ภารกิจของเราก็คือการได้ให้ปัญญา ให้แนวความคิดที่ถูกต้องกับประเทศชาติ เราจะไม่เป็นอาชญากรทางปัญญา เราตายเสียดีกว่าที่จะเป็นอาชญากรทางปัญญาให้กับประเทศชาติ เราชี้มาตลอดว่า สภาพการณ์ หรือสภาวการณ์ คือสภาพที่มันกำลังเป็นไป หรือกำลังเป็นอยู่ ที่กำลังดำเนินไปนั้นแท้จริงของประเทศไทยมันเป็นระบอบมิจฉาทิฐิ ส่วนระบอบประชาธิปไตยไม่เคยเกิดขึ้นในประเทศไทยเลย 76 ปีที่ผ่านมา นับแต่การเปลี่ยนการปกครองโดยการรัฐประหารยึดอำนาจรัฐบาลของ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ รัชการที่ 7 เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2475 จนกระทั่งจนถึงปัจจุบันมันเป็นกระบวนการของการพัฒนาการของระบอบเผด็จการทั้งสิ้น สลับสับเปลี่ยนกัน 2 ลักษณะ คือ
1. ระบอบเผด็จการโดยการรัฐประหาร โดยใช้ธรรมนูญการปกครองฉบับชั่วคราวเป็นวิธีการการปกครองหรือเป็นเครื่องมือในการปกครอง
2. ระบอบเผด็จการโดยการเลือกตั้ง (ซื้อเสียงเข้ามา) โดยใช้รัฐธรรมนูญฉบับถาวร เป็นวิธีการปกครองหรือเครื่องมือในการปกครอง
ระบอบเผด็จการทั้งสองขั้วนี้ได้ครอบงำประเทศไทย มันได้ครอบงำประชาชนไทยนับแต่สูงสุดนักวิชากร นักการเมือง นักศึกษา จนถึงประชาชนอย่างตาสี ยายมี ยายมา ต่างก็เข้าใจว่าเป็นระบอบประชาธิปไตย แต่ปรากฏว่ามันล้มเหลวมาตลอด ล้มเหลวอย่างซ้ำซากในช่วงเวลา 76 ปี ที่ผ่านมา มีรัฐธรรมนูญมากถึง 18 ฉบับ ความแท้จริงระบอบประชาธิปไตยมันไม่เคยมี เมื่อไม่เคยมี ไม่เคยเกิดขึ้น แล้วจะพัฒนาเจริญเติบโตได้อย่างไรกัน เรายกบางตัวอย่างให้ดู การเห็นผิด คิดผิด พูดผิด ทำผิดของนักการเมือง ที่พูดกันบ่อยในช่วงนี้
นายสมัคร สุนทรเวช หัวหน้าพรรคพลังประชาชน พูดว่า “ผมจะไม่ยุบสภา ไม่ลาอกก ผมต้องเป็นนายกฯ ต่อไป เพื่อจะรักษาระบอบประชาธิปไตยนี้ไว้” (แท้จริงนายสมัครเห็นระบบรัฐสภา และการมีเสียงข้างมาก ว่าเป็นระบอบประชาธิปไตย อันที่จริงรูปการปกครองก็ดี เสียงข้างมากก็ดี จะเป็นระบอบอะไรก็ได้
นพ. สุรพงษ์ สืบวงษ์ลี พูดว่า “เราทำทุกอย่างตามขั้นตอนของระบอบประชาธิปไตย” (แท้จริงเป็นเรื่องขั้นตอนของระบบรัฐสภา ไม่เกี่ยวกับระบอบประชาธิปไตยเลยแม้แต่นิดเดียว)
นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ พูดว่า “เราต้องทำตามระบอบประชาธิปไตย” (นี่ก็เข้าใจผิด ทึกทักเอาว่าระบบรัฐสภาเป็นระบอบประชาธิปไตย)
นายวีระ มุสิกพงษ์ พูดว่า “รัฐบาลเขามาจากการเลือกตั้ง ได้เสียงข้างมาก เขาก็ทำตามระบอบประชาธิปไตยอยู่แล้ว” (แท้จริงการเลือกตั้งเป็นเพียงวิธีการประชาธิปไตย แต่เขาเข้าใจว่าเป็นระบอบประชาธิปไตย)
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ พูดว่า “เราทำตามระเบียบขั้นตอนของระบบรัฐสภา” อันนี้พูดถูก แต่บางครั้งก็กลับพูดว่า “เป็นไปตามขั้นตอนของระบอบประชาธิปไตย” อันนี้ก็พูดผิดไปจากความเป็นจริง
ทั้งนี้เพราะผู้ปกครองต่างก็เข้าใจผิดว่าการมีรัฐธรรมนูญ ว่านี่แหละระบอบประชาธิปไตย เมื่อมีรัฐธรรมนูญ ก็ย่อมเป็นปัจจัยให้เกิดระเบียบวิธีการปกครองเช่น ฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหาร (รัฐบาล) ฝ่ายตุลาการ มีระบบรัฐสภา เมื่อมีรัฐสภา ก็ย่อมมีการกำหนดให้มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร มีสมาชิกวุฒิสภา มีการเลือกตั้ง มีกระบวนการขั้นตอนระเบียบวิธีการต่างๆ ของระบบรัฐสภา ดังกล่าวนี้ คือ มันเป็นเพียงรูปแบบการปกครองและระเบียบวิธีการปกครองเท่านั้น ยังไม่มีระบอบประชาธิปไตยหรือหลักการปกครองระบอบประชาธิปไตยเลยแม้แต่น้อย
การเมืองการปกครองจะเป็นระบอบอะไรนั้น เขาดูที่หลักการปกครองเป็นสำคัญ เพราะเป็นหัวใจของการปกครองนั้นๆ เขาดูกันที่หลักการปกครอง และเมื่อรัฐธรรมนูญไทย 18 ฉบับ รวมทั้งฉบับปัจจุบัน ก็ไม่เคยมีหลักการปกครองแม้แต่ฉบับเดียว
เมื่อไม่เคยมีหลักการปกครองให้เห็น ซึ่งก็คือไม่เคยมีระบอบนั่นเอง แล้วมันเป็นระบอบอะไร มันก็เป็นระบอบมิจฉาทิฐิ ซึ่งมันเป็นระบอบเผด็จการ เมื่อมีรัฐประหารก็เรียกระบอบเผด็จการรัฐประหาร และเมื่อรัฐธรรมนูญฉบับถาวร มีระบบรัฐสภา ก็เรียกว่าระบอบเผด็จการระบอบรัฐสภาจะเห็นว่าไม่ยากเลย อ่านแล้วน่าจะเข้าใจกันได้ง่ายๆ
ทีนี้เมื่อไม่มีหลักการปกครอง หรือระบอบ แต่มันมีรัฐธรรมนูญเป็นเครื่องมือในการปกครอง ใครเข้ามาเป็นนายรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีเป็นผู้ใช้อำนาจในการปกครอง นายกรัฐมนตรีท่านนั้นๆ ได้กลายเป็นศูนย์กลางการปกครอง ซึ่งก็คือเป็นศูนย์กลางของรัฐธรรมนูญอย่างเป็นไปเอง นั่นเอง นายกรัฐมนตรี จึงกลายเป็นตัวระบอบ หรือนายกรัฐมนตรีได้กลายเป็นหลักการปกครองอย่างเป็นไปเอง จึงกลายเป็นชาติชาย ระบอบชวลิต ระบอบชวน ระบอบทักษิณ ระบอบสมัคร และระบอบ....ต่อไป แต่แท้ที่จริงมันก็คือระบอบเผด็จการ นี่แหละคือเหตุแห่งความวิบัติของชาติ นั่นเอง
ระบอบหรือหลักการปกครอง อุปมาได้ดังดวงอาทิตย์ ส่วนหมวด และมาตราต่างๆ อุปมาได้ดังดาวเคราะห์ ไม่มีดวงอาทิตย์ หรือดวงอาทิตย์พินาศ ดาวเคราะห์ทั้งหลายก็อยู่ไม่ได้ ฉันใด
รัฐธรรมนูญที่ไม่มีหลักการปกครอง มีแต่รูปการปกครอง (ระบบรัฐสภา) และระเบียบวิธีการปกครอง ได้แก่ หมวด และมาตราต่างๆ โดยส่วนเดียว ก็ตั้งอยู่ไม่ได้ ฉันนั้น
ใครมาเป็นนายรัฐมนตรี ก็จะกลายเป็นคนร้ายขึ้นมาทันที ก่อนเป็นนายกฯ เป็นคนดี แต่พอเป็นนายกรัฐมนตรีกลายเป็นคนร้าย ที่เป็นเช่นนี้เพราะมันเป็นไปตามกฎเกณฑ์ของธรรมฝ่ายเสื่อม หรือกฎธรรมชาติฝ่ายเสื่อม คือเมื่อเหตุเลว ผลย่อมเลวตาม หรือเมื่อระบอบมิจฉาทิฐิ รัฐบาลย่อมเป็นรัฐบาลมิจฉาทิฐิ เมื่อระบอบเป็นเผด็จการ รัฐบาลย่อมเป็นเผด็จการ รัฐบาลเป็นเผด็จการก็ต้องพินาศ แต่นั่นมันหมายถึงประเทศชาติและประชาชนต้องพินาศด้วยนะซิ ซึ่งก็คือเมื่อระบอบเลว มันย่อมเป็นเหตุแผ่กระจายความพินาศออกไปสู่ส่วนที่สัมพันธ์เกี่ยวพันกันทั้งหมด ไม่ว่าใหญ่หรือเล็ก มันแตกแยกไปหมดนับแต่ครอบครัวจนถึงสถาบันสูงสุด เราเห็นชัดโดยไม่ต้องไปถามหมอดู
ขอย้ำว่าในสถานการณ์ปัจจุบัน ระบอบเผด็จการ (Dictatorship Regime) คือ ระบอบที่ไม่มีหลักการปกครอง (Principle of Government) ส่วนรูปการปกครอง (Form of Government) คือ ระบบรัฐสภา (Parliamentary System) ขึ้นสู่อำนาจโดยการเลือกตั้ง จึงเรียกว่าระบอบเผด็จการระบบรัฐสภา หรือ เรียกโดยย่อว่าระบอบเผด็จการรัฐสภา ถ้ามีการทำรัฐประหาร ใช้วิธีการรัฐประหารขึ้นสู่อำนาจเรียกว่าเผด็จการรัฐประหาร
พี่น้องเพื่อนร่วมชาติโปรดทราบ ขอให้มีปัญญารู้ว่า ระบอบเผด็จการทุกชนิด ไม่สามารถเปิดเผยหลักการได้ ผู้ปกครองทั้งหลาย นักวิชาการทั้งหลาย ท่านทำไปโดยไม่รู้ โดยทำสืบกันมา โดยรู้เท่าไม่ถึงการ หรือจะทำโดยจงใจเพื่อทำให้บ้านเมืองนี้ปั่นป่วน ทั้งนี้จุดสูงสุดก็คือการทำลายชาติ การทำลายชาติ ก็คือการทำลายรากฐานของชาติ การทำลายรากฐานของชาติ ก็คือการทำลายสถาบันหลักของชาติ คือ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ นั่นเอง
การกู้ชาติ สู่การเมืองใหม่ การการสร้างสรรค์ชาติ อันดับแรกก็คือการสร้างปัญญาให้ถูกต้อง โดยการผลักดันเรียกร้อง แสดงความจงรักภักดีด้วยการสวมใส่เสื้อเหลืองให้พร้อมพลักทั้งแผ่นดิน แล้วเปร่ง เสียง “ทรงพระเจริญ ทรงสถาปนาหลักการปกครองโดยธรรมๆๆ”
สาระสำคัญของหลักการปกครองโดยธรรม ก่อนอื่น สิ่งแรกจะต้องยกแก่นแท้ รากฐานของชาติ คือ สถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ยกขึ้น สถาปนาขึ้นเป็นหลักการปกครองจากนั้นเพิ่มเติมด้วยธรรมอันเป็นสัมพันธภาพระหว่างบุคคล มีสาระสำคัญคือมีหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 ประยุกต์ใช้อย่างถูกต้องโดยธรรมและรากฐานของชาติ จะเป็นไปตามกฎอิทัปปัจจยตาฝ่ายบวก ฝ่ายพัฒนา ฝ่ายเจริญก้าวหน้าโดยฝ่ายเดียว ได้แก่
1. หลักธรรมาธิปไตย ย่อมเป็นปัจจัยยิ่งใหญ่ต่อองค์พระมหากษัตริย์
2. หลักพระมหากษัตริย์ประมุขแห่งรัฐ (แห่งราชอาณาจักร) ย่อมเป็นปัจจัยยิ่งใหญ่ให้ปวงชนมีอำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชน
3. หลักอำนาจอธิปไตยของปวงชน จะเป็นปัจจัยยิ่งใหญ่ให้ปวงชนมีเสรีภาพบริบูรณ์
4. หลักเสรีภาพบริบูรณ์ จะเป็นปัจจัยยิ่งใหญ่ให้ปวงชนมีความเสมอภาคทางโอกาส
5. หลักความเสมอภาคทางโอกาส จะเป็นปัจจัยยิ่งใหญ่ให้ปวงชนมีภราดรภาพ
6. หลักภราดรภาพ จะเป็นปัจจัยยิ่งใหญ่ให้ปวงชนมีเอกภาพหรือรู้รักสามัคคีธรรม
7. หลักเอกภาพหรือรู้รักสามัคคีธรรม จะเป็นปัจจัยยิ่งใหญ่ให้ปวงชนมีดุลยภาพ
8. หลักดุลยภาพ จะเป็นปัจจัยยิ่งใหญ่ให้ปวงชนมีหลักนิติธรรม
9. หลักนิติธรรม จะเป็นปัจจัยยิ่งใหญ่ให้ปวงชนมีรัฐธรรมนูญอย่างถูกต้องโดยธรรม
ดังกล่าวนี้ จะเกิดขึ้นเป็นจริงได้มีเพียงพระราชกรณียกิจของพระเจ้าแผ่นดิน เท่านั้น ที่จะทรงสถาปนาหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 ขึ้นเป็นหลักการปกครอง จะเป็นปัจจัยให้มีรัฐธรรมนูญ มีรัฐบาลปกครองประเทศอย่างเป็นธรรม ประชาชนมีความยุติธรรม ประเทศชาติมีความมั่นคง และจะเป็นปัจจัยให้ระบบเศรษฐกิจแบบพอเพียง ประชาชนมั่งคั่งอย่างยั่งยืน นี่คือภารกิจอันศักดิ์สิทธิ์ในการกู้ชาติจะประสบผลสำเร็จและเป็นชัยชนะของปวงชนทุกคนร่วมกันทั้งประเทศ
1. ระบอบเผด็จการโดยการรัฐประหาร โดยใช้ธรรมนูญการปกครองฉบับชั่วคราวเป็นวิธีการการปกครองหรือเป็นเครื่องมือในการปกครอง
2. ระบอบเผด็จการโดยการเลือกตั้ง (ซื้อเสียงเข้ามา) โดยใช้รัฐธรรมนูญฉบับถาวร เป็นวิธีการปกครองหรือเครื่องมือในการปกครอง
ระบอบเผด็จการทั้งสองขั้วนี้ได้ครอบงำประเทศไทย มันได้ครอบงำประชาชนไทยนับแต่สูงสุดนักวิชากร นักการเมือง นักศึกษา จนถึงประชาชนอย่างตาสี ยายมี ยายมา ต่างก็เข้าใจว่าเป็นระบอบประชาธิปไตย แต่ปรากฏว่ามันล้มเหลวมาตลอด ล้มเหลวอย่างซ้ำซากในช่วงเวลา 76 ปี ที่ผ่านมา มีรัฐธรรมนูญมากถึง 18 ฉบับ ความแท้จริงระบอบประชาธิปไตยมันไม่เคยมี เมื่อไม่เคยมี ไม่เคยเกิดขึ้น แล้วจะพัฒนาเจริญเติบโตได้อย่างไรกัน เรายกบางตัวอย่างให้ดู การเห็นผิด คิดผิด พูดผิด ทำผิดของนักการเมือง ที่พูดกันบ่อยในช่วงนี้
นายสมัคร สุนทรเวช หัวหน้าพรรคพลังประชาชน พูดว่า “ผมจะไม่ยุบสภา ไม่ลาอกก ผมต้องเป็นนายกฯ ต่อไป เพื่อจะรักษาระบอบประชาธิปไตยนี้ไว้” (แท้จริงนายสมัครเห็นระบบรัฐสภา และการมีเสียงข้างมาก ว่าเป็นระบอบประชาธิปไตย อันที่จริงรูปการปกครองก็ดี เสียงข้างมากก็ดี จะเป็นระบอบอะไรก็ได้
นพ. สุรพงษ์ สืบวงษ์ลี พูดว่า “เราทำทุกอย่างตามขั้นตอนของระบอบประชาธิปไตย” (แท้จริงเป็นเรื่องขั้นตอนของระบบรัฐสภา ไม่เกี่ยวกับระบอบประชาธิปไตยเลยแม้แต่นิดเดียว)
นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ พูดว่า “เราต้องทำตามระบอบประชาธิปไตย” (นี่ก็เข้าใจผิด ทึกทักเอาว่าระบบรัฐสภาเป็นระบอบประชาธิปไตย)
นายวีระ มุสิกพงษ์ พูดว่า “รัฐบาลเขามาจากการเลือกตั้ง ได้เสียงข้างมาก เขาก็ทำตามระบอบประชาธิปไตยอยู่แล้ว” (แท้จริงการเลือกตั้งเป็นเพียงวิธีการประชาธิปไตย แต่เขาเข้าใจว่าเป็นระบอบประชาธิปไตย)
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ พูดว่า “เราทำตามระเบียบขั้นตอนของระบบรัฐสภา” อันนี้พูดถูก แต่บางครั้งก็กลับพูดว่า “เป็นไปตามขั้นตอนของระบอบประชาธิปไตย” อันนี้ก็พูดผิดไปจากความเป็นจริง
ทั้งนี้เพราะผู้ปกครองต่างก็เข้าใจผิดว่าการมีรัฐธรรมนูญ ว่านี่แหละระบอบประชาธิปไตย เมื่อมีรัฐธรรมนูญ ก็ย่อมเป็นปัจจัยให้เกิดระเบียบวิธีการปกครองเช่น ฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหาร (รัฐบาล) ฝ่ายตุลาการ มีระบบรัฐสภา เมื่อมีรัฐสภา ก็ย่อมมีการกำหนดให้มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร มีสมาชิกวุฒิสภา มีการเลือกตั้ง มีกระบวนการขั้นตอนระเบียบวิธีการต่างๆ ของระบบรัฐสภา ดังกล่าวนี้ คือ มันเป็นเพียงรูปแบบการปกครองและระเบียบวิธีการปกครองเท่านั้น ยังไม่มีระบอบประชาธิปไตยหรือหลักการปกครองระบอบประชาธิปไตยเลยแม้แต่น้อย
การเมืองการปกครองจะเป็นระบอบอะไรนั้น เขาดูที่หลักการปกครองเป็นสำคัญ เพราะเป็นหัวใจของการปกครองนั้นๆ เขาดูกันที่หลักการปกครอง และเมื่อรัฐธรรมนูญไทย 18 ฉบับ รวมทั้งฉบับปัจจุบัน ก็ไม่เคยมีหลักการปกครองแม้แต่ฉบับเดียว
เมื่อไม่เคยมีหลักการปกครองให้เห็น ซึ่งก็คือไม่เคยมีระบอบนั่นเอง แล้วมันเป็นระบอบอะไร มันก็เป็นระบอบมิจฉาทิฐิ ซึ่งมันเป็นระบอบเผด็จการ เมื่อมีรัฐประหารก็เรียกระบอบเผด็จการรัฐประหาร และเมื่อรัฐธรรมนูญฉบับถาวร มีระบบรัฐสภา ก็เรียกว่าระบอบเผด็จการระบอบรัฐสภาจะเห็นว่าไม่ยากเลย อ่านแล้วน่าจะเข้าใจกันได้ง่ายๆ
ทีนี้เมื่อไม่มีหลักการปกครอง หรือระบอบ แต่มันมีรัฐธรรมนูญเป็นเครื่องมือในการปกครอง ใครเข้ามาเป็นนายรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีเป็นผู้ใช้อำนาจในการปกครอง นายกรัฐมนตรีท่านนั้นๆ ได้กลายเป็นศูนย์กลางการปกครอง ซึ่งก็คือเป็นศูนย์กลางของรัฐธรรมนูญอย่างเป็นไปเอง นั่นเอง นายกรัฐมนตรี จึงกลายเป็นตัวระบอบ หรือนายกรัฐมนตรีได้กลายเป็นหลักการปกครองอย่างเป็นไปเอง จึงกลายเป็นชาติชาย ระบอบชวลิต ระบอบชวน ระบอบทักษิณ ระบอบสมัคร และระบอบ....ต่อไป แต่แท้ที่จริงมันก็คือระบอบเผด็จการ นี่แหละคือเหตุแห่งความวิบัติของชาติ นั่นเอง
ระบอบหรือหลักการปกครอง อุปมาได้ดังดวงอาทิตย์ ส่วนหมวด และมาตราต่างๆ อุปมาได้ดังดาวเคราะห์ ไม่มีดวงอาทิตย์ หรือดวงอาทิตย์พินาศ ดาวเคราะห์ทั้งหลายก็อยู่ไม่ได้ ฉันใด
รัฐธรรมนูญที่ไม่มีหลักการปกครอง มีแต่รูปการปกครอง (ระบบรัฐสภา) และระเบียบวิธีการปกครอง ได้แก่ หมวด และมาตราต่างๆ โดยส่วนเดียว ก็ตั้งอยู่ไม่ได้ ฉันนั้น
ใครมาเป็นนายรัฐมนตรี ก็จะกลายเป็นคนร้ายขึ้นมาทันที ก่อนเป็นนายกฯ เป็นคนดี แต่พอเป็นนายกรัฐมนตรีกลายเป็นคนร้าย ที่เป็นเช่นนี้เพราะมันเป็นไปตามกฎเกณฑ์ของธรรมฝ่ายเสื่อม หรือกฎธรรมชาติฝ่ายเสื่อม คือเมื่อเหตุเลว ผลย่อมเลวตาม หรือเมื่อระบอบมิจฉาทิฐิ รัฐบาลย่อมเป็นรัฐบาลมิจฉาทิฐิ เมื่อระบอบเป็นเผด็จการ รัฐบาลย่อมเป็นเผด็จการ รัฐบาลเป็นเผด็จการก็ต้องพินาศ แต่นั่นมันหมายถึงประเทศชาติและประชาชนต้องพินาศด้วยนะซิ ซึ่งก็คือเมื่อระบอบเลว มันย่อมเป็นเหตุแผ่กระจายความพินาศออกไปสู่ส่วนที่สัมพันธ์เกี่ยวพันกันทั้งหมด ไม่ว่าใหญ่หรือเล็ก มันแตกแยกไปหมดนับแต่ครอบครัวจนถึงสถาบันสูงสุด เราเห็นชัดโดยไม่ต้องไปถามหมอดู
ขอย้ำว่าในสถานการณ์ปัจจุบัน ระบอบเผด็จการ (Dictatorship Regime) คือ ระบอบที่ไม่มีหลักการปกครอง (Principle of Government) ส่วนรูปการปกครอง (Form of Government) คือ ระบบรัฐสภา (Parliamentary System) ขึ้นสู่อำนาจโดยการเลือกตั้ง จึงเรียกว่าระบอบเผด็จการระบบรัฐสภา หรือ เรียกโดยย่อว่าระบอบเผด็จการรัฐสภา ถ้ามีการทำรัฐประหาร ใช้วิธีการรัฐประหารขึ้นสู่อำนาจเรียกว่าเผด็จการรัฐประหาร
พี่น้องเพื่อนร่วมชาติโปรดทราบ ขอให้มีปัญญารู้ว่า ระบอบเผด็จการทุกชนิด ไม่สามารถเปิดเผยหลักการได้ ผู้ปกครองทั้งหลาย นักวิชาการทั้งหลาย ท่านทำไปโดยไม่รู้ โดยทำสืบกันมา โดยรู้เท่าไม่ถึงการ หรือจะทำโดยจงใจเพื่อทำให้บ้านเมืองนี้ปั่นป่วน ทั้งนี้จุดสูงสุดก็คือการทำลายชาติ การทำลายชาติ ก็คือการทำลายรากฐานของชาติ การทำลายรากฐานของชาติ ก็คือการทำลายสถาบันหลักของชาติ คือ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ นั่นเอง
การกู้ชาติ สู่การเมืองใหม่ การการสร้างสรรค์ชาติ อันดับแรกก็คือการสร้างปัญญาให้ถูกต้อง โดยการผลักดันเรียกร้อง แสดงความจงรักภักดีด้วยการสวมใส่เสื้อเหลืองให้พร้อมพลักทั้งแผ่นดิน แล้วเปร่ง เสียง “ทรงพระเจริญ ทรงสถาปนาหลักการปกครองโดยธรรมๆๆ”
สาระสำคัญของหลักการปกครองโดยธรรม ก่อนอื่น สิ่งแรกจะต้องยกแก่นแท้ รากฐานของชาติ คือ สถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ยกขึ้น สถาปนาขึ้นเป็นหลักการปกครองจากนั้นเพิ่มเติมด้วยธรรมอันเป็นสัมพันธภาพระหว่างบุคคล มีสาระสำคัญคือมีหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 ประยุกต์ใช้อย่างถูกต้องโดยธรรมและรากฐานของชาติ จะเป็นไปตามกฎอิทัปปัจจยตาฝ่ายบวก ฝ่ายพัฒนา ฝ่ายเจริญก้าวหน้าโดยฝ่ายเดียว ได้แก่
1. หลักธรรมาธิปไตย ย่อมเป็นปัจจัยยิ่งใหญ่ต่อองค์พระมหากษัตริย์
2. หลักพระมหากษัตริย์ประมุขแห่งรัฐ (แห่งราชอาณาจักร) ย่อมเป็นปัจจัยยิ่งใหญ่ให้ปวงชนมีอำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชน
3. หลักอำนาจอธิปไตยของปวงชน จะเป็นปัจจัยยิ่งใหญ่ให้ปวงชนมีเสรีภาพบริบูรณ์
4. หลักเสรีภาพบริบูรณ์ จะเป็นปัจจัยยิ่งใหญ่ให้ปวงชนมีความเสมอภาคทางโอกาส
5. หลักความเสมอภาคทางโอกาส จะเป็นปัจจัยยิ่งใหญ่ให้ปวงชนมีภราดรภาพ
6. หลักภราดรภาพ จะเป็นปัจจัยยิ่งใหญ่ให้ปวงชนมีเอกภาพหรือรู้รักสามัคคีธรรม
7. หลักเอกภาพหรือรู้รักสามัคคีธรรม จะเป็นปัจจัยยิ่งใหญ่ให้ปวงชนมีดุลยภาพ
8. หลักดุลยภาพ จะเป็นปัจจัยยิ่งใหญ่ให้ปวงชนมีหลักนิติธรรม
9. หลักนิติธรรม จะเป็นปัจจัยยิ่งใหญ่ให้ปวงชนมีรัฐธรรมนูญอย่างถูกต้องโดยธรรม
ดังกล่าวนี้ จะเกิดขึ้นเป็นจริงได้มีเพียงพระราชกรณียกิจของพระเจ้าแผ่นดิน เท่านั้น ที่จะทรงสถาปนาหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 ขึ้นเป็นหลักการปกครอง จะเป็นปัจจัยให้มีรัฐธรรมนูญ มีรัฐบาลปกครองประเทศอย่างเป็นธรรม ประชาชนมีความยุติธรรม ประเทศชาติมีความมั่นคง และจะเป็นปัจจัยให้ระบบเศรษฐกิจแบบพอเพียง ประชาชนมั่งคั่งอย่างยั่งยืน นี่คือภารกิจอันศักดิ์สิทธิ์ในการกู้ชาติจะประสบผลสำเร็จและเป็นชัยชนะของปวงชนทุกคนร่วมกันทั้งประเทศ