นักปราชญ์ ย่อมปฏิเสธ หยุดยั้ง ล้ม แนวทางหายนะทำลายชาติ มันเป็นลัทธิอุบาทว์ที่ได้สร้างความฉิบหายทำลายชาติ สร้างความขัดแย้งมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน เสี่ยงภัยเสียเวลา และทำความสูญเสียอย่างใหญ่หลวงให้กับประเทศไทยเรา ตลอดระยะเวลา 76 ปี คือแนวทางลัทธิรัฐธรรมนูญ ได้มีแนวคิดหลักคือ ร่างรัฐธรรมนูญให้เป็นระบอบประชาธิปไตย หรือแก้ไขให้เป็นระบอบประชาธิปไตย เราบอกความจริงว่ามันเป็นแนวทางมิจฉาทิฐิ เราย้ำว่า คณะผู้ปกครองผู้โง่เขลา จะยกร่างแก้ไขสักร้อยครั้งพันฉบับ ก็ไม่มีวันที่จะได้ระบอบประชาธิปไตยหรอก มีแต่การหลอกลวงและล้มเหลว แนวทางดังกล่าวมันผิดพลาดอย่างซ้ำซากมาแล้วถึง 18 ฉบับ ยาวนานถึง 76 ปี ก็ยังคิดทำตามแนวทางมิจฉาทิฐินี้กันอีกหรือ มันน่าจะฉุกคิดกันบ้างนะ มีประเทศไทยประเทศเดียวในโลกที่สอนหลอกให้เข้าใจว่ารัฐธรรมนูญคือระบอบประชาธิปไตย เช่น สร้างอนุสาวรีย์รัฐธรรมนูญ แต่กลับตั้งชื่อว่าอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย
จะเห็นได้ว่าแนวทางมิจฉาทิฐินี้ ได้สืบทอดผ่าน คณะผู้ปกครองปัจจุบัน ของการประชุมร่วม 4 ฝ่าย (รัฐบาล ฝ่ายค้าน สภาผู้แทนฯ วุฒิสภา) ที่จะดำเนินการตั้ง ส.ส.ร. 3 และข้อเสนอเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับหมอเหวง โตจิราการ ผู้มีแนวคิดมุ่งมั่นตามลัทธิมาร์กซ์ (Marxism) ที่จะให้ประเทศไทยเป็นสาธารณรัฐได้ทำแนวร่วมกับพรรครัฐบาล (โง่เขลา) และคณะสงฆ์บางส่วน (ที่ไม่รู้เท่าทัน) บอกเลยว่าเรารู้ทันว่า หมอเหวงคุณกำลังคิดทำอะไรอยู่ คุณตบตาเราไม่ได้หรอก
แนวทางที่ถูกต้อง คือการเจริญรอยตามแนวทางพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมอันลึกซึ้งได้ด้วยพระองค์เอง และแก่นคำสอนของพระองค์เป็นหนึ่งเดียวกับกฎธรรมชาติ เช่น อริยสัจ 5, ปฏิจจสมุปบาท, อิทัปปจจยตา, ขันธ์ 5 เป็นต้น
จนกระทั่งมีพระอรหันตสาวกมากถึง 1,250 องค์ จึงได้ทรงแสดงพระปาติโมกข์ และเริ่มบัญญัติพระวินัย (พระไตรปิฎกไทยเล่มที่10/54) จะเห็นว่าพระพุทธเจ้าสอนพระธรรมก่อน ซึ่งเป็นแก่นหรือหลักการล้วนๆ และเมื่อสาวกมากขึ้น จึงค่อยๆ บัญญัติพระวินัย (ธรรมนูญ) เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ สมมติว่าถ้า พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติพระวินัยก่อน ป่านนี้พระพุทธศาสนาก็คงไม่เกิดขึ้นมาในโลกเป็นแน่แท้
พระพุทธเจ้าสอนให้เรารู้แจ้งขันธ์ 5 เป็นเหตุปัจจัยให้รู้แจ้งกฎธรรมชาติ มีปัญญารู้เห็นสัมพันธภาพระหว่างสภาวะที่ไม่เสื่อมสลาย (นิพพาน, อสังขตธรรม) กับสภาวะที่เสื่อมสลาย (ขันธ์ 5, สังขตธรรม) อันตกอยู่ใต้กฎไตรลักษณ์ (อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา) และมีปัญญาให้รู้ว่า
ดวงอาทิตย์ มาก่อนดาวเคราะห์, พระพุทธเจ้าทรงประกาศพระธรรมก่อนพระวินัย, พระพุทธเจ้ามาก่อนพระอรหันตสาวก, จุดมุ่งหมาย ต้องมาก่อนมรรควิธี, ยุทธศาสตร์ต้องมาก่อนยุทธวิธี, ประมุขแห่งรัฐมาก่อนนายกรัฐมนตรี, นายกรัฐมนตรี มาก่อนรัฐมนตรี
ธรรม ปรัชญาต้องมาก่อนการเมือง, การเมืองต้องมาก่อนรัฐศาสตร์, รัฐศาสตร์ต้องมาก่อนนิติศาสตร์, หลักการปกครอง ต้องมาก่อนวิธีการปกครอง นี่คือสัมพันธภาพที่ถูกต้องโดยธรรม ฉันใด
หลักการปกครอง (ระบอบ) ต้องมาก่อนรัฐธรรมนูญ ฉันนั้น
จึงเป็นภารกิจอันยิ่งยวดของผู้นำโดยธรรม ที่มีสัมมาทิฐิ ที่จะต้องดำเนินการ เพื่อให้เกิดความถูกต้องขึ้นในแผ่นดิน ก่อนสิ่งใดทั้งหมดคือการผลักดัน สถาปนาหลักการปกครองโดยธรรม หรือการสถาปนาระบอบโดยธรรม ให้สำเร็จลุล่วงไปก่อน กระทั่งประชาชนเข้าใจเรื่องหลักการปกครองหรือระบอบฯ แยกออกจากรัฐธรรมนูญได้เสียก่อน จึงค่อยคิดแก้ไข ปรับปรุงรัฐธรรมนูญในภายหลัง
ความยิ่งใหญ่ คือการจัดสัมพันธภาพ 3 ด้าน ประสานเป็นหนึ่งเดียวกัน คือ
1. สัมพันธภาพของกฎธรรมชาติ
2. สัมพันธภาพของชีวิตมนุษย์หรือขันธ์ 5
3. สัมพันธภาพการปกครองแบบธรรมาธิปไตย
จะเห็นได้ว่าสัมพันธภาพทั้ง 3 นี้ ถูกต้องตาม กฎอิทัปปัจจยตา หรือกฎแห่งกรรม “เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้เป็นปัจจัย สิ่งนี้จึงมี” “เมื่อสิ่งนี้เป็นปัจจัยเหตุ สิ่งนี้เป็นปัจจัยผล” “เมื่อเหตุถูกต้อง ผลย่อมถูกต้อง” “เมื่อหลักการปกครองโดยธรรมเกิดขึ้น วิธีการปกครองโดยธรรมก็เกิดขึ้น รวมทั้งส่วนที่เกี่ยวพันสัมพันธ์กันทั้งหมดก็จะถูกต้องดีงามตามไปด้วย” เป็นเรื่องใหม่ที่ยิ่งใหญ่ของโลก ยังไม่มีใครนำเสนอมาก่อน ท่านทั้งหลายศึกษาให้ดีเถิด ดังได้จัดสัมพันธภาพ ดังนี้
นอกจากนี้ คุณพิเศษของหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 นี้ ยังสอดคล้องกับลักษณะพิเศษของประเทศไทย คือองค์ประกอบแห่งรัฐ (ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์) หลักความมั่นคงแห่งรัฐ หลักการปกครอง และหลักนิติธรรมเป็นหนึ่งเดียวกัน อันเป็นด้านปฐมภูมิกับ วิธีการปกครอง (Method of Government) อันเป็นด้านทุติยภูมิ คือ หมวดและมาตราต่างๆ จะเห็นได้ชัดว่า แนวทางธรรมาธิปไตยนี้ เหนือกว่าลัทธิรัฐธรรมนูญที่ทำลายชาติมาแสนนาน อย่างเทียบกันไม่ได้เลย และสมดังพระปฐมบรมราชโองการ “เราจะครองแผ่นดินโดยธรรมเพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม” อันยิ่งใหญ่ในใจของปวงชนไทยทุกคน
ทางเดียวสำเร็จยิ่งใหญ่ลุล่วงไปได้ คือพระมหากษัตริย์ ทรงสถาปนาหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 จากนั้นการออกกฎหมายใดๆ ก็ตามทั้ง กฎหมายหลัก (Principle of Law) คือกฎหมายรัฐธรรมนูญ และพระราชบัญญัติต่างๆ พระราชกำหนด พระราชกฤษฎีกา ฯลฯ ต้องไม่ขัดต่อหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 คือไม่ขัดต่อองค์ประกอบแห่งรัฐ (ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์), หลักความมั่นคงแห่งชาติ (Supreme Law), และหลักนิติธรรม (The Rule of Law) ถ้ากฎหมายใดขัดต่อหลักนิติธรรมทั้ง 9 นี้ ก็ให้ปรับปรุงแก้ไขให้ถูกต้องเป็นธรรม จะเห็นว่าไม่ยากเลย ของง่ายๆ ประชาชนเข้าใจ แต่พวกผู้ปกครองไม่เข้าใจ
พร้อมทั้งการนำระบบเศรษฐกิจแบบพอเพียง ตามแนวพระราชดำริ มาใช้อย่างรอบด้าน ก็จะเกิดความถูกต้องโดยธรรมอย่างยั่งยืนขึ้นในบ้านเมือง และเป็นการแก้เหตุวิกฤตชาติมายาวนานถึง 76 ปีให้สำเร็จลงได้อย่างแท้จริง ความถูกต้อง ความเข้มแข็ง ความมั่นคง ความมั่งคั่ง ความรู้รักสามัคคีธรรมของชนในชาติก็จะกลับคืนมา ความเจริญรุ่งเรืองก้าวหน้าไม่แพ้ประเทศอื่นใดในโลก เราหวังว่ากลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยผู้รักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ จะนำไปศึกษา ผลักดัน อุทิศตนอย่างสุดกำลัง เพื่อการสร้างสรรค์สู่การเมืองใหม่สู่ธรรมาธิปไตยอันยิ่งใหญ่ของชาติอย่างแท้จริง
จะเห็นได้ว่าแนวทางมิจฉาทิฐินี้ ได้สืบทอดผ่าน คณะผู้ปกครองปัจจุบัน ของการประชุมร่วม 4 ฝ่าย (รัฐบาล ฝ่ายค้าน สภาผู้แทนฯ วุฒิสภา) ที่จะดำเนินการตั้ง ส.ส.ร. 3 และข้อเสนอเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับหมอเหวง โตจิราการ ผู้มีแนวคิดมุ่งมั่นตามลัทธิมาร์กซ์ (Marxism) ที่จะให้ประเทศไทยเป็นสาธารณรัฐได้ทำแนวร่วมกับพรรครัฐบาล (โง่เขลา) และคณะสงฆ์บางส่วน (ที่ไม่รู้เท่าทัน) บอกเลยว่าเรารู้ทันว่า หมอเหวงคุณกำลังคิดทำอะไรอยู่ คุณตบตาเราไม่ได้หรอก
แนวทางที่ถูกต้อง คือการเจริญรอยตามแนวทางพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมอันลึกซึ้งได้ด้วยพระองค์เอง และแก่นคำสอนของพระองค์เป็นหนึ่งเดียวกับกฎธรรมชาติ เช่น อริยสัจ 5, ปฏิจจสมุปบาท, อิทัปปจจยตา, ขันธ์ 5 เป็นต้น
จนกระทั่งมีพระอรหันตสาวกมากถึง 1,250 องค์ จึงได้ทรงแสดงพระปาติโมกข์ และเริ่มบัญญัติพระวินัย (พระไตรปิฎกไทยเล่มที่10/54) จะเห็นว่าพระพุทธเจ้าสอนพระธรรมก่อน ซึ่งเป็นแก่นหรือหลักการล้วนๆ และเมื่อสาวกมากขึ้น จึงค่อยๆ บัญญัติพระวินัย (ธรรมนูญ) เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ สมมติว่าถ้า พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติพระวินัยก่อน ป่านนี้พระพุทธศาสนาก็คงไม่เกิดขึ้นมาในโลกเป็นแน่แท้
พระพุทธเจ้าสอนให้เรารู้แจ้งขันธ์ 5 เป็นเหตุปัจจัยให้รู้แจ้งกฎธรรมชาติ มีปัญญารู้เห็นสัมพันธภาพระหว่างสภาวะที่ไม่เสื่อมสลาย (นิพพาน, อสังขตธรรม) กับสภาวะที่เสื่อมสลาย (ขันธ์ 5, สังขตธรรม) อันตกอยู่ใต้กฎไตรลักษณ์ (อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา) และมีปัญญาให้รู้ว่า
ดวงอาทิตย์ มาก่อนดาวเคราะห์, พระพุทธเจ้าทรงประกาศพระธรรมก่อนพระวินัย, พระพุทธเจ้ามาก่อนพระอรหันตสาวก, จุดมุ่งหมาย ต้องมาก่อนมรรควิธี, ยุทธศาสตร์ต้องมาก่อนยุทธวิธี, ประมุขแห่งรัฐมาก่อนนายกรัฐมนตรี, นายกรัฐมนตรี มาก่อนรัฐมนตรี
ธรรม ปรัชญาต้องมาก่อนการเมือง, การเมืองต้องมาก่อนรัฐศาสตร์, รัฐศาสตร์ต้องมาก่อนนิติศาสตร์, หลักการปกครอง ต้องมาก่อนวิธีการปกครอง นี่คือสัมพันธภาพที่ถูกต้องโดยธรรม ฉันใด
หลักการปกครอง (ระบอบ) ต้องมาก่อนรัฐธรรมนูญ ฉันนั้น
จึงเป็นภารกิจอันยิ่งยวดของผู้นำโดยธรรม ที่มีสัมมาทิฐิ ที่จะต้องดำเนินการ เพื่อให้เกิดความถูกต้องขึ้นในแผ่นดิน ก่อนสิ่งใดทั้งหมดคือการผลักดัน สถาปนาหลักการปกครองโดยธรรม หรือการสถาปนาระบอบโดยธรรม ให้สำเร็จลุล่วงไปก่อน กระทั่งประชาชนเข้าใจเรื่องหลักการปกครองหรือระบอบฯ แยกออกจากรัฐธรรมนูญได้เสียก่อน จึงค่อยคิดแก้ไข ปรับปรุงรัฐธรรมนูญในภายหลัง
ความยิ่งใหญ่ คือการจัดสัมพันธภาพ 3 ด้าน ประสานเป็นหนึ่งเดียวกัน คือ
1. สัมพันธภาพของกฎธรรมชาติ
2. สัมพันธภาพของชีวิตมนุษย์หรือขันธ์ 5
3. สัมพันธภาพการปกครองแบบธรรมาธิปไตย
จะเห็นได้ว่าสัมพันธภาพทั้ง 3 นี้ ถูกต้องตาม กฎอิทัปปัจจยตา หรือกฎแห่งกรรม “เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้เป็นปัจจัย สิ่งนี้จึงมี” “เมื่อสิ่งนี้เป็นปัจจัยเหตุ สิ่งนี้เป็นปัจจัยผล” “เมื่อเหตุถูกต้อง ผลย่อมถูกต้อง” “เมื่อหลักการปกครองโดยธรรมเกิดขึ้น วิธีการปกครองโดยธรรมก็เกิดขึ้น รวมทั้งส่วนที่เกี่ยวพันสัมพันธ์กันทั้งหมดก็จะถูกต้องดีงามตามไปด้วย” เป็นเรื่องใหม่ที่ยิ่งใหญ่ของโลก ยังไม่มีใครนำเสนอมาก่อน ท่านทั้งหลายศึกษาให้ดีเถิด ดังได้จัดสัมพันธภาพ ดังนี้
นอกจากนี้ คุณพิเศษของหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 นี้ ยังสอดคล้องกับลักษณะพิเศษของประเทศไทย คือองค์ประกอบแห่งรัฐ (ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์) หลักความมั่นคงแห่งรัฐ หลักการปกครอง และหลักนิติธรรมเป็นหนึ่งเดียวกัน อันเป็นด้านปฐมภูมิกับ วิธีการปกครอง (Method of Government) อันเป็นด้านทุติยภูมิ คือ หมวดและมาตราต่างๆ จะเห็นได้ชัดว่า แนวทางธรรมาธิปไตยนี้ เหนือกว่าลัทธิรัฐธรรมนูญที่ทำลายชาติมาแสนนาน อย่างเทียบกันไม่ได้เลย และสมดังพระปฐมบรมราชโองการ “เราจะครองแผ่นดินโดยธรรมเพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม” อันยิ่งใหญ่ในใจของปวงชนไทยทุกคน
ทางเดียวสำเร็จยิ่งใหญ่ลุล่วงไปได้ คือพระมหากษัตริย์ ทรงสถาปนาหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 จากนั้นการออกกฎหมายใดๆ ก็ตามทั้ง กฎหมายหลัก (Principle of Law) คือกฎหมายรัฐธรรมนูญ และพระราชบัญญัติต่างๆ พระราชกำหนด พระราชกฤษฎีกา ฯลฯ ต้องไม่ขัดต่อหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 คือไม่ขัดต่อองค์ประกอบแห่งรัฐ (ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์), หลักความมั่นคงแห่งชาติ (Supreme Law), และหลักนิติธรรม (The Rule of Law) ถ้ากฎหมายใดขัดต่อหลักนิติธรรมทั้ง 9 นี้ ก็ให้ปรับปรุงแก้ไขให้ถูกต้องเป็นธรรม จะเห็นว่าไม่ยากเลย ของง่ายๆ ประชาชนเข้าใจ แต่พวกผู้ปกครองไม่เข้าใจ
พร้อมทั้งการนำระบบเศรษฐกิจแบบพอเพียง ตามแนวพระราชดำริ มาใช้อย่างรอบด้าน ก็จะเกิดความถูกต้องโดยธรรมอย่างยั่งยืนขึ้นในบ้านเมือง และเป็นการแก้เหตุวิกฤตชาติมายาวนานถึง 76 ปีให้สำเร็จลงได้อย่างแท้จริง ความถูกต้อง ความเข้มแข็ง ความมั่นคง ความมั่งคั่ง ความรู้รักสามัคคีธรรมของชนในชาติก็จะกลับคืนมา ความเจริญรุ่งเรืองก้าวหน้าไม่แพ้ประเทศอื่นใดในโลก เราหวังว่ากลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยผู้รักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ จะนำไปศึกษา ผลักดัน อุทิศตนอย่างสุดกำลัง เพื่อการสร้างสรรค์สู่การเมืองใหม่สู่ธรรมาธิปไตยอันยิ่งใหญ่ของชาติอย่างแท้จริง