xs
xsm
sm
md
lg

การเมืองใหม่ กับการแก้ไขเหตุวิกฤตชาติ

เผยแพร่:   โดย: ป.เพชรอริยะ

ประชาชนในหลายๆ วงการต่างก็เบื่อการเมือง เพราะแท้จริงมันเป็นการเมืองภายใต้ระบอบเผด็จการ การเมืองชนิดนี้มันมีแต่จะทำลายประเทศชาติให้ทรุดลงไปๆ เสี่ยงภัยและเสียเวลา แต่พวกผู้ปกครองหารู้ตัวไม่ยังลุ่มหลง ครอบงำ บิดเบือน พิทักษ์รักษาเหตุแห่งความเลวร้ายของชาติเอาไว้ต่อไปอย่างเหนี่ยวแน่น ทั้งนี้เพราะพวกเขาได้ประโยชน์แต่ประเทศชาติและประชาชนกลับต้องหายนะ จึงเสนอแนวคิดใหม่ที่ถูกต้องสอดคล้องเป็นหนึ่งเดียวกับกฎธรรมชาติอันมีลักษณะพระธรรมจักร ซึ่งได้เปิดเผยโดยพระพุทธเจ้า มานานสองพันห้าร้อยกว่าปีแล้ว

พระธรรมจักร เป็นสภาวะที่ดำรงอยู่ก่อนแล้วตามกฎธรรมชาติ ไม่ว่าพระพุทธเจ้าจะเกิดขึ้นหรือไม่เกิดขึ้นก็ตาม สภาพธรรมที่ดำรงอยู่อย่างดุลยภาพนั้นมันก็มีของมันอย่างนั้น เจ้าชายสิทธัตถะ มหาบุรุษพระผู้ทรงบำเพ็ญเพียรพระบารมีจนเต็มสมบูรณ์ถึงที่สุด ทรงตรัสรู้ชอบด้วยพระองค์เองในนามพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงค้นพบกฎธรรมชาติในทุกมิติ พระพุทธองค์ตรัสว่า.. พระตถาคตย่อมตรัสรู้ ทั่วถึงซึ่งธาตุอันนั้น ครั้นแล้วย่อมตรัสบอก ทรงแสดง บัญญัติ แต่งตั้ง เปิดเผย จำแนก กระทำให้ตื้น ท่านทั้งหลายจงดู ดังนี้ เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขาร ภิกษุทั้งหลาย ความจริงแท้ (ตถตา) ความไม่คลาดเคลื่อน (อวิตฺถตา) ความไม่เป็นอย่างอื่น (อนญฺญถตา) คือการที่ธรรมเกิดขึ้นเพราะธรรมนี้เป็นปัจจัย (อิทปฺปจฺจยตา) ดังพรรณนามาฉะนี้แล เราเรียกว่าปฏิจจสมุปฺบาท... (การอาศัยกันเกิดขึ้น)” ขยายความดังนี้

1. สภาวะพระธรรมจักรดั้งเดิม ดำรงอย่างเป็นเอกภาพ และดุลยภาพ บนความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งสองสิ่ง หรือสองลักษณะ คือ ระหว่างสิ่งที่ไม่เปลี่ยนแปลง (เป็นด้านเอกภาพ หรือเป็นด้านจุดมุ่งหมาย) มีลักษณะแผ่โอบอุ้มครอบงำสิ่งทั้งปวงที่สัมพันธ์เกี่ยวพันกันทั้งหมด กับสิ่งที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา (เป็นวิถีที่มุ่งสู่จุดมุ่งหมายอันเป็นด้านเอกภาพ หรือต้องขึ้นต่อด้านเอกภาพ) สิ่งที่เปลี่ยนแปลงเป็นเป็นสภาวะของสิ่งมีชีวิต และไม่มีชีวิต (อันมีลักษณะแตกต่างหลากหลาย) สิ่งมีชีวิตทั้งหลายต่างก็วิวัฒนาการเป็นไปใน 2 ลักษณะ คือ

1)อย่างค่อยเป็นค่อยไป 2) อย่างก้าวกระโดด ทั้งสองลักษณะทั้งก้าวหน้าและถอยหลังได้ จะเห็นว่าเมื่อสิ่งมีชีวิตต่างก็วิวัฒนาการเวียนว่ายตายเกิด ตายแล้วเกิด เกิดแล้วตาย เพื่อที่จะวิวัฒนาการมุ่งไปสู่จุดมุ่งหมายเดียวกันอันเป็นสภาวะที่ไม่ตาย ไม่เปลี่ยนแปลง เป็นสภาวะแห่งการรู้แจ้งสภาวธรรมทั้งปวง อันเป็นจุดสูงสุดของสิ่งมีชีวิตหรือของมนุษยชาตินั่นเอง ภาพรวมสัมพันธภาพขององค์เอกภาพ หรืออีกนัยหนึ่ง คือสัมพันธภาพระหว่างด้านเอกภาพ ที่มีลักษณะแผ่กระจายครอบงำส่วนที่สัมพันธ์เกี่ยวพันกันทั้งหมด กับด้านความแตกต่างหลากหลายที่ขึ้นต่อ มุ่งตรงไปรวมศูนย์ที่องค์เอกภาพ (แผ่กระจายกับรวมศูนย์เป็นเหตุให้เกิดดุลยภาพ) ดังกล่าวนี้มีลักษณะพระธรรมจักร ดังรูป

พระพุทธเจ้า พระองค์ทรงบัญญัติศัพท์สภาวะดังกล่าวนั้นว่า อสังขตธรรม หรืออสังขตธาตุ (สภาวธรรมที่ไม่มีเหตุปัจจัยปรุงแต่งอันเป็นสัจธรรมสัมบูรณ์ (Absolute Truth) ซึ่งดำรงบนสัมพันธภาพกับสังขตธรรม หรือสังขตธาตุ (สภาวธรรมที่มีเหตุปัจจัยปรุงแต่งทั้งนาม และรูป และวัตถุต่าง อันเป็นสัจธรรมสัมพัทธ์ (Relative Truth)

2. พระพุทธเจ้า คือ องค์เอกภาพของชาวโลก พระพุทธเจ้าเป็นด้านเอกภาพ ส่วนชาวพุทธและสาธุชนทั้งมวลเป็นด้านความแตกต่างหลากหลาย นี่คือลักษณะเอกภาพของชาวพุทธและสาธุชนแห่งโลก สภาวะพระพุทธเจ้าแผ่โอบอุ้มชาวพุทธทั้งมวล ขณะเดียวกันชาวพุทธทั้งมวลก็ขึ้นต่อ สภาวะพระพุทธเจ้า จึงเห็นองค์สัมพันธภาพระหว่างแผ่กับรวมศูนย์ เป็นปัจจัยให้เกิดดุลยภาพดำรงอยู่อย่างถูกต้องตามกฎธรรมชาติ เป็นลักษณะองค์เอกภาพ พระธรรมจักร หมุนไปเป็น ศีล สมาธิ ปัญญา แสงสว่างแห่งมนุษยชาติ กว่า 2,500 ปี แล้ว

3. องค์เอกภาพแห่งชีวิต ชีวิตมีองค์ประกอบคือ กาย หรือ รูป คือมหาภูตรูป หรือาตุ 4 ได้แก่ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ มีลักษณะเป็นสังขตธรรม และมีความแตกต่างหลากหลาย นาม ได้แก่ เวทนา (ความรู้สึกพอใจ ไม่พอใจ เฉยๆ) สัญญา (ความจำได้หมายรู้) สังขาร (ความคิดปรุงแต่งทั้งเป็นอกุศล และกุศล) วิญญาณ (การรับรู้ทางอายตนะ 6 ได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ) แสดงให้เห็นว่ารูป ก็มีความแตกต่างหลากหลาย นาม ก็มีความแตกต่างหลากหลาย ทั้งยังจะปรุงแต่งเป็นกุศลก็มากมายหลายประการนับแต่ตนเองจนถึงระดับโลก ปรุงแต่งเป็นอกุศล ก็มีความแตกต่างหลากหลายนับแต่ทำลายตนเอง จนถึงระดับชาติและโลก เช่น การเบียดเบียน ทำลายล้างซึ่งกันและกัน การคอร์รัปชัน และสงคราม เป็นต้น

แต่ถ้าผู้ปกครองรู้จักตนเองทั้งนาม และรูปตามความเป็นจริง จะพบว่า นามรูป เป็นสิ่งที่ไร้แก่นสาร เพราะเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาดุจน้ำไหล ตกอยู่ใต้กฎไตรลักษณ์ (อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา) เกิดขึ้นในเบื้องต้น แปรปรวนในท่ามกลาง และดับไปในที่สุด ว่างเปล่าจากความหมายแห่งความเป็นตัวตน เมื่อรู้ตามจริง จึงเบื่อหน่ายในสังขารทั้งปวง กระทั่งหลุดพ้นไปเจอด้านที่พ้นจากกฎไตรลักษณ์ นั่นก็คือ สภาวอสังขตธรรม หรือนิพพาน หรือบรมธรรม จึงเป็นเหตุให้ได้พบสภาวะองค์เอกภาพบนความสัมพันธ์ระหว่างอสังขตธรรม กับสังขตธรรม (รูปนาม หรือขันธ์ 5) แท้จริงแล้วขันธ์ 5 คือสัมพันธภาพระหว่างนิพพานเป็นด้านเอกภาพกับนามและรูป อันมีลักษณะแตกต่างหลาย ทั้งนามและรูปต้องพัฒนาขึ้นสู่นิพพานหรือสภาวะที่บริสุทธิ์ที่มีอยู่ในมนุษย์ทุกคน อันเป็นที่ดับของการปรุงแต่งทั้งปวง จะเห็นได้ว่ากฎธรรมชาติดั้งเดิม กับขันธ์ 5 หรือ จิต เจตสิก รูป นิพพาน แท้จริงแล้วเป็นหนึ่งเดียวกับกฎธรรมชาติ มีลักษณะพระธรรมจักรเช่นเดียวกัน

4. ดวงอาทิตย์เป็นองค์เอกภาพ ส่วนดาวเคราะห์ทั้งหลายเป็นด้านความแตกต่างหลากหลาย ดวงอาทิตย์แผ่อำนาจครอบงำดาวเคราะห์ไว้ทั้งหมด ดาวเคราะห์ทั้งหมดต่างก็ขึ้นต่อดวงอาทิตย์ เกิดสัมพันธภาพระหว่างแผ่กับรวมศูนย์ เกิดดุลยภาพ ตั้งอยู่ได้เป็นล้านล้านปี ก็ดำรงอยู่ในลักษณะพระธรรมจักร ถ้าดวงอาทิตย์พินาศ ดาวเคราะห์ทั้งหมดก็พินาศตามไปด้วย

5. สภาวะนิพพานเป็นองค์เอกภาพ ส่วนคำสอนของพระพุทธองค์ 84,000 พระธรรมขันธ์ เป็นด้านความแตกต่างหลากหลาย ก็ดำรงอยู่ในลักษณะพระธรรมจักร เช่นเดียวกัน

สภาวะกฎธรรมชาติดังกล่าว เราก็นำมาประยุกต์เข้ากับอุดมการณ์ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และหลักการปกครองหรือระบอบการเมือง และเรื่องอื่นได้ทุกองค์การ ทุกองค์กร ทุกระดับ นับแต่ครอบครัวจนถึงระดับโลก เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญยิ่ง สำคัญที่สุดในชีวิตของผู้เขียน ที่จะทำสัจธรรมมาใช้ให้ปรากฏเป็นจริง เจริญรอยตามพระศาสดา

6. ชาติเป็นองค์เอกภาพ ประชาชนเป็นด้านความแตกต่างหลากหลาย ชาติต้องแผ่โอบอุ้มประชาชนทั้งแผ่นดิน ไม่เลือกเชื้อชาติเผ่าพันธุ์ ศาสนา อายุ เพศ วุฒิการศึกษา ขณะเดียวกันประชาชนทั้งปวงต้องขึ้นต่อชาติ ต้องรับใช้ชาติ ไม่ทรยศต่อชาติ

การเป็นนักการเมืองมีนโยบายพลิกแพลงด้วยเล่ห์เพทุบาย ส่อไปในทางฉ้อราษฎร์บังหลวง เพื่อใช้ซื้อเสียงขึ้นสู่อำนาจทางการเมืองเป็นการทรยศต่อชาติ เป็นวงจรอุบาทว์

7. พระรัตนตรัย (บรมธรรม, นิพพาน,) เป็นด้านเอกภาพ ชาวพุทธทั้งมวลเป็นด้านความแตกต่างหลากหลาย และขึ้นตรงต่อองค์พระรัตนตรัย นับถือศาสนา ถือคำสอน และปฏิบัติเพื่อลด ละ เลิก อบายมุขทั้งปวง ลด ละ เลิก ความชั่วทั้งปวง แต่ชาวพุทธกำลังหลงผิดไปขึ้นต่อเครื่องรางของขลัง วัตถุมงคลอันจอมปลอม กลายเป็นนับถือเพื่อความโลภ ความโกรธ ความหลง เป็นใหญ่

ทั้งนี้เพราะองค์การศาสนาอยู่ใต้อำนาจรัฐของระบอบมิจฉาทิฐิหรือระบอบเผด็จการ การแผ่ธรรมานุภาพย่อมเป็นการยากเมื่อตกอยู่ในอุ้งมือมาร ดุจสอนปลาให้ดีที่อยู่ในน้ำเน่า จึงยากนัก

8. พระมหากษัตริย์เป็นองค์เอกภาพ ทรงแผ่ทศพิธราชธรรม, บารมี 10 เป็นรูปธรรมด้วยโครงการพระราชดำริกว่า 3,000 กว่าโครงการ พสกนิกรอันมีความแตกต่างหลากหลาย ยอมรับในพระเมตตาแห่งสถาบันพระมหากษัตริย์ ต่างก็จงรักภักดีต่อองค์พระมหากษัตริย์ ภาพดังกล่าวจึงมีลักษณะพระธรรมจักรเช่นเดียวกัน

9. ระบอบการเมืองไทยเป็นระบอบที่ตรงกันข้ามกับลักษณะพระธรรมจักร เพราะรัฐธรรมนูญไทยทุกฉบับ รวมทั้งฉบับปัจจุบัน ไม่มีด้านเอกภาพ มีแต่ด้านความแตกต่างหลากหลาย หรือมีเพียงวิธีการปกครองได้แก่หมวดและมาตราต่างๆ แม้จะเจตนาดี แต่กลายเป็นพาลงนรก ทั้งนี้เพราะไม่มีทั้งหลักการปกครอง และการจัดความสัมพันธ์ผิดไปจากคลองธรรม ผลก็คือทั้งประเทศชาติและประชาชนอ่อนแอ เราต้องให้เกียรติประชาชนทั้งแผ่นดิน ทุกคนเป็นเจ้าของประเทศเสมอกัน มีความสำนึกรับผิดชอบต่อประเทศอย่างเท่าเทียมกัน ไม่ดูหมิ่นเหยียดหยามด้วยเงื่อนไขอะไรๆ ก็ตาม ไม่ว่าศาสนา หรือวุฒิการศึกษา อาชีพ ฯลฯ จึงเป็นระบอบฯ ยิ่งอยู่ยาว ก็ยิ่งสร้างความหายนะให้ชาติและประชาชน

เราจึงต่อต้านระบอบมิจฉาทิฐิ มันเป็นเหตุแห่งความเลวร้ายทั้งปวงของชาติ ไม่ว่ารัฐบาลไหนๆ ก็ไปไม่รอด เพราะมัวแต่แก้ปัญหาปลายเหตุ สื่อมวลชนทั้งหลาย ศึกษาให้ดีเถิด อย่าได้เชื่อตามๆ กันมาอีกเลย อย่าพึงเชื่อตำรารัฐศาสตร์จากตะวันตกเพียงด้านเดียว

มาร่วมมือกันศึกษาธรรมะ วิปัสสนารู้แจ้งสภาวะ นำสู่การแก้เหตุวิกฤตชาติ ด้วยจิตใจที่ยิ่งใหญ่ ด้วยความเมตตาต่อเพื่อนร่วมชาติและเพื่อนมนุษยชาติ

และเมื่อไรที่สื่อมวลชนไทยส่วนใหญ่มีปัญญา มีฉันทามติว่าปัจจุบันไม่ใช่ระบอบประชาธิปไตย เมื่อนั้นการเปลี่ยนแปลงก็จะเกิดขึ้น สู่การสถาปนาหลักการปกครองธรรมาธิปไตยอันยิ่งใหญ่ คืออารยธรรมใหม่ประเทศไทยและของโลก เริ่มต้นที่ประเทศไทยเราก่อนประเทศใดๆ ในโลก
กำลังโหลดความคิดเห็น