การที่กลุ่มคนรักอุดร ได้ยกพวกเข้าทุบตีร่างกาย ทำลายทรัพย์สินของมวลชนกลุ่มพันธมิตรฯ อย่างโหดเหี้ยม ซึ่งไม่น่าเป็นไปได้ต่อหน้าต่อตาตำรวจ และกองกำลังต่างๆ ของรัฐบาล แน่นอนนั่นคือการวางแผน มีค่าใช้จ่าย อันเป็นคำสั่งของอำนาจเถื่อนที่อยู่เบื้องหลังไม่ใช่ใครที่ไหน เขารู้กันทั้งเมืองว่าเป็นคนของฝ่ายรัฐบาล ลักษณะอย่างนี้มันต้องช่วยกันประณามและหาตัวผู้อยู่เบื้องหลังมาลงโทษให้ได้ ซึ่งมีแนวโน้มว่าจะเกิดการปะทะกันในหลายๆ จังหวัดต่อไป และต่างก็จะมีการเตรียมการกระทำและการป้องกันด้วยอาวุธ เหตุที่เกิดขึ้นจากสภาพการณ์สัมพันธภาพทางการเมืองของไทยเราเป็นเผด็จการมาอย่างยาวนานนั่นเอง
ทั้งนี้ เพราะระบอบการเมืองมิจฉาทิฐิที่ได้ครอบงำมาอย่างยาวนาน สลับกันระหว่างเผด็จการสองรูปแบบ โดยมีรัฐธรรมนูญเป็นศูนย์กลางแห่งความขัดแย้ง นี่คือรากเหง้าเหตุแห่งปัญหาทั้งปวงของชาติ เพราะพวกผู้ปกครองไทยรุ่นแล้วรุ่นเล่าไร้ปัญญา ปัญญาอ่อน ล้วนมีแต่ประเภท “ฉลาดแกมโกงเพื่อพวกตน แต่มันอับจนเพื่อประโยชน์แห่งชาติ”
โดยคณะผู้ปกครองไทย รุ่นแล้วรุ่นเล่าเป็นผู้สร้างเหตุแห่งวิกฤตชาติทั้งปวง และยากที่จะแก้ไขให้ผ่านพ้นไปได้ อันเนื่องมาจากความหลงผิดเป็นมิจฉาทิฐิอย่างร้ายแรง 5 ประการ ได้แก่
1) หลงผิดว่ารัฐธรรมนูญคือระบอบประชาธิปไตย ความรู้ ความเข้าใจที่ถูกต้อง คือ “รัฐธรรมนูญ ไม่ใช่ระบอบประชาธิปไตย” สิ่งที่ถูกต้องคือ ก่อนอื่นต้องสถาปนาระบอบฯ หรือหลักการปกครองขึ้นมาก่อน จากนั้นจึงร่างรัฐธรรมนูญให้สอดคล้องกับหลักการปกครอง จึงจะเป็นภารกิจที่ถูกต้อง และเป็นการแก้ไขเหตุวิกฤตชาติให้ตกไปได้
2) หลงผิดในการจัดความสัมพันธ์ของรัฐธรรมนูญ จากการวิจัยพบว่า รัฐธรรมนูญไทยทั้ง 18 ฉบับ ไม่เคยมีหลักการปกครอง มีเฉพาะด้านวิธีการปกครอง ได้แก่ หมวด และมาตราต่างๆ เพียงด้านเดียว อุปมาดุจดัง ว่าวขาด, วัวไม่มีเจ้าของ, สุนัขจรจัด, ดาวเคราะห์ไม่มีดวงสุริยัน, ฯลฯ
3) ความหลงผิดของผู้ปกครองไทยมากถึง 18 คณะ คือยกร่างรัฐธรรมนูญ เพื่อจะสร้างระบอบประชาธิปไตย แนวทางนี้เป็นมิจฉาทิฐิ ความเป็นจริงรัฐธรรมนูญเป็นเพียงกฎหมายหลัก (Principle Law) หน้าที่ของกฎหมายคือรักษา คุ้มครอง และสะท้อนความเป็นระบอบฯ นั้นๆ การเอากฎหมายไปสร้างระบอบฯ ร้อยครั้ง พันฉบับ นอกจากจะไม่ได้ระบอบฯ ที่ถูกต้องแล้ว จะทำให้ล้มเหลวซ้ำซาก และเกิดวิกฤตชาติร้ายแรงเรื่อยไป อย่างไม่จักรู้จบสิ้น
4) เข้าใจผิดว่ารูปการปกครอง (Form of Government) เป็นระบอบประชาธิปไตย คือเข้าใจผิดว่าระบบรัฐสภา (Parliamentary System) เป็นประชาธิปไตย อันที่จริงรูปการปกครองมีไว้เพื่อจัดสัมพันธภาพขององค์กรแห่งอำนาจอธิปไตยระหว่างองค์รัฐาธิปัตย์หรือประมุขแห่งรัฐ กับฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหาร และฝ่ายตุลาการ ว่าจะถ่วงดุลอำนาจกันอย่างไร ซึ่งไม่เกี่ยวว่าจะเป็นระบอบฯ อะไรก็ได้
5) เข้าใจผิดว่าการเลือกตั้งเป็นระบอบประชาธิปไตย การเลือกตั้งเป็นวิธีการอย่างหนึ่งเพื่อเข้าสู่อำนาจทางการเมืองซึ่งเป็นของกลาง หมายความว่าระบอบฯ อะไรๆ ก็นำไปใช้ได้ และนักการเมืองไทย ส่วนใหญ่ซื้อเสียงมาทั้งนั้น โดยมีนายทาสใหญ่ลงทุนให้ โดยมี ส. ส. ทำตัวเป็นทาส จากนั้นก็เอาประชาชนมาเป็นทาสนักการเมืองอีกที ส.ส. ทุกวันนี้จึงไม่ใช่ผู้แทนของปวงชน แต่เป็นผู้แทนส่วนตัว กลายเป็นผู้แทนของพวกกู ของกลุ่มชนพวกกู เท่านั้นเอง
จากการที่ได้วิจัย รัฐธรรมนูญไทยทุกฉบับ ทั้งในอดีตและปัจจุบันล้วนผิดไปจากคลองธรรม คือ ไม่เคยมีหลักการปกครอง มีแต่เฉพาะวิธีการปกครอง ได้แก่ หมวด และมาตราต่างๆ หรืออาจจะพูดได้ว่า นำเอาวิธีการมาเป็นด้านหลักการ เอาด้านทุติภูมิมาเป็นด้านปฐมภูมิ ซึ่งเป็นการจัดสัมพันธภาพ ที่คลาดไปจากวิถีธรรมโดยสิ้นเชิง ดังที่แสดงนี้
ด้วยเหตุผลดังกล่าว ความมิจฉาทิฐิของนักวิชาการ นักการเมือง สื่อมวลชนต่างๆ พวกเขาไม่ตั้งใจศึกษาให้ได้รู้แจ้งจริง พวกเขาต่างเชื่อตามๆ กันมาอย่างมิจฉาทิฐิ ทั้งๆ ที่เห็นปัญหาอยู่ทนโท่ อย่างซ้ำซาก ประเทศไทยและประชาชนจึงตกอยู่ในความสับสนซ้ำซาก ล้มเหลวซ้ำรอยเดิม ผิดแล้วผิดอีก เป็นอนาธิปไตย จึงเป็นรัฐธรรมนูญมิจฉาทิฐิ เป็นเหตุแห่งความเลวร้ายทำลายความมั่นคงแห่งชาติ เป็นเหตุวิกฤตชาติ สับสนวุ่นวายไร้จุดมุ่งหมาย อย่างไม่รู้จักจบสิ้น และไม่นานก็จะมีรัฐประหารอีก
แนวคิดของกระบวนการลัทธิรัฐธรรมนูญ คือร่างรัฐธรรมนูญ เพื่อสร้างระบอบประชาธิปไตย นั้นเป็นมิจฉาทิฐิอย่างร้ายแรง ซึ้งก็พิสูจน์มาแล้วตลอด นี่ 18 ครั้งแล้ว มันเป็นแม่แบบแห่งมิจฉาทิฐิ เป็นเหตุแห่งความแตกแยกทุกส่วนที่สัมพันธ์เกี่ยวพันกันทั้งหมดภายในชาติ
ก็เมื่อผู้ปกครองไทยมิจฉาทิฐิ (โง่อย่างร้ายแรงที่สุด) ที่นำเอารัฐธรรมนูญมาเป็นศูนย์กลางของชาติ รัฐธรรมนูญจึงเป็นศูนย์กลางแห่งความขัดแย้ง ทั้งๆ ที่รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายหลัก (Principle Law) แต่พวกเขากลับยกกฎหมายรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุด (Supreme Law) นี่คือความเข้าใจที่เป็นมิจฉาทิฐิอย่างร้ายอีกประการหนึ่ง
เมื่อเหตุเป็นมิจฉาทิฐิ ผลที่ตามมาคือ พรรคการเมือง รัฐบาล (รัฐบาลไหนๆ ก็ล้มเหลว) การปกครองทุกระดับ เศรษฐกิจทุกระดับ สังคมทุกระดับ วัฒนธรรมทุกระดับ ล้วนแล้วขัดแย้งแตกแยกกันไปหมด มันลงรอยกันไม่ได้ เพราะเอากฎหมายมาเป็นศูนย์ของชาติ
คิดง่ายๆ สมมติว่าถ้าพระพุทธเจ้า เริ่มต้นประกาศศาสนาด้วยศีล 227 ข้อ ขอถามหน่อยเถอะว่า ศาสนาพุทธจะเกิดขึ้นมาไหม แต่ปรากฏว่าพระองค์ทรงประกาศสัจธรรมก่อนวินัย
ทำไมผู้ปกครองไทยกี่ชุดมาแล้วไม่เคยเจริญรอยตามพระเจ้าอยู่หัว คือการเจริญรอยตามพระปฐมบรมราชโองการ “เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์แห่งมหาชนชาวสยาม” นี่คือความถูกต้องโดยธรรมในส่วนของพระองค์
หลักและแนวทางแก้ไข
ในอดีตวิธีการสร้างประชาธิปไตยในประเทศเอกราชในเอเชียนั้น การสร้างระบอบประชาธิปไตยเป็นพระราชกรณียกิจอันยิ่งใหญ่ ตัวอย่าง คือ พระจักรพรรดิมัตสุฮิโต แห่งญี่ปุ่น ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจมอบอำนาจให้ประชาชนสำเร็จ การสร้างประชาธิปไตยในญี่ปุ่นจึงสำเร็จ จนกลายเป็นประเทศที่ร่ำรวยและพัฒนาแล้ว แต่ไทยเราคณะผู้ปกครองกลับหลงผิดว่าเป็นระบอบประชาธิปไตยแล้ว เฮ้อ...
ในท่ามกลางวิกฤตของประเทศชาติอันเลวร้าย ไม่เห็นทางว่าจะมีใครแก้ไขให้ผ่านพ้นไปได้ในสภาพการณ์เช่นนี้ เมื่อไม่มีสถาบันใด หรือสถาบันทางการเมืองอื่นซึ่งดำเนินไปตามระบอบการเมืองปัจจุบัน มิอาจจะใช้ความสามารถแก้เหตุวิกฤตชาติให้ผ่านพ้นไปได้ แม้ว่าจะมีผู้เจตนาที่ดีก็ตาม
ในอดีตประเทศที่พระมหากษัตริย์ทรงนำการแก้ปัญหาวิกฤตของชาติโดยการสถาปนาหลักการปกครองแบบประชาธิปไตยที่แท้จริง เป็นพระราชกรณียกิจอันยิ่งยวดขององค์พระมหากษัตริย์ โดยทรงมอบหลักการปกครองและอำนาจซึ่งเป็นของพระองค์อยู่เดิมให้แก่ประชาชน
ถ้าพระมหากษัตริย์ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจสำเร็จ การสร้างระบอบประชาธิปไตยก็สำเร็จ แต่ถ้าพระมหากษัตริย์ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจไม่สำเร็จไม่ว่าด้วยเหตุใดๆ ก็ตาม การสร้างประชาธิปไตยย่อมล้มเหลว ต่างก็เห็นชัดแล้วว่าล้มเหลวอย่างซ้ำซ้อน ซ้ำซาก นับแต่ 2475 เป็นต้นมา
ในสภาพการณ์ปัจจุบันการแก้ปัญหาเหตุวิกฤตของชาติและเป็นการแก้ปัญหาพื้นฐานของประเทศชาติ อันเป็นเหตุแห่งวิกฤตทั้งปวงให้ตกไปได้นั้น มีวิธีเดียว คือวิธีการที่องค์พระมหากษัตริย์ทรงสถาปนาหลักการปกครองโดยธรรม (Principle of Government) คือหลักธรรมาธิปไตย 9 โดยมีธรรมและรากฐานของชาติ (ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์) ยกขึ้นเป็นหลักการปกครอง เป็นระบอบการเมืองที่ก้าวหน้ากว่าระบอบอื่นใดในโลก และสอดคล้องกับวิถีชีวิตของชาวไทย สมดังคำกล่าวที่ว่า “ทศพิธราชธรรมของพระมหากษัตริย์ สู่การสร้างสรรค์หลักการปกครองธรรมาธิปไตย”
ทั้งจะเป็นปัจจัยให้บรรลุพระราชภารกิจพระมหากษัตริย์บรมราชจักรีวงศ์ รัชกาลที่ 5 รัชกาลที่ 6 และบรรลุพระราชปณิธานของ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ รัชกาลที่ 7 “..ข้าพเจ้าสมัครใจจะสละอำนาจอันเป็นของข้าพเจ้าอยู่เดิมให้แก่ราษฎรโดยทั่วไป...” และเพื่อบรรลุพระปฐมบรมราชโองการของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราช รัชกาลปัจจุบัน “เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม” เป็นจริงอย่างมีรูปธรรมในทางการเมืองไทยเสียที
สิ่งที่ปวงชนไทยจะต้องลุกขึ้นมาแสดงความจงรักภักดีต่อองค์พระมหากษัตริย์ คือภารกิจอันศักดิ์สิทธิ์ยิ่งขององค์พระมหากษัตริย์เท่านั้น อันใครๆ ก็ทำไม่ได้ และเมื่อมีหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 เป็นศูนย์กลางของปวงชนในชาติ คนไทยทุกคนรู้การเมืองเท่ากัน จำได้ง่าย และง่ายต่อการคิดค้นพัฒนาต่อๆ ไป สัมพันธภาพระหว่างบุคคล ก็จะได้รับการับรองอย่างเป็นไปเอง การเมืองไทยก็จะสว่าง เพราะต่างก็รู้เท่าทัน ไม่ถูกพรรคฯ นักการเมืองชั่วหลอกไปเป็นทาสรับใช้ทางการเมืองส่วนตน ในทางที่ผิดอีกต่อไป
ทั้งนี้ เพราะระบอบการเมืองมิจฉาทิฐิที่ได้ครอบงำมาอย่างยาวนาน สลับกันระหว่างเผด็จการสองรูปแบบ โดยมีรัฐธรรมนูญเป็นศูนย์กลางแห่งความขัดแย้ง นี่คือรากเหง้าเหตุแห่งปัญหาทั้งปวงของชาติ เพราะพวกผู้ปกครองไทยรุ่นแล้วรุ่นเล่าไร้ปัญญา ปัญญาอ่อน ล้วนมีแต่ประเภท “ฉลาดแกมโกงเพื่อพวกตน แต่มันอับจนเพื่อประโยชน์แห่งชาติ”
โดยคณะผู้ปกครองไทย รุ่นแล้วรุ่นเล่าเป็นผู้สร้างเหตุแห่งวิกฤตชาติทั้งปวง และยากที่จะแก้ไขให้ผ่านพ้นไปได้ อันเนื่องมาจากความหลงผิดเป็นมิจฉาทิฐิอย่างร้ายแรง 5 ประการ ได้แก่
1) หลงผิดว่ารัฐธรรมนูญคือระบอบประชาธิปไตย ความรู้ ความเข้าใจที่ถูกต้อง คือ “รัฐธรรมนูญ ไม่ใช่ระบอบประชาธิปไตย” สิ่งที่ถูกต้องคือ ก่อนอื่นต้องสถาปนาระบอบฯ หรือหลักการปกครองขึ้นมาก่อน จากนั้นจึงร่างรัฐธรรมนูญให้สอดคล้องกับหลักการปกครอง จึงจะเป็นภารกิจที่ถูกต้อง และเป็นการแก้ไขเหตุวิกฤตชาติให้ตกไปได้
2) หลงผิดในการจัดความสัมพันธ์ของรัฐธรรมนูญ จากการวิจัยพบว่า รัฐธรรมนูญไทยทั้ง 18 ฉบับ ไม่เคยมีหลักการปกครอง มีเฉพาะด้านวิธีการปกครอง ได้แก่ หมวด และมาตราต่างๆ เพียงด้านเดียว อุปมาดุจดัง ว่าวขาด, วัวไม่มีเจ้าของ, สุนัขจรจัด, ดาวเคราะห์ไม่มีดวงสุริยัน, ฯลฯ
3) ความหลงผิดของผู้ปกครองไทยมากถึง 18 คณะ คือยกร่างรัฐธรรมนูญ เพื่อจะสร้างระบอบประชาธิปไตย แนวทางนี้เป็นมิจฉาทิฐิ ความเป็นจริงรัฐธรรมนูญเป็นเพียงกฎหมายหลัก (Principle Law) หน้าที่ของกฎหมายคือรักษา คุ้มครอง และสะท้อนความเป็นระบอบฯ นั้นๆ การเอากฎหมายไปสร้างระบอบฯ ร้อยครั้ง พันฉบับ นอกจากจะไม่ได้ระบอบฯ ที่ถูกต้องแล้ว จะทำให้ล้มเหลวซ้ำซาก และเกิดวิกฤตชาติร้ายแรงเรื่อยไป อย่างไม่จักรู้จบสิ้น
4) เข้าใจผิดว่ารูปการปกครอง (Form of Government) เป็นระบอบประชาธิปไตย คือเข้าใจผิดว่าระบบรัฐสภา (Parliamentary System) เป็นประชาธิปไตย อันที่จริงรูปการปกครองมีไว้เพื่อจัดสัมพันธภาพขององค์กรแห่งอำนาจอธิปไตยระหว่างองค์รัฐาธิปัตย์หรือประมุขแห่งรัฐ กับฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหาร และฝ่ายตุลาการ ว่าจะถ่วงดุลอำนาจกันอย่างไร ซึ่งไม่เกี่ยวว่าจะเป็นระบอบฯ อะไรก็ได้
5) เข้าใจผิดว่าการเลือกตั้งเป็นระบอบประชาธิปไตย การเลือกตั้งเป็นวิธีการอย่างหนึ่งเพื่อเข้าสู่อำนาจทางการเมืองซึ่งเป็นของกลาง หมายความว่าระบอบฯ อะไรๆ ก็นำไปใช้ได้ และนักการเมืองไทย ส่วนใหญ่ซื้อเสียงมาทั้งนั้น โดยมีนายทาสใหญ่ลงทุนให้ โดยมี ส. ส. ทำตัวเป็นทาส จากนั้นก็เอาประชาชนมาเป็นทาสนักการเมืองอีกที ส.ส. ทุกวันนี้จึงไม่ใช่ผู้แทนของปวงชน แต่เป็นผู้แทนส่วนตัว กลายเป็นผู้แทนของพวกกู ของกลุ่มชนพวกกู เท่านั้นเอง
จากการที่ได้วิจัย รัฐธรรมนูญไทยทุกฉบับ ทั้งในอดีตและปัจจุบันล้วนผิดไปจากคลองธรรม คือ ไม่เคยมีหลักการปกครอง มีแต่เฉพาะวิธีการปกครอง ได้แก่ หมวด และมาตราต่างๆ หรืออาจจะพูดได้ว่า นำเอาวิธีการมาเป็นด้านหลักการ เอาด้านทุติภูมิมาเป็นด้านปฐมภูมิ ซึ่งเป็นการจัดสัมพันธภาพ ที่คลาดไปจากวิถีธรรมโดยสิ้นเชิง ดังที่แสดงนี้
ด้วยเหตุผลดังกล่าว ความมิจฉาทิฐิของนักวิชาการ นักการเมือง สื่อมวลชนต่างๆ พวกเขาไม่ตั้งใจศึกษาให้ได้รู้แจ้งจริง พวกเขาต่างเชื่อตามๆ กันมาอย่างมิจฉาทิฐิ ทั้งๆ ที่เห็นปัญหาอยู่ทนโท่ อย่างซ้ำซาก ประเทศไทยและประชาชนจึงตกอยู่ในความสับสนซ้ำซาก ล้มเหลวซ้ำรอยเดิม ผิดแล้วผิดอีก เป็นอนาธิปไตย จึงเป็นรัฐธรรมนูญมิจฉาทิฐิ เป็นเหตุแห่งความเลวร้ายทำลายความมั่นคงแห่งชาติ เป็นเหตุวิกฤตชาติ สับสนวุ่นวายไร้จุดมุ่งหมาย อย่างไม่รู้จักจบสิ้น และไม่นานก็จะมีรัฐประหารอีก
แนวคิดของกระบวนการลัทธิรัฐธรรมนูญ คือร่างรัฐธรรมนูญ เพื่อสร้างระบอบประชาธิปไตย นั้นเป็นมิจฉาทิฐิอย่างร้ายแรง ซึ้งก็พิสูจน์มาแล้วตลอด นี่ 18 ครั้งแล้ว มันเป็นแม่แบบแห่งมิจฉาทิฐิ เป็นเหตุแห่งความแตกแยกทุกส่วนที่สัมพันธ์เกี่ยวพันกันทั้งหมดภายในชาติ
ก็เมื่อผู้ปกครองไทยมิจฉาทิฐิ (โง่อย่างร้ายแรงที่สุด) ที่นำเอารัฐธรรมนูญมาเป็นศูนย์กลางของชาติ รัฐธรรมนูญจึงเป็นศูนย์กลางแห่งความขัดแย้ง ทั้งๆ ที่รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายหลัก (Principle Law) แต่พวกเขากลับยกกฎหมายรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุด (Supreme Law) นี่คือความเข้าใจที่เป็นมิจฉาทิฐิอย่างร้ายอีกประการหนึ่ง
เมื่อเหตุเป็นมิจฉาทิฐิ ผลที่ตามมาคือ พรรคการเมือง รัฐบาล (รัฐบาลไหนๆ ก็ล้มเหลว) การปกครองทุกระดับ เศรษฐกิจทุกระดับ สังคมทุกระดับ วัฒนธรรมทุกระดับ ล้วนแล้วขัดแย้งแตกแยกกันไปหมด มันลงรอยกันไม่ได้ เพราะเอากฎหมายมาเป็นศูนย์ของชาติ
คิดง่ายๆ สมมติว่าถ้าพระพุทธเจ้า เริ่มต้นประกาศศาสนาด้วยศีล 227 ข้อ ขอถามหน่อยเถอะว่า ศาสนาพุทธจะเกิดขึ้นมาไหม แต่ปรากฏว่าพระองค์ทรงประกาศสัจธรรมก่อนวินัย
ทำไมผู้ปกครองไทยกี่ชุดมาแล้วไม่เคยเจริญรอยตามพระเจ้าอยู่หัว คือการเจริญรอยตามพระปฐมบรมราชโองการ “เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์แห่งมหาชนชาวสยาม” นี่คือความถูกต้องโดยธรรมในส่วนของพระองค์
หลักและแนวทางแก้ไข
ในอดีตวิธีการสร้างประชาธิปไตยในประเทศเอกราชในเอเชียนั้น การสร้างระบอบประชาธิปไตยเป็นพระราชกรณียกิจอันยิ่งใหญ่ ตัวอย่าง คือ พระจักรพรรดิมัตสุฮิโต แห่งญี่ปุ่น ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจมอบอำนาจให้ประชาชนสำเร็จ การสร้างประชาธิปไตยในญี่ปุ่นจึงสำเร็จ จนกลายเป็นประเทศที่ร่ำรวยและพัฒนาแล้ว แต่ไทยเราคณะผู้ปกครองกลับหลงผิดว่าเป็นระบอบประชาธิปไตยแล้ว เฮ้อ...
ในท่ามกลางวิกฤตของประเทศชาติอันเลวร้าย ไม่เห็นทางว่าจะมีใครแก้ไขให้ผ่านพ้นไปได้ในสภาพการณ์เช่นนี้ เมื่อไม่มีสถาบันใด หรือสถาบันทางการเมืองอื่นซึ่งดำเนินไปตามระบอบการเมืองปัจจุบัน มิอาจจะใช้ความสามารถแก้เหตุวิกฤตชาติให้ผ่านพ้นไปได้ แม้ว่าจะมีผู้เจตนาที่ดีก็ตาม
ในอดีตประเทศที่พระมหากษัตริย์ทรงนำการแก้ปัญหาวิกฤตของชาติโดยการสถาปนาหลักการปกครองแบบประชาธิปไตยที่แท้จริง เป็นพระราชกรณียกิจอันยิ่งยวดขององค์พระมหากษัตริย์ โดยทรงมอบหลักการปกครองและอำนาจซึ่งเป็นของพระองค์อยู่เดิมให้แก่ประชาชน
ถ้าพระมหากษัตริย์ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจสำเร็จ การสร้างระบอบประชาธิปไตยก็สำเร็จ แต่ถ้าพระมหากษัตริย์ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจไม่สำเร็จไม่ว่าด้วยเหตุใดๆ ก็ตาม การสร้างประชาธิปไตยย่อมล้มเหลว ต่างก็เห็นชัดแล้วว่าล้มเหลวอย่างซ้ำซ้อน ซ้ำซาก นับแต่ 2475 เป็นต้นมา
ในสภาพการณ์ปัจจุบันการแก้ปัญหาเหตุวิกฤตของชาติและเป็นการแก้ปัญหาพื้นฐานของประเทศชาติ อันเป็นเหตุแห่งวิกฤตทั้งปวงให้ตกไปได้นั้น มีวิธีเดียว คือวิธีการที่องค์พระมหากษัตริย์ทรงสถาปนาหลักการปกครองโดยธรรม (Principle of Government) คือหลักธรรมาธิปไตย 9 โดยมีธรรมและรากฐานของชาติ (ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์) ยกขึ้นเป็นหลักการปกครอง เป็นระบอบการเมืองที่ก้าวหน้ากว่าระบอบอื่นใดในโลก และสอดคล้องกับวิถีชีวิตของชาวไทย สมดังคำกล่าวที่ว่า “ทศพิธราชธรรมของพระมหากษัตริย์ สู่การสร้างสรรค์หลักการปกครองธรรมาธิปไตย”
ทั้งจะเป็นปัจจัยให้บรรลุพระราชภารกิจพระมหากษัตริย์บรมราชจักรีวงศ์ รัชกาลที่ 5 รัชกาลที่ 6 และบรรลุพระราชปณิธานของ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ รัชกาลที่ 7 “..ข้าพเจ้าสมัครใจจะสละอำนาจอันเป็นของข้าพเจ้าอยู่เดิมให้แก่ราษฎรโดยทั่วไป...” และเพื่อบรรลุพระปฐมบรมราชโองการของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราช รัชกาลปัจจุบัน “เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม” เป็นจริงอย่างมีรูปธรรมในทางการเมืองไทยเสียที
สิ่งที่ปวงชนไทยจะต้องลุกขึ้นมาแสดงความจงรักภักดีต่อองค์พระมหากษัตริย์ คือภารกิจอันศักดิ์สิทธิ์ยิ่งขององค์พระมหากษัตริย์เท่านั้น อันใครๆ ก็ทำไม่ได้ และเมื่อมีหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 เป็นศูนย์กลางของปวงชนในชาติ คนไทยทุกคนรู้การเมืองเท่ากัน จำได้ง่าย และง่ายต่อการคิดค้นพัฒนาต่อๆ ไป สัมพันธภาพระหว่างบุคคล ก็จะได้รับการับรองอย่างเป็นไปเอง การเมืองไทยก็จะสว่าง เพราะต่างก็รู้เท่าทัน ไม่ถูกพรรคฯ นักการเมืองชั่วหลอกไปเป็นทาสรับใช้ทางการเมืองส่วนตน ในทางที่ผิดอีกต่อไป