เหตุการณ์เฉพาะหน้าเท่านั้นที่ประชาชนจะต้องร่วมมือกันคัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญ แม้ว่ารัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันซึ่งได้จัดความสัมพันธ์เป็นมิจฉาทิฐิก็ตาม เพราะรัฐบาลสมัครและพรรคพลังประชาชน ต้องการแก้รัฐธรรมนูญเพื่อประโยชน์บุคคล และหลอกชาวพุทธอย่างหน้าด้านๆ ว่าจะบัญญัติพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ เรารู้ทัน เราขอเตือน ขอบอกความจริงว่า “อย่าบัญญัติพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติลงในรัฐธรรมนูญมิจฉาทิฐิอย่างเด็ดขาด”
แล้วก็เป็นจริงตามที่ได้คาดการณ์ไว้ในช่วงยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับปี 50 เพราะการยกร่างที่เป็นมิจฉาทิฐิ เช่น เดียวกับรัฐธรรมนูญฉบับแรก พ. ศ. 2475 เป็นต้นมา จนถึงปัจจุบันมีรัฐธรรมนูญมากถึง 18 ฉบับ ล้วนเป็นมิจฉาทิฐิทั้งสิ้น มันครอบงำมายาวนานเกินไปแล้ว แสดงให้เห็นถึงความไม่มีปัญญาของผู้ปกครองทุกระดับ เราขอเอาชีวิตเป็นเดิมพันเพื่อแสดงความจริงนี้
เพราะรัฐธรรมนูญเป็นมิจฉาทิฐินี่เอง จึงเกิดความขัดแย้งเกิดขึ้นภายในชาติเสมอมาระหว่างผู้ปกครองฝ่ายพลเรือน กับผู้ปกครองฝ่ายทหาร (ก็มีนายทุนอีกกลุ่มหนึ่งหนุนหลังอยู่) แต่นัยที่แท้จริงเป็นความขัดแย้งกันของคนกลุ่มทุน 2 ฝ่าย ไม่ใช่ความขัดแย้งระหว่างผู้ปกครองกับประชาชน แต่ประชาชนถูกชักชวนถูกดึงให้เข้าไปเป็นแนวร่วม (United front) ใครได้เป็นรัฐบาลก็ไม่มีความสามารถบริหารประเทศชาติได้ มีแต่จะเข้ามาปล้นชาติโดยถูกต้องเท่านั้น ทุกรัฐบาลไป
มีเหตุการณ์ที่ไทยเราตกอยู่ในสภาพเสี่ยงภัยและเสียเวลา ตามที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ รัฐกาลที่ 7 ทรงวินิจฉัยคัดค้านและกล่าวเตือนชนิดเอาพระราชบัลลังก์เป็นเดิมพัน เมื่อ พ.ศ. 2477 คือ 73 ปีมาแล้ว ผู้เขียนมีความซาบซึ้งในพระอัจฉริยภาพของพระองค์ยิ่งนัก ที่ทรงเห็นกาลไกล พอประมวลโดยย่อดังนี้
1. 24 มิถุนายน 2475 คณะราษฎร ยึดอำนาจเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นระบอบปริมิตยาสิทธิราชย์ พระมหากษัตริย์อยู่ใต้รัฐธรรมนูญ
2. พระมหากษัตริย์ ทรงคัดค้านอย่างถึงที่สุดด้วยการสละพระราชบัลลังก์
3. รัฐประหาร 13 ครั้ง จาก 2475 - 2549
4. กบฏ เนื่องจากทำรัฐประหารไม่สำเร็จ 14 ครั้ง จาก 2475 – 2549
5. เกิดสงครามก่อการร้ายของคอมมิวนิสต์ พ. ศ. 2508 – 2512
6. เกิดสงครามกลางเมืองโดยพรรคคอมมิวนิสต์ พ. ศ. 2512 – 2525 ยุติลงได้ด้วยนโยบายที่ 66/2523
7. เกิดการจลาจลทางการเมืองใหญ่ 3 ครั้ง ได้แก่
- เหตุการณ์จลาจล 14 ตุลาคม 2516 เรียกร้องรัฐธรรมูญ โดยเข้าใจว่ารัฐธรรมนูญคือระบอบประชาธิปไตย ก็ได้แต่รัฐธรรมนูญเผด็จการ แต่ไม่ได้ระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริง
- เหตุการณ์จลาจล 6 ตุลาคม 2519
- และเหตุการณ์จลาจล 19 - 20 พฤษภาคม 2535 เรียกร้องประชาธิปไตย ขับไล่เผด็จการรัฐประหาร แต่ผลที่ได้เป็นรัฐธรรมนูญ เช่นเดิม
8. วิกฤตการณ์เศรษฐกิจตกต่ำอย่างรุนแรง พ. ศ. 2540 - 2545 ทั้งนี้ก็เป็นผลจากระบอบเผด็จการโดยรัฐธรรมนูญ ที่สั่งสมกันมาหลายปี
9. ปัญหาคอร์รัปชันอย่างกว้างขวางเกือบทุกรัฐบาล จนถึงรัฐบาลทักษิณ ที่มีการคอร์รัปชันอย่างกว้างที่สุด นี้ก็เป็นผลจากระบอบเผด็จการโดยรัฐธรรมนูญ ฉบับปี 2540 ฉบับกึ่งประธานาธิบดี
10. ปัญหาการครอบงำทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม จากประเทศมหาอำนาจ
11. ปัญหาความยากจนของประชาชน และหนี้สาธารณะ เฉลี่ยคนละร่วม 100,000 บาท
12. ปัญหาเรื้อรังโจรมุสลิมแบ่งแยกดินแดน 3 จังหวัดภาคใต้
13. ปัญหาอบายมุข ความเสื่อมทรามทางสังคมเลวร้ายมากที่สุด ฯลฯ
14. รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 นี้ก็เป็นผลจากระบอบเผด็จการโดยรัฐธรรมนูญ ฉบับปี 2540 โดยล้มรัฐบาลทักษิณ และล้มรัฐธรรมนูญฉบับกึ่งประธานาธิบดี
และเกิดการชุมนุมต่อต้านจากฝ่ายทักษิณ (นปก.) ผู้ปกครองชุดใหม่ (คมช.) ก็ยังคิดร่างรัฐธรรมนูญเพื่อให้เป็นประชาธิปไตยอยู่เช่นเดิม และก็จะได้รัฐธรรมนูญซ้ำซากเช่นเดิม เห็นชัดแล้วว่านับแต่ พ.ศ. 2475 จนถึงปัจจุบัน ไทยเรายังพายเรืออยู่อ่างน้ำเช่นเดิม มิจฉาทิฐิซ้ำซากเสี่ยงภัยและเสียเวลา โดยที่พวกเขาไม่เคย ไม่ได้ฉุกคิดกันเลยแม้แต่น้อย
พวกเราประชาชนยังไม่เข็ดกันอีกหรือ คณะผู้ปกครองชุดแล้วชุดเล่าได้สืบทอดแนวทางมิจฉาทิฐิ คือร่างรัฐธรรมนูญทุกฉบับในอดีต คือ เห็นผิด คิดผิด พูดผิด ทำผิด ความเพียรผิด ระลึกผิด ตั้งใจมั่นผิด พวกเขาเป็นคณะผู้สร้างเหตุแห่งวิกฤตชาติ และยากที่จะแก้ไขให้ผ่านพ้นไปได้ อันเกิดจากมิจฉาทิฐิอันใหญ่หลวง 5 ประการ คือ
(1) เข้าใจผิดในการจัดความสัมพันธ์ของรัฐธรรมนูญ จากการศึกษาวิจัยพบว่า รัฐธรรมนูญของประเทศไทยทั้ง 18 ฉบับ โดยเฉพาะฉบับล่าสุด (พ.ศ.50) นี้ ก็ไม่มีด้านหลักการปกครองเช่นเดิม มีแต่เฉพาะด้านวิธีการปกครอง ได้แก่ หมวด และมาตราต่างๆ เพียงด้านเดียว อุปมาดุจดัง ว่าวขาด, วัวไม่มีเจ้าของ, สุนัขจรจัด, ดาวเคราะห์ไม่มีดวงสุริยัน ฯลฯ
(2) ความเข้าใจผิดของผู้ปกครองไทยมากถึง 18 คณะ คือยกร่างรัฐธรรมนูญ เพื่อจะสร้างระบอบประชาธิปไตย นี่คือแนวทางมิจฉาทิฐิ ความเป็นจริงรัฐธรรมนูญเป็นเพียงกฎหมายหลัก (Principle of Law) หน้าที่ของกฎหมายคือรักษา คุ้มครอง และสะท้อนความเป็นระบอบฯ นั้นๆ การเอากฎหมายไปสร้างระบอบฯ ร้อยครั้ง พันฉบับ นอกจากจะไม่ได้ระบอบฯ ที่ถูกต้องแล้ว จะทำให้ล้มเหลวซ้ำซาก และเกิดวิกฤตชาติร้ายแรงต่อชาติและประชาชนเรื่อยไป อย่างไม่รู้จักจบจักสิ้น
(3) เข้าใจผิดว่ารูปการปกครอง (Form of Government) เป็นระบอบประชาธิปไตย คือเข้าใจผิดว่าระบบรัฐสภา (Parliamentary System) เป็นระบอบประชาธิปไตย อันที่จริงรูปการปกครองมีไว้เพื่อจัดความสัมพันธ์องค์กรแห่งอำนาจอธิปไตยระหว่างฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหาร และฝ่ายตุลาการ ว่าจะถ่วงดุลอำนาจกันอย่างไร ซึ่งไม่เกี่ยวว่าจะเป็นระบอบฯ อะไรก็ได้
(4) เข้าใจผิดว่าการเลือกตั้ง เป็นระบอบประชาธิปไตย การเลือกตั้งเป็นวิธีการอย่างหนึ่งเพื่อขึ้นสู่อำนาจทางการเมือง ซึ่งเป็นของกลาง หมายความว่าระบอบฯ อะไรๆ ก็นำไปใช้ได้
(5) เข้าใจผิดว่ารัฐธรรมนูญคือระบอบประชาธิปไตย ความเข้าใจที่ถูกต้อง คือ “รัฐธรรมนูญ ไม่ใช่ระบอบประชาธิปไตย” จะเป็นระบอบอะไร รัฐธรรมนูญก็จะสะท้อนระบอบนั้นๆ
การทำให้ถูกต้องคือ ก่อนอื่นจะต้องสร้าง หรือสถาปนาระบอบหรือหลักการปกครองขึ้นมาก่อน จากนั่นจึงร่างรัฐธรรมนูญให้สอดคล้องกับหลักการปกครอง หรือรัฐธรรมนูญสะท้อนระบอบ และรักษาระบอบฯ นั้นๆ ไว้ นี่คือแนวทางและภารกิจที่ถูกต้อง และเป็นการแก้ไขเหตุวิกฤตชาติให้ตกไปได้
ปัจจุบันรัฐธรรมนูญปี 50 ก็มีแต่เพียงด้านวิธีการ แต่ขาดด้านหลักการปกครอง อุปมา คือมีแต่หนทาง (วิธีการปฏิบัติ) แต่ไม่มีจุดมุ่งหมาย สภาพเป็นเช่นนี้แล้วจะนำพาประเทศชาติไปทางไหน จึงตกเหวทุกครั้งไป จำไว้ๆ เถอะว่า
ไม่มีดวงอาทิตย์ แล้วดาวเคราะห์จะตั้งอยู่ได้อย่างไร พระศาสนาถ้ามีแต่วินัย ก็ตั้งอยู่ไม่ได้
วัว ถ้าไม่มีหลักผูก ก็คงเร่ร่อนไปอย่างไม่มีจุดหมาย
ระบอบการเมืองใดไม่มีหลักการปกครองโดยธรรม ก็จะนำชาตินั้นและประชาชน ไปสู่ความพินาศ อย่างไม่รู้จักจบสิ้น
ระบอบการเมืองที่ไม่มีหลักการโดยธรรม มันจึงเป็นระบอบเผด็จการนั่นเอง พวกเขากำลังสร้างความสับสนโกลาหลขนานใหญ่เป็นวงจรโคตรอุบาทว์ต่อไป จะเป็นเหตุให้ประเทศชาติวิบัติหายนะหนักยิ่งขึ้น เคยบอกหลายครั้งแล้วว่าไม่นานเกินรอ ณ วันนี้ก็ได้เห็นชัดแล้ว
อีกนัยหนึ่ง รัฐธรรมนูญฉบับ ปี 50 นี้ เมื่อนำมาใช้เมื่อใด ก็จะเป็นเหตุให้นายกรัฐมนตรีอยู่เหนือสถาบันพระศาสนา และพระมหากษัตริย์ อย่างเป็นไปเอง ในความถูกต้องโดยธรรมและเพื่อความมั่นคงของชาติสูงสุด สถาบันหลักของชาติ หรือองค์ประกอบแห่งรัฐ (ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์) จะต้องเป็นด้านหลักการปกครอง แต่ได้กลับพลิกผันไปเป็นด้านวิธีการปกครอง นี่คืออันตรายอย่างยิ่งต่อความมั่นคงของชาติ และจะเป็นเหตุปัจจัยให้เกิดสงครามกลางเมืองขึ้นได้ แต่ที่พวกเขายังโค่นลงไม่ได้ ทั้งนี้เพราะสถาบันพระมหากษัตริย์ ถือธรรมเป็นใหญ่ ด้วยพระบารมีแห่งธรรมจึงไม่สามารถโค่นลงได้ง่าย
แต่มองไปในอนาคตแล้ว ผู้มั่นคงในชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ทั้งหลายอย่าได้ประมาท และการที่ผู้ปกครองทำผิด มันก็ทำร้ายประเทศชาติและปวงชนอย่างมหาศาลมาร่วม 75 ปีแล้ว ในทางกลับกัน ถ้าทำถูกต้องเป็นธรรม ก็จะเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติและปวงชนไทยมหาศาล ขอให้ผู้รักชาติพิจารณาด้วยเถิด
(p_ariya_@hotmail.com)
แล้วก็เป็นจริงตามที่ได้คาดการณ์ไว้ในช่วงยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับปี 50 เพราะการยกร่างที่เป็นมิจฉาทิฐิ เช่น เดียวกับรัฐธรรมนูญฉบับแรก พ. ศ. 2475 เป็นต้นมา จนถึงปัจจุบันมีรัฐธรรมนูญมากถึง 18 ฉบับ ล้วนเป็นมิจฉาทิฐิทั้งสิ้น มันครอบงำมายาวนานเกินไปแล้ว แสดงให้เห็นถึงความไม่มีปัญญาของผู้ปกครองทุกระดับ เราขอเอาชีวิตเป็นเดิมพันเพื่อแสดงความจริงนี้
เพราะรัฐธรรมนูญเป็นมิจฉาทิฐินี่เอง จึงเกิดความขัดแย้งเกิดขึ้นภายในชาติเสมอมาระหว่างผู้ปกครองฝ่ายพลเรือน กับผู้ปกครองฝ่ายทหาร (ก็มีนายทุนอีกกลุ่มหนึ่งหนุนหลังอยู่) แต่นัยที่แท้จริงเป็นความขัดแย้งกันของคนกลุ่มทุน 2 ฝ่าย ไม่ใช่ความขัดแย้งระหว่างผู้ปกครองกับประชาชน แต่ประชาชนถูกชักชวนถูกดึงให้เข้าไปเป็นแนวร่วม (United front) ใครได้เป็นรัฐบาลก็ไม่มีความสามารถบริหารประเทศชาติได้ มีแต่จะเข้ามาปล้นชาติโดยถูกต้องเท่านั้น ทุกรัฐบาลไป
มีเหตุการณ์ที่ไทยเราตกอยู่ในสภาพเสี่ยงภัยและเสียเวลา ตามที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ รัฐกาลที่ 7 ทรงวินิจฉัยคัดค้านและกล่าวเตือนชนิดเอาพระราชบัลลังก์เป็นเดิมพัน เมื่อ พ.ศ. 2477 คือ 73 ปีมาแล้ว ผู้เขียนมีความซาบซึ้งในพระอัจฉริยภาพของพระองค์ยิ่งนัก ที่ทรงเห็นกาลไกล พอประมวลโดยย่อดังนี้
1. 24 มิถุนายน 2475 คณะราษฎร ยึดอำนาจเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นระบอบปริมิตยาสิทธิราชย์ พระมหากษัตริย์อยู่ใต้รัฐธรรมนูญ
2. พระมหากษัตริย์ ทรงคัดค้านอย่างถึงที่สุดด้วยการสละพระราชบัลลังก์
3. รัฐประหาร 13 ครั้ง จาก 2475 - 2549
4. กบฏ เนื่องจากทำรัฐประหารไม่สำเร็จ 14 ครั้ง จาก 2475 – 2549
5. เกิดสงครามก่อการร้ายของคอมมิวนิสต์ พ. ศ. 2508 – 2512
6. เกิดสงครามกลางเมืองโดยพรรคคอมมิวนิสต์ พ. ศ. 2512 – 2525 ยุติลงได้ด้วยนโยบายที่ 66/2523
7. เกิดการจลาจลทางการเมืองใหญ่ 3 ครั้ง ได้แก่
- เหตุการณ์จลาจล 14 ตุลาคม 2516 เรียกร้องรัฐธรรมูญ โดยเข้าใจว่ารัฐธรรมนูญคือระบอบประชาธิปไตย ก็ได้แต่รัฐธรรมนูญเผด็จการ แต่ไม่ได้ระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริง
- เหตุการณ์จลาจล 6 ตุลาคม 2519
- และเหตุการณ์จลาจล 19 - 20 พฤษภาคม 2535 เรียกร้องประชาธิปไตย ขับไล่เผด็จการรัฐประหาร แต่ผลที่ได้เป็นรัฐธรรมนูญ เช่นเดิม
8. วิกฤตการณ์เศรษฐกิจตกต่ำอย่างรุนแรง พ. ศ. 2540 - 2545 ทั้งนี้ก็เป็นผลจากระบอบเผด็จการโดยรัฐธรรมนูญ ที่สั่งสมกันมาหลายปี
9. ปัญหาคอร์รัปชันอย่างกว้างขวางเกือบทุกรัฐบาล จนถึงรัฐบาลทักษิณ ที่มีการคอร์รัปชันอย่างกว้างที่สุด นี้ก็เป็นผลจากระบอบเผด็จการโดยรัฐธรรมนูญ ฉบับปี 2540 ฉบับกึ่งประธานาธิบดี
10. ปัญหาการครอบงำทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม จากประเทศมหาอำนาจ
11. ปัญหาความยากจนของประชาชน และหนี้สาธารณะ เฉลี่ยคนละร่วม 100,000 บาท
12. ปัญหาเรื้อรังโจรมุสลิมแบ่งแยกดินแดน 3 จังหวัดภาคใต้
13. ปัญหาอบายมุข ความเสื่อมทรามทางสังคมเลวร้ายมากที่สุด ฯลฯ
14. รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 นี้ก็เป็นผลจากระบอบเผด็จการโดยรัฐธรรมนูญ ฉบับปี 2540 โดยล้มรัฐบาลทักษิณ และล้มรัฐธรรมนูญฉบับกึ่งประธานาธิบดี
และเกิดการชุมนุมต่อต้านจากฝ่ายทักษิณ (นปก.) ผู้ปกครองชุดใหม่ (คมช.) ก็ยังคิดร่างรัฐธรรมนูญเพื่อให้เป็นประชาธิปไตยอยู่เช่นเดิม และก็จะได้รัฐธรรมนูญซ้ำซากเช่นเดิม เห็นชัดแล้วว่านับแต่ พ.ศ. 2475 จนถึงปัจจุบัน ไทยเรายังพายเรืออยู่อ่างน้ำเช่นเดิม มิจฉาทิฐิซ้ำซากเสี่ยงภัยและเสียเวลา โดยที่พวกเขาไม่เคย ไม่ได้ฉุกคิดกันเลยแม้แต่น้อย
พวกเราประชาชนยังไม่เข็ดกันอีกหรือ คณะผู้ปกครองชุดแล้วชุดเล่าได้สืบทอดแนวทางมิจฉาทิฐิ คือร่างรัฐธรรมนูญทุกฉบับในอดีต คือ เห็นผิด คิดผิด พูดผิด ทำผิด ความเพียรผิด ระลึกผิด ตั้งใจมั่นผิด พวกเขาเป็นคณะผู้สร้างเหตุแห่งวิกฤตชาติ และยากที่จะแก้ไขให้ผ่านพ้นไปได้ อันเกิดจากมิจฉาทิฐิอันใหญ่หลวง 5 ประการ คือ
(1) เข้าใจผิดในการจัดความสัมพันธ์ของรัฐธรรมนูญ จากการศึกษาวิจัยพบว่า รัฐธรรมนูญของประเทศไทยทั้ง 18 ฉบับ โดยเฉพาะฉบับล่าสุด (พ.ศ.50) นี้ ก็ไม่มีด้านหลักการปกครองเช่นเดิม มีแต่เฉพาะด้านวิธีการปกครอง ได้แก่ หมวด และมาตราต่างๆ เพียงด้านเดียว อุปมาดุจดัง ว่าวขาด, วัวไม่มีเจ้าของ, สุนัขจรจัด, ดาวเคราะห์ไม่มีดวงสุริยัน ฯลฯ
(2) ความเข้าใจผิดของผู้ปกครองไทยมากถึง 18 คณะ คือยกร่างรัฐธรรมนูญ เพื่อจะสร้างระบอบประชาธิปไตย นี่คือแนวทางมิจฉาทิฐิ ความเป็นจริงรัฐธรรมนูญเป็นเพียงกฎหมายหลัก (Principle of Law) หน้าที่ของกฎหมายคือรักษา คุ้มครอง และสะท้อนความเป็นระบอบฯ นั้นๆ การเอากฎหมายไปสร้างระบอบฯ ร้อยครั้ง พันฉบับ นอกจากจะไม่ได้ระบอบฯ ที่ถูกต้องแล้ว จะทำให้ล้มเหลวซ้ำซาก และเกิดวิกฤตชาติร้ายแรงต่อชาติและประชาชนเรื่อยไป อย่างไม่รู้จักจบจักสิ้น
(3) เข้าใจผิดว่ารูปการปกครอง (Form of Government) เป็นระบอบประชาธิปไตย คือเข้าใจผิดว่าระบบรัฐสภา (Parliamentary System) เป็นระบอบประชาธิปไตย อันที่จริงรูปการปกครองมีไว้เพื่อจัดความสัมพันธ์องค์กรแห่งอำนาจอธิปไตยระหว่างฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหาร และฝ่ายตุลาการ ว่าจะถ่วงดุลอำนาจกันอย่างไร ซึ่งไม่เกี่ยวว่าจะเป็นระบอบฯ อะไรก็ได้
(4) เข้าใจผิดว่าการเลือกตั้ง เป็นระบอบประชาธิปไตย การเลือกตั้งเป็นวิธีการอย่างหนึ่งเพื่อขึ้นสู่อำนาจทางการเมือง ซึ่งเป็นของกลาง หมายความว่าระบอบฯ อะไรๆ ก็นำไปใช้ได้
(5) เข้าใจผิดว่ารัฐธรรมนูญคือระบอบประชาธิปไตย ความเข้าใจที่ถูกต้อง คือ “รัฐธรรมนูญ ไม่ใช่ระบอบประชาธิปไตย” จะเป็นระบอบอะไร รัฐธรรมนูญก็จะสะท้อนระบอบนั้นๆ
การทำให้ถูกต้องคือ ก่อนอื่นจะต้องสร้าง หรือสถาปนาระบอบหรือหลักการปกครองขึ้นมาก่อน จากนั่นจึงร่างรัฐธรรมนูญให้สอดคล้องกับหลักการปกครอง หรือรัฐธรรมนูญสะท้อนระบอบ และรักษาระบอบฯ นั้นๆ ไว้ นี่คือแนวทางและภารกิจที่ถูกต้อง และเป็นการแก้ไขเหตุวิกฤตชาติให้ตกไปได้
ปัจจุบันรัฐธรรมนูญปี 50 ก็มีแต่เพียงด้านวิธีการ แต่ขาดด้านหลักการปกครอง อุปมา คือมีแต่หนทาง (วิธีการปฏิบัติ) แต่ไม่มีจุดมุ่งหมาย สภาพเป็นเช่นนี้แล้วจะนำพาประเทศชาติไปทางไหน จึงตกเหวทุกครั้งไป จำไว้ๆ เถอะว่า
ไม่มีดวงอาทิตย์ แล้วดาวเคราะห์จะตั้งอยู่ได้อย่างไร พระศาสนาถ้ามีแต่วินัย ก็ตั้งอยู่ไม่ได้
วัว ถ้าไม่มีหลักผูก ก็คงเร่ร่อนไปอย่างไม่มีจุดหมาย
ระบอบการเมืองใดไม่มีหลักการปกครองโดยธรรม ก็จะนำชาตินั้นและประชาชน ไปสู่ความพินาศ อย่างไม่รู้จักจบสิ้น
ระบอบการเมืองที่ไม่มีหลักการโดยธรรม มันจึงเป็นระบอบเผด็จการนั่นเอง พวกเขากำลังสร้างความสับสนโกลาหลขนานใหญ่เป็นวงจรโคตรอุบาทว์ต่อไป จะเป็นเหตุให้ประเทศชาติวิบัติหายนะหนักยิ่งขึ้น เคยบอกหลายครั้งแล้วว่าไม่นานเกินรอ ณ วันนี้ก็ได้เห็นชัดแล้ว
อีกนัยหนึ่ง รัฐธรรมนูญฉบับ ปี 50 นี้ เมื่อนำมาใช้เมื่อใด ก็จะเป็นเหตุให้นายกรัฐมนตรีอยู่เหนือสถาบันพระศาสนา และพระมหากษัตริย์ อย่างเป็นไปเอง ในความถูกต้องโดยธรรมและเพื่อความมั่นคงของชาติสูงสุด สถาบันหลักของชาติ หรือองค์ประกอบแห่งรัฐ (ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์) จะต้องเป็นด้านหลักการปกครอง แต่ได้กลับพลิกผันไปเป็นด้านวิธีการปกครอง นี่คืออันตรายอย่างยิ่งต่อความมั่นคงของชาติ และจะเป็นเหตุปัจจัยให้เกิดสงครามกลางเมืองขึ้นได้ แต่ที่พวกเขายังโค่นลงไม่ได้ ทั้งนี้เพราะสถาบันพระมหากษัตริย์ ถือธรรมเป็นใหญ่ ด้วยพระบารมีแห่งธรรมจึงไม่สามารถโค่นลงได้ง่าย
แต่มองไปในอนาคตแล้ว ผู้มั่นคงในชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ทั้งหลายอย่าได้ประมาท และการที่ผู้ปกครองทำผิด มันก็ทำร้ายประเทศชาติและปวงชนอย่างมหาศาลมาร่วม 75 ปีแล้ว ในทางกลับกัน ถ้าทำถูกต้องเป็นธรรม ก็จะเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติและปวงชนไทยมหาศาล ขอให้ผู้รักชาติพิจารณาด้วยเถิด
(p_ariya_@hotmail.com)