะได้ทรัพย์อย่างใดอย่างหนึ่งในหมู่นั้นบ้าง ถึงถนนในบ้านแห่งหนึ่งแล้ว ได้เห็นเปลือกป่านที่เขาทิ้งไว้มากมายที่ตำบลบ้านนั้น ครั้นแล้วสหายปอ พูดขึ้นว่า สหายสิทธิ์ “นี้เปลือกป่านเขาทิ้งไว้มากมาย ถ้าเช่นนั้น เราผูกเปลือกป่านเอาไปคนละมัด”
จากนั้นเขาทั้งสองเข้าไปยังถนนอีกหมู่บ้านหนึ่ง ได้เห็นด้ายป่านที่เขาทิ้งไว้มากมาย ในตำบลนั้น ครั้นแล้วสหายปอ พูดว่า สหายสิทธิ์ “เราทั้งสองจะปรารถนาเปลือกป่านเพื่อประโยชน์อันใด นี้ด้ายป่าน ซึ่งเขาทิ้งไว้มากมาย ถ้าเช่นนั้น ท่านจงทิ้งมัดเปลือกป่านเสียเถิด เราทั้งสองจะเอามัดเอาด้ายป่านไปดีกว่า”
สหายสิทธิ์ ตอบว่า “สหาย เปลือกป่านนี้ เราเอามาไกลแล้ว ทั้งมัดไว้ดีแล้วด้วย เราไม่เอาละ ท่านเอาไปคนเดียวเถิด” จากนั้น สหายปอ ทิ้งมัดเปลือกป่านเสีย แล้วก็มัดด้ายป่านแบกไป
สหายทั้งสองนั้นเข้าไปยังถนนในหมู่บ้านอีกแห่งหนึ่ง ได้เห็นผ้าป่านที่เขาทิ้งไว้มากมายที่ตำบลบ้านนั้น ครั้นแล้ว สหายปอ บอกสหายสิทธิ์ ว่า “เพื่อนรัก เราจะปรารถนาเปลือกป่านหรือด้ายป่านเพื่อประโยชน์อันใดเล่า เหล่านี้ผ้าป่านซึ่งเขาทิ้งไว้มากมาย ถ้าเช่นนั้น ท่านจงทิ้งมัดเปลือกป่านเสียเถิด เราทั้งสองจะมัดเอาผ้าป่านไป” สหายสิทธิ์ ตอบว่า “สหายมัดเปลือกป่านนี้เราเอามาไกลแล้ว ทั้งมัดไว้ดีแล้วด้วย เราไม่เอาละ ท่านเอาไปคนเดียวเถิด”
จากนั้น สหายปอ ได้ทิ้งมัดด้ายป่านแล้ว ถือมัดผ้าป่านไป สหายทั้งสองนั้นยังคงเดินไปยังถนนในบ้านอีกแห่งหนึ่ง ได้เห็นลูกฝ้าย ด้ายฝ้าย ผ้าฝ้าย เหล็ก โลหะ ดีบุก สำริด เงิน ได้เห็นทอง ที่เขาทิ้งไว้มากมายในถนนในหมู่บ้านนั้น
ครั้นแล้ว สหายปอ บอก สหายสิทธิ์ ว่า “เพื่อนรัก เราจะปรารถนาประโยชน์อันใดกับเปลือกป่านหรือด้ายป่าน หรือผ้าป่าน หรือผ้าฝ้าย หรือเหล็ก หรือโลหะ หรือดีบุก หรือสำริด หรือเงิน นี้ทองที่เขาทิ้งไว้มากมาย เราทั้งสองน่าจะทิ้งมัดเปลือกป่านนั้นเสียเถิด และเราเองก็จักทิ้งห่อเงินเสีย เราทั้งสองจักถือเอาห่อทองไปดีกว่าไหม” สหายสิทธิ์ ตอบว่า “เพื่อนรัก มัดเปลือกป่านนี้เราเอามาไกลแล้ว ทั้งมัดไว้ดีแล้วด้วย เราไม่เอาละ ท่านเอาทองไปคนเดียวเถิด”
สหายปอ ได้ทิ้งห่อเงิน และได้ถือเอาห่อทองไป และสหายทั้งสองนั้นได้กลับบ้านของตนๆ ส่วนทาง สหายสิทธิ์ ผู้ถือเอามัดเปลือกป่านติดตัวไป มารดาบิดา บุตรภริยา มิตรอำมาตย์ หาได้พากันยินดีไม่ และเขาไม่ได้รับความสุขโสมนัส ซึ่งเกิดจากเหตุที่ได้เปลือกป่านนั้นมา
ส่วนสหายปอ ได้ถือเอาห่อทองไปนั้น มารดา บิดา บุตร ภริยา มิตร อำมาตย์ พากันยินดี และเขายังได้รับความสุขโสมนัส ซึ่งเกิดจากเหตุที่ถือเอาห่อทองนั้นมา
อุปมา เปลือกป่าน หมายถึงการเมืองการปกครองโดยรัฐธรรมนูญ ที่ปราศจากหลักการปกครองซึ่งเผด็จการชนิดหนึ่ง โดยใช้รูปการปกครองระบบรัฐสภา
ทอง หมายถึงการเมืองการปกครองโดยธรรม โดยมาหลัก การปกครองแบบธรรมาธิปไตย เมื่อนำมาใช้กับรูปการปกครองระบบรัฐสภา จึงเรียกว่าการปกครองแบบธรรมาธิปไตย ระบบรัฐสภา
รัฐบาลก่อนๆ ทั้งรัฐบาลปัจจุบัน กำลังเลือกเอาเปลือกป่านเช่นเดิม สงสารประชาชนไทยจริงๆ
ผู้ปกครองไทย รัฐบาล พรรคการเมืองต่างๆ ในปัจจุบัน เห็นประจักษ์ชัด ไม่ต่างไปจากบุรุษผู้ถือเอาเปลือกป่าน ขอให้ผู้ปกครองทั้งหลายจงสละคืนมิจฉาทิฐิว่าประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยแล้วนั้นเสียเถิด ขอให้ผู้ปกครองจงปล่อยวางมิจฉาทิฐินั้นเสียเถิด ทิฐิอันลามกนั้นอย่าได้มีแก่ผู้ปกครองเลย แนวทางร่าง และแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อสร้างระบอบประชาธิปไตยที่รัฐบาลกำลังดำเนินการนั้น เป็นแนวทางนำประเทศชาติและประชาชนไปสู่นรก อันเป็นเหตุแห่งความทุกข์ของแผ่นดินและปวงชน ซ้ำรอยเดิมมานานร่วม 77 ปีแล้ว “จะโง่กันไปถึงไหน ไม่อายลาว มาเลเซีย เวียดนาม เขาบ้างหรือไง”
อะไร? เป็นเหตุปัจจัยให้นักวิชาการ รัฐบาล นักการเมืองไทย สื่อมวลชนใหญ่ เห็นผิด คิดผิด พูดผิด ทำผิด อาชีพผิด ความเพียรผิด ระลึกผิด ตั้งใจมั่นผิด เป็นเหตุแห่งวิกฤตชาติ และยากที่จะแก้ไขให้ผ่านพ้นไปได้ พบว่ารัฐบาลชุดไหนๆ ผิดไปจากคลองธรรมอันเป็นเหตุแห่งวิกฤตของประเทศไทย เกิดจากความเห็นผิดอย่างน้อย 5 ประการ ได้แก่
(1) เข้าใจผิดในการจัดความสัมพันธ์ของรัฐธรรมนูญ ระหว่างหลักการปกครอง (Principle of Government) กับ วิธีการปกครอง (Methods of Government) รัฐธรรมนูญไทยทุกฉบับ รวมทั้งฉบับปัจจุบัน จากการศึกษาวิจัยพบว่า ไม่มีด้านหลักการปกครองเช่นเดิม จึงอุปมาดุจดัง ว่าวขาด, วัวไม่มีเจ้าของ, สุนัขจรจัด, ดาวเคราะห์ ไร้ซึ่งดวงสุริยัน ฯลฯ มันจะดำรงอยู่ได้อย่างไร
(2) ความเข้าใจผิดของผู้ปกครองไทย 18 คณะ ยกร่างรัฐธรรมนูญ เพื่อจะสร้างระบอบประชาธิปไตย ความเป็นจริงรัฐธรรมนูญเป็นเพียงกฎหมายหลัก (Principle of Law) หน้าที่รักษาระบอบ คุ้มครองระบอบ และสะท้อนความเป็นระบอบฯ นั้นๆ การเอากฎหมายไปสร้างระบอบฯ ร้อยครั้ง พันฉบับ นอกจากจะไม่ได้ระบอบฯ แล้ว จะทำให้ล้มเหลวและซ้ำเติมวิกฤตร้ายแรงเรื่อยไป
(3) เข้าใจผิดว่ารัฐธรรมนูญ คือระบอบประชาธิปไตย ความรู้ ความเข้าใจที่ถูกต้อง คือ “รัฐธรรมนูญ ไม่ใช่ระบอบประชาธิปไตย” ประเทศจีน ลาว เวียดนาม ก็มีรัฐธรรมนูญ แต่เป็นรัฐธรรมนูญระบอบคอมมิวนิสต์ เยอรมนีสมัยฮิตเลอร์ เรืองอำนาจและล่มจมลงในท้ายที่สุด ก็มีรัฐธรรมนูญแต่เป็นรัฐธรรมนูญระบอบเผด็จการนาซี
การที่ผู้ปกครองไทยในอดีต (จอมพล ป.) ได้สร้างอนุสาวรีย์รัฐธรรมนูญขึ้น แล้วตั้งชื่อเรียกว่าอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เป็นเหตุให้ผู้คนในบ้านในเมืองเข้าใจผิดว่าเมื่อมีรัฐธรรมนูญ นั่นก็คือมีระบอบประชาธิปไตย แท้จริงรัฐธรรมนูญมีหน้าที่ในการรักษาระบอบ ในเมื่อระบอบการเมืองไทย ไม่มีหลักการปกครอง จึงบอกไม่ได้ว่าเป็นระบอบอะไรกันแน่ มันก็คือระบอบเผด็จการซ่อนเร้นอย่างแนบเนียน ใครเข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรี ก็จะกลายเป็นนายกรัฐมนตรีเผด็จการ เสียผู้ เสียคน เสียศูนย์ไปเลย เห็นกันมามามากแล้ว นับแต่รัฐบาลชุดแรก เรื่อยมา เช่นพลเอกชาติชาย รัฐบาลชวน รัฐบาลบรรหาร รัฐบาลพลเอกชวลิต รัฐบาลทักษิณ ฯลฯ แม้กระทั่ง รัฐบาลอภิสิทธิ์ ก็กำลังจะหลงทางเข้าสู่มิจฉาทิฐิ วงจรนรกเช่นเดิม
(4) เข้าใจผิดรูปการปกครอง (Form of Government) ว่าเป็นระบอบประชาธิปไตย คือเข้าใจผิดว่าระบบรัฐสภา (Parliamentary System) เป็นประชาธิปไตย อันที่จริงระบบการปกครองมีไว้เพื่อจัดความสัมพันธ์องค์กรแห่งอำนาจอธิปไตยระหว่างประมุขแห่งรัฐ ฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหาร และฝ่ายตุลาการ ว่าจะถ่วงดุลอำนาจกันอย่างไร ซึ่งไม่เกี่ยวว่าจะเป็นระบอบฯ อะไรก็ได้
(5) เข้าใจผิดการเลือกตั้ง ว่าเป็นระบอบประชาธิปไตย การเลือกตั้งเป็นวิธีการอย่างหนึ่งเพื่อเข้าสู่อำนาจทางการเมือง ซึ่งเป็นของกลาง หมายความว่าระบอบฯ อะไรๆ ก็นำไปใช้ได้ ตัวอย่างเช่น ลาว เวียดนาม และสาธารณรัฐประชาชนจีน เขาก็มีการเลือกตั้ง ใช้วิธีการประชาธิปไตย ผู้แทนประชาชนมาจากการเลือกตั้ง และมีความต่างกันที่เขาไม่ซื้อเสียง แต่ของไทยเราใช้เงินซื้อเสียงเป็นใบเบิกทางขึ้นสู่อำนาจ จะหาความชอบธรรมได้จากที่ไหนกัน ต่อไปหากจัดให้มีการเลือกตั้งโดยตรง ก็จะได้แต่พวกอันธพาล อิทธิพล โคตรรวย ขึ้นครองเมือง
ระบอบการเมืองใดไม่มีหลักการปกครองโดยธรรม จะนำมาซึ่งความพินาศของชาติ ได้ฟังแนวคิดของหัวหน้าพรรคต่างๆ ท่านเหล่านั้นล้วนยังไม่เข้าใจ สร้างความสับสนโกลาหลกันไปใหญ่ ให้ประเทศชาติจะวิบัติหายนะหนักยิ่งขึ้นขาดปัญญารู้แจ้งถึงเหตุวิกฤตที่แท้จริงของประเทศชาติ
สาวกพระพุทธองค์ ถ้ายังไม่รู้ว่าเหตุแห่งทุกข์ (สมุทัย) คืออะไร และลด ละ เลิก ให้หมดไปได้อย่างไร ก็มิอาจพ้นทุกข์ได้ ฉันใด รัฐบาล ท่านไม่รู้เหตุวิกฤตแห่งชาติ ท่านก็จะบริหารประเทศไปอย่างผิดๆ ซ้ำซาก ฉันนั้น
แนวทางแก้ไขในปัจจุบัน โดยย่อคือ
ขอให้รัฐบาลผู้จงรักภักดีต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ สถาปนาหลักการปกครองโดยธรรม ตามลักษณะพิเศษของประเทศไทยมาแต่โบราณกาล ผู้เขียนแนะนำหลักธรรมาธิปไตย 9 โดยย่อ คือ
1) หลักธรรมาธิปไตย จะเป็นเหตุปัจจัยให้สถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์มั่นคง
2) หลักพระมหากษัตริย์เป็นประมุขแห่งรัฐ จะเป็นเหตุปัจจัยให้มีหลักอำนาจอธิปไตยของปวงชน
3) อำนาจอธิปไตยของปวงชน จะเป็นเหตุปัจจัยให้มีเสรีภาพบริบูรณ์ของปวงชนในชาติ
4) เสรีภาพบริบูรณ์ จะเป็นเหตุปัจจัยให้มีความเสมอภาคทางโอกาสของปวงชนในชาติ
5) ความเสมอภาคทางโอกาส จะเป็นเหตุปัจจัยให้มีภราดรภาพของปวงชนในชาติ
6) ภราดรภาพ จะเป็นเหตุปัจจัยให้มีเอกภาพของปวงชนในชาติ
7) เอกภาพ จะเป็นเหตุปัจจัยให้มีดุลยภาพของปวงชนในชาติ
8) ดุลยภาพ จะเป็นเหตุปัจจัยให้มีหลักนิติธรรมของปวงชนในชาติ
9) หลักนิติธรรม จะเป็นเหตุปัจจัยให้การดำเนินการใดๆ ทางการเมืองเป็นไปโดยธรรม
ดังกล่าวนี้ เมื่อนำหลักธรรมาธิปไตย 9 มาเป็นหลักการปกครอง จะเป็นปัจจัยให้ประชาชนมีความยุติธรรม ประเทศชาติมีความมั่นคง และปวงชนในชาติมีความมั่งคั่งอย่างยั่งยืน
จากนั้นให้รัฐบาลแก้ไขมาตราต่างๆ ปรับปรุงพระราชบัญญัติต่างๆ ให้สอดคล้องกับหลักการปกครอง เพียงเท่านี้ประเทศไทยก็จะมีระบอบการเมืองโดยธรรม ขึ้นมาทันที จะเห็นว่าไม่ยากเลยประเทศไทยก็จะมีการปกครองโดยธรรม เป็นแผ่นดินธรรมขึ้นมาทันที ปรับใช้ระบบเศรษฐกิจแบบพอเพียง ตามแนวพระราชดำริ อย่างรอบด้าน ประเทศไทยก็จะได้ชื่อว่าเป็นแผ่นดินทอง ไม่ทำตามที่แนะนำนี้ ก็จะไม่สามารถยุติความขัดแย้ง และมิจฉาทิฐิที่ฝังรากลึกมายาวนานและกว้างขวางลงได้ ขอเพียงให้ท่านนายกฯ อภิสิทธิ์ ได้ดวงตาเห็นธรรม เปลี่ยนวิธีคิดเสียใหม่ แล้วท่านจะเป็นนายกฯ คนแรกที่ยิ่งใหญ่ของชาติ
เรื่องเคยมีมาแล้ว ชนบทแห่งหนึ่ง ครั้งนั้น สหายปอ ได้ชักชวนว่า เราไปกันเถิดเพื่อน บางทีเราอาจจะได้ทรัพย์อย่างใดอย่างหนึ่งในหมู่นั้นบ้าง ถึงถนนในบ้านแห่งหนึ่งแล้ว ได้เห็นเปลือกป่านที่เขาทิ้งไว้มากมายที่ตำบลบ้านนั้น ครั้นแล้วสหายปอ พูดขึ้นว่า สหายสิทธิ์ “นี้เปลือกป่านเขาทิ้งไว้มากมาย ถ้าเช่นนั้น เราผูกเปลือกป่านเอาไปคนละมัด”
จากนั้นเขาทั้งสองเข้าไปยังถนนอีกหมู่บ้านหนึ่ง ได้เห็นด้ายป่านที่เขาทิ้งไว้มากมาย ในตำบลนั้น ครั้นแล้วสหายปอ พูดว่า สหายสิทธิ์ “เราทั้งสองจะปรารถนาเปลือกป่านเพื่อประโยชน์อันใด นี้ด้ายป่าน ซึ่งเขาทิ้งไว้มากมาย ถ้าเช่นนั้น ท่านจงทิ้งมัดเปลือกป่านเสียเถิด เราทั้งสองจะเอามัดเอาด้ายป่านไปดีกว่า”
สหายสิทธิ์ ตอบว่า “สหาย เปลือกป่านนี้ เราเอามาไกลแล้ว ทั้งมัดไว้ดีแล้วด้วย เราไม่เอาละ ท่านเอาไปคนเดียวเถิด” จากนั้น สหายปอ ทิ้งมัดเปลือกป่านเสีย แล้วก็มัดด้ายป่านแบกไป
สหายทั้งสองนั้นเข้าไปยังถนนในหมู่บ้านอีกแห่งหนึ่ง ได้เห็นผ้าป่านที่เขาทิ้งไว้มากมายที่ตำบลบ้านนั้น ครั้นแล้ว สหายปอ บอกสหายสิทธิ์ ว่า “เพื่อนรัก เราจะปรารถนาเปลือกป่านหรือด้ายป่านเพื่อประโยชน์อันใดเล่า เหล่านี้ผ้าป่านซึ่งเขาทิ้งไว้มากมาย ถ้าเช่นนั้น ท่านจงทิ้งมัดเปลือกป่านเสียเถิด เราทั้งสองจะมัดเอาผ้าป่านไป” สหายสิทธิ์ ตอบว่า “สหายมัดเปลือกป่านนี้เราเอามาไกลแล้ว ทั้งมัดไว้ดีแล้วด้วย เราไม่เอาละ ท่านเอาไปคนเดียวเถิด”
จากนั้น สหายปอ ได้ทิ้งมัดด้ายป่านแล้ว ถือมัดผ้าป่านไป สหายทั้งสองนั้นยังคงเดินไปยังถนนในบ้านอีกแห่งหนึ่ง ได้เห็นลูกฝ้าย ด้ายฝ้าย ผ้าฝ้าย เหล็ก โลหะ ดีบุก สำริด เงิน ได้เห็นทอง ที่เขาทิ้งไว้มากมายในถนนในหมู่บ้านนั้น
ครั้นแล้ว สหายปอ บอก สหายสิทธิ์ ว่า “เพื่อนรัก เราจะปรารถนาประโยชน์อันใดกับเปลือกป่านหรือด้ายป่าน หรือผ้าป่าน หรือผ้าฝ้าย หรือเหล็ก หรือโลหะ หรือดีบุก หรือสำริด หรือเงิน นี้ทองที่เขาทิ้งไว้มากมาย เราทั้งสองน่าจะทิ้งมัดเปลือกป่านนั้นเสียเถิด และเราเองก็จักทิ้งห่อเงินเสีย เราทั้งสองจักถือเอาห่อทองไปดีกว่าไหม” สหายสิทธิ์ ตอบว่า “เพื่อนรัก มัดเปลือกป่านนี้เราเอามาไกลแล้ว ทั้งมัดไว้ดีแล้วด้วย เราไม่เอาละ ท่านเอาทองไปคนเดียวเถิด”
สหายปอ ได้ทิ้งห่อเงิน และได้ถือเอาห่อทองไป และสหายทั้งสองนั้นได้กลับบ้านของตนๆ ส่วนทาง สหายสิทธิ์ ผู้ถือเอามัดเปลือกป่านติดตัวไป มารดาบิดา บุตรภริยา มิตรอำมาตย์ หาได้พากันยินดีไม่ และเขาไม่ได้รับความสุขโสมนัส ซึ่งเกิดจากเหตุที่ได้เปลือกป่านนั้นมา
ส่วนสหายปอ ได้ถือเอาห่อทองไปนั้น มารดา บิดา บุตร ภริยา มิตร อำมาตย์ พากันยินดี และเขายังได้รับความสุขโสมนัส ซึ่งเกิดจากเหตุที่ถือเอาห่อทองนั้นมา
อุปมา เปลือกป่าน หมายถึงการเมืองการปกครองโดยรัฐธรรมนูญ ที่ปราศจากหลักการปกครองซึ่งเผด็จการชนิดหนึ่ง โดยใช้รูปการปกครองระบบรัฐสภา
ทอง หมายถึงการเมืองการปกครองโดยธรรม โดยมาหลัก การปกครองแบบธรรมาธิปไตย เมื่อนำมาใช้กับรูปการปกครองระบบรัฐสภา จึงเรียกว่าการปกครองแบบธรรมาธิปไตย ระบบรัฐสภา
รัฐบาลก่อนๆ ทั้งรัฐบาลปัจจุบัน กำลังเลือกเอาเปลือกป่านเช่นเดิม สงสารประชาชนไทยจริงๆ
ผู้ปกครองไทย รัฐบาล พรรคการเมืองต่างๆ ในปัจจุบัน เห็นประจักษ์ชัด ไม่ต่างไปจากบุรุษผู้ถือเอาเปลือกป่าน ขอให้ผู้ปกครองทั้งหลายจงสละคืนมิจฉาทิฐิว่าประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยแล้วนั้นเสียเถิด ขอให้ผู้ปกครองจงปล่อยวางมิจฉาทิฐินั้นเสียเถิด ทิฐิอันลามกนั้นอย่าได้มีแก่ผู้ปกครองเลย แนวทางร่าง และแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อสร้างระบอบประชาธิปไตยที่รัฐบาลกำลังดำเนินการนั้น เป็นแนวทางนำประเทศชาติและประชาชนไปสู่นรก อันเป็นเหตุแห่งความทุกข์ของแผ่นดินและปวงชน ซ้ำรอยเดิมมานานร่วม 77 ปีแล้ว “จะโง่กันไปถึงไหน ไม่อายลาว มาเลเซีย เวียดนาม เขาบ้างหรือไง”
อะไร? เป็นเหตุปัจจัยให้นักวิชาการ รัฐบาล นักการเมืองไทย สื่อมวลชนใหญ่ เห็นผิด คิดผิด พูดผิด ทำผิด อาชีพผิด ความเพียรผิด ระลึกผิด ตั้งใจมั่นผิด เป็นเหตุแห่งวิกฤตชาติ และยากที่จะแก้ไขให้ผ่านพ้นไปได้ พบว่ารัฐบาลชุดไหนๆ ผิดไปจากคลองธรรมอันเป็นเหตุแห่งวิกฤตของประเทศไทย เกิดจากความเห็นผิดอย่างน้อย 5 ประการ ได้แก่
(1) เข้าใจผิดในการจัดความสัมพันธ์ของรัฐธรรมนูญ ระหว่างหลักการปกครอง (Principle of Government) กับ วิธีการปกครอง (Methods of Government) รัฐธรรมนูญไทยทุกฉบับ รวมทั้งฉบับปัจจุบัน จากการศึกษาวิจัยพบว่า ไม่มีด้านหลักการปกครองเช่นเดิม จึงอุปมาดุจดัง ว่าวขาด, วัวไม่มีเจ้าของ, สุนัขจรจัด, ดาวเคราะห์ ไร้ซึ่งดวงสุริยัน ฯลฯ มันจะดำรงอยู่ได้อย่างไร
(2) ความเข้าใจผิดของผู้ปกครองไทย 18 คณะ ยกร่างรัฐธรรมนูญ เพื่อจะสร้างระบอบประชาธิปไตย ความเป็นจริงรัฐธรรมนูญเป็นเพียงกฎหมายหลัก (Principle of Law) หน้าที่รักษาระบอบ คุ้มครองระบอบ และสะท้อนความเป็นระบอบฯ นั้นๆ การเอากฎหมายไปสร้างระบอบฯ ร้อยครั้ง พันฉบับ นอกจากจะไม่ได้ระบอบฯ แล้ว จะทำให้ล้มเหลวและซ้ำเติมวิกฤตร้ายแรงเรื่อยไป
(3) เข้าใจผิดว่ารัฐธรรมนูญ คือระบอบประชาธิปไตย ความรู้ ความเข้าใจที่ถูกต้อง คือ “รัฐธรรมนูญ ไม่ใช่ระบอบประชาธิปไตย” ประเทศจีน ลาว เวียดนาม ก็มีรัฐธรรมนูญ แต่เป็นรัฐธรรมนูญระบอบคอมมิวนิสต์ เยอรมนีสมัยฮิตเลอร์ เรืองอำนาจและล่มจมลงในท้ายที่สุด ก็มีรัฐธรรมนูญแต่เป็นรัฐธรรมนูญระบอบเผด็จการนาซี
การที่ผู้ปกครองไทยในอดีต (จอมพล ป.) ได้สร้างอนุสาวรีย์รัฐธรรมนูญขึ้น แล้วตั้งชื่อเรียกว่าอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เป็นเหตุให้ผู้คนในบ้านในเมืองเข้าใจผิดว่าเมื่อมีรัฐธรรมนูญ นั่นก็คือมีระบอบประชาธิปไตย แท้จริงรัฐธรรมนูญมีหน้าที่ในการรักษาระบอบ ในเมื่อระบอบการเมืองไทย ไม่มีหลักการปกครอง จึงบอกไม่ได้ว่าเป็นระบอบอะไรกันแน่ มันก็คือระบอบเผด็จการซ่อนเร้นอย่างแนบเนียน ใครเข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรี ก็จะกลายเป็นนายกรัฐมนตรีเผด็จการ เสียผู้ เสียคน เสียศูนย์ไปเลย เห็นกันมามามากแล้ว นับแต่รัฐบาลชุดแรก เรื่อยมา เช่นพลเอกชาติชาย รัฐบาลชวน รัฐบาลบรรหาร รัฐบาลพลเอกชวลิต รัฐบาลทักษิณ ฯลฯ แม้กระทั่ง รัฐบาลอภิสิทธิ์ ก็กำลังจะหลงทางเข้าสู่มิจฉาทิฐิ วงจรนรกเช่นเดิม
(4) เข้าใจผิดรูปการปกครอง (Form of Government) ว่าเป็นระบอบประชาธิปไตย คือเข้าใจผิดว่าระบบรัฐสภา (Parliamentary System) เป็นประชาธิปไตย อันที่จริงระบบการปกครองมีไว้เพื่อจัดความสัมพันธ์องค์กรแห่งอำนาจอธิปไตยระหว่างประมุขแห่งรัฐ ฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหาร และฝ่ายตุลาการ ว่าจะถ่วงดุลอำนาจกันอย่างไร ซึ่งไม่เกี่ยวว่าจะเป็นระบอบฯ อะไรก็ได้
(5) เข้าใจผิดการเลือกตั้ง ว่าเป็นระบอบประชาธิปไตย การเลือกตั้งเป็นวิธีการอย่างหนึ่งเพื่อเข้าสู่อำนาจทางการเมือง ซึ่งเป็นของกลาง หมายความว่าระบอบฯ อะไรๆ ก็นำไปใช้ได้ ตัวอย่างเช่น ลาว เวียดนาม และสาธารณรัฐประชาชนจีน เขาก็มีการเลือกตั้ง ใช้วิธีการประชาธิปไตย ผู้แทนประชาชนมาจากการเลือกตั้ง และมีความต่างกันที่เขาไม่ซื้อเสียง แต่ของไทยเราใช้เงินซื้อเสียงเป็นใบเบิกทางขึ้นสู่อำนาจ จะหาความชอบธรรมได้จากที่ไหนกัน ต่อไปหากจัดให้มีการเลือกตั้งโดยตรง ก็จะได้แต่พวกอันธพาล อิทธิพล โคตรรวย ขึ้นครองเมือง
ระบอบการเมืองใดไม่มีหลักการปกครองโดยธรรม จะนำมาซึ่งความพินาศของชาติ ได้ฟังแนวคิดของหัวหน้าพรรคต่างๆ ท่านเหล่านั้นล้วนยังไม่เข้าใจ สร้างความสับสนโกลาหลกันไปใหญ่ ให้ประเทศชาติจะวิบัติหายนะหนักยิ่งขึ้นขาดปัญญารู้แจ้งถึงเหตุวิกฤตที่แท้จริงของประเทศชาติ
สาวกพระพุทธองค์ ถ้ายังไม่รู้ว่าเหตุแห่งทุกข์ (สมุทัย) คืออะไร และลด ละ เลิก ให้หมดไปได้อย่างไร ก็มิอาจพ้นทุกข์ได้ ฉันใด รัฐบาล ท่านไม่รู้เหตุวิกฤตแห่งชาติ ท่านก็จะบริหารประเทศไปอย่างผิดๆ ซ้ำซาก ฉันนั้น
แนวทางแก้ไขในปัจจุบัน โดยย่อคือ
ขอให้รัฐบาลผู้จงรักภักดีต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ สถาปนาหลักการปกครองโดยธรรม ตามลักษณะพิเศษของประเทศไทยมาแต่โบราณกาล ผู้เขียนแนะนำหลักธรรมาธิปไตย 9 โดยย่อ คือ
1) หลักธรรมาธิปไตย จะเป็นเหตุปัจจัยให้สถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์มั่นคง
2) หลักพระมหากษัตริย์เป็นประมุขแห่งรัฐ จะเป็นเหตุปัจจัยให้มีหลักอำนาจอธิปไตยของปวงชน
3) อำนาจอธิปไตยของปวงชน จะเป็นเหตุปัจจัยให้มีเสรีภาพบริบูรณ์ของปวงชนในชาติ
4) เสรีภาพบริบูรณ์ จะเป็นเหตุปัจจัยให้มีความเสมอภาคทางโอกาสของปวงชนในชาติ
5) ความเสมอภาคทางโอกาส จะเป็นเหตุปัจจัยให้มีภราดรภาพของปวงชนในชาติ
6) ภราดรภาพ จะเป็นเหตุปัจจัยให้มีเอกภาพของปวงชนในชาติ
7) เอกภาพ จะเป็นเหตุปัจจัยให้มีดุลยภาพของปวงชนในชาติ
8) ดุลยภาพ จะเป็นเหตุปัจจัยให้มีหลักนิติธรรมของปวงชนในชาติ
9) หลักนิติธรรม จะเป็นเหตุปัจจัยให้การดำเนินการใดๆ ทางการเมืองเป็นไปโดยธรรม
ดังกล่าวนี้ เมื่อนำหลักธรรมาธิปไตย 9 มาเป็นหลักการปกครอง จะเป็นปัจจัยให้ประชาชนมีความยุติธรรม ประเทศชาติมีความมั่นคง และปวงชนในชาติมีความมั่งคั่งอย่างยั่งยืน
จากนั้นให้รัฐบาลแก้ไขมาตราต่างๆ ปรับปรุงพระราชบัญญัติต่างๆ ให้สอดคล้องกับหลักการปกครอง เพียงเท่านี้ประเทศไทยก็จะมีระบอบการเมืองโดยธรรม ขึ้นมาทันที จะเห็นว่าไม่ยากเลยประเทศไทยก็จะมีการปกครองโดยธรรม เป็นแผ่นดินธรรมขึ้นมาทันที ปรับใช้ระบบเศรษฐกิจแบบพอเพียง ตามแนวพระราชดำริ อย่างรอบด้าน ประเทศไทยก็จะได้ชื่อว่าเป็นแผ่นดินทอง ไม่ทำตามที่แนะนำนี้ ก็จะไม่สามารถยุติความขัดแย้ง และมิจฉาทิฐิที่ฝังรากลึกมายาวนานและกว้างขวางลงได้ ขอเพียงให้ท่านนายกฯ อภิสิทธิ์ ได้ดวงตาเห็นธรรม เปลี่ยนวิธีคิดเสียใหม่ แล้วท่านจะเป็นนายกฯ คนแรกที่ยิ่งใหญ่ของชาติ