พรรคคอมมิวนิสต์ แกนนำเสื้อแดง (ปิดลับ) ได้ทำแนวร่วมกับคุณทักษิณ อย่างชาญฉลาดได้ทั้งเงินและมวลชน เพื่อหวังก่อสงครามกลางเมืองขึ้นมาใหม่หลังจากพรรคคอมมิวนิสต์ภายแพ้ด้วยนโยบายคำสั่งที่ 66/2523 ปัญหาทักษิณ ปัญหาความแตกแยกในชาติ ฯลฯ ปัญหาเหล่านี้จะหมดไปทันที ถ้า...
เราตั้งใจจะช่วยรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ซึ่งท่านยังไม่รู้ว่าอะไรคือเหตุวิกฤตชาติ เพียงท่านมองเห็นแล้วบอกความจริงแก่ประชาชนว่าเราเดินหลงทางมาตลอด เราต้องร่วมมือกันสถาปนาหลักการปกครองโดยธรรม โดยหลักการปกครองโดยธรรมจะเป็นศูนย์กลางของปวงชนชาติ ความถูกต้องของชาติก็จะเกิดขึ้นในทันที นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็จะกลายเป็นรัฐบุรุษของชาติคนใหม่
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ พระองค์ทรงมีแนวคิดสร้างระบอบหรือหลักการปกครองก่อน ยกร่างรัฐธรรมนูญ “ครั้นเมื่อข้าพเจ้ากลับไปกรุงเทพฯ แล้ว และได้เห็นรัฐธรรมนูญฉบับแรกที่หลวงประดิษฐ์ ได้นำมาให้ข้าพเจ้าลงนาม ข้าพเจ้ารู้สึกทันทีว่า หลักการของผู้ก่อการกับหลักการของข้าพเจ้านั้นไม่พ้องกันเสียแล้ว...ทั้งนี้ข้าพเจ้าไม่ได้เห็นด้วยกับหลักการเหล่านั้นเลย”...“ครั้นต่อมาในระหว่างที่กำลังร่างรัฐธรรมนูญฉบับถาวรอยู่ ข้าพเจ้าก็ได้พยายามตักเตือนและโต้เถียงกับคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญอยู่ตลอดเวลา ว่าควรถือหลัก Democracy อันแท้จริงจึงจะถูก ถ้ามิฉะนั้นจะเกิดทำให้มีความไม่พอใจขึ้นแก่ประชาชน ซึ่งส่วนมากต้องการให้มีการปกครองแบบ Democracy อันแท้ มิฉะนั้น ก็เป็นการเสียเวลาและเป็นการเสี่ยงภัยให้แก่ประเทศโดยใช่ที่ ในเวลาฐานะของบ้านเมืองเราอยู่ในขีดคับขันและยากจน
กล่าวได้ว่านับแต่ พ. ศ. 2475 เป็นต้นมา ได้ประกาศใช้รัฐธรรมนูญลายลักษณ์อักษรมากถึง 18 ฉบับ มีเหตุการณ์ที่ไทยเราต้องตกอยู่ในสภาพเสี่ยงภัยและเสียเวลา ตามที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ รัฐกาลที่ 7 ทรงวินิจฉัยและคัดค้านตักเตือนอย่างถึงที่สุดชนิดเอาพระราชบัลลังก์เป็นเดิมพัน เมื่อ พ.ศ. 2477 คือ 74 ปีมาแล้ว ผู้เขียนมีความซาบซึ้งในพระอัจฉริยภาพของพระองค์ยิ่งนัก ที่ทรงเห็นการณ์ไกล พอประมวลโดยย่อ ดังนี้
1. 24 มิถุนายน 2475 คณะราษฎร ยึดอำนาจเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นระบอบรัฐธรรมนูญเป็นแกนกลาง และขัดแย้งเรื่องรัฐธรรมนูญมาตลอด
2. พระมหากษัตริย์ ทรงคัดค้านอย่างถึงที่สุดด้วยการสละพระราชสมบัติ
3. เกิดรัฐประหาร 13 ครั้ง จาก 2475 – 2549
4. เกิดกบฏ เนื่องจากทำรัฐประหารไม่สำเร็จ 14 ครั้ง จาก 2475 – ปัจจุบัน
5. เกิดสงครามก่อการร้ายโดยพรรคคอมมิวนิสต์ พ. ศ. 2508 - 2512
6. เกิดสงครามกลางเมืองโดยพรรคคอมมิวนิสต์ พ. ศ. 2512 – 2525
7. เกิดการจลาจลทางการเมืองใหญ่ 3 ครั้ง ได้แก่
- เหตุการณ์จลาจล 14 ตุลาคม 2516 เรียกร้องประชาธิปไตย แต่ผลที่ได้กลายเป็นรัฐธรรมนูญ
- เหตุการณ์จลาจล 6 ตุลาคม 2519
- และเหตุการณ์จลาจล 19-20 พฤษภาคม 2535 เรียกร้องประชาธิปไตย ขับไล่เผด็จการรัฐประหาร แต่ผลที่ได้กลายเป็นรัฐธรรมนูญ
8. วิกฤตการณ์เศรษฐกิจตกต่ำอย่างรุนแรง พ. ศ. 2540 - ปัจจุบัน ทั้งนี้ก็เป็นผลจากระบอบเผด็จการโดยรัฐธรรมนูญ ที่สั่งสมกันมายาวนานถึง 76 ปี
9. ปัญหาคอร์รัปชันอย่างกว้างขวางเกือบทุกรัฐบาล โดยเฉพาะรัฐบาลทักษิณนี้ก็เป็นผลจากระบอบเผด็จการโดยรัฐธรรมนูญ ฉบับปี 2540
10. ปัญหาการครอบงำทางการเมือง, เศรษฐกิจ, สังคม จากประเทศมหาอำนาจ
11. ประชาชนยากจน และเป็นหนี้สาธารณะ เฉลี่ยคนละร่วมหนึ่งแสนบาท
12. ปัญหาแบ่งแยกดินแดน 3 จังหวัดภาคใต้
13. ปัญหาอบายมุข ความเสื่อมทรามทางสังคมเลวร้ายมากที่สุด ฯลฯ
14. รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 นี้ก็เป็นผลจากระบอบเผด็จการโดยรัฐธรรมนูญ ฉบับปี 2540 และรัฐบาลทักษิณ
รัฐบาลก็ยังจะคิดแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อให้เป็นประชาธิปไตยอยู่เช่นเดิม และก็จะได้รัฐธรรมนูญซ้ำซากเช่นเดิม เห็นชัดแล้วว่านับแต่ พ.ศ. 2475 จนถึงปัจจุบัน ไทยเรายังพายเรืออยู่อ่างน้ำเช่นเดิม มิจฉาทิฐิซ้ำซาก “เสี่ยงภัยและเสียเวลา” พวกเขาไม่เคยฉุกคิด นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จะฉุกคิดบ้างไหม
มันเป็นข้อสรุปที่ชัดแจ้ง ล้วนมาจากรากเหง้าของขบวนการรัฐธรรมนูญมิจฉาทิฐิ 2 ขั้ว ประชาชนผู้รักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ทั้งหลาย จงคิด จงตรองให้จงหนัก อย่าได้เข้าใจผิดคิดว่าเป็นความขัดแย้งระหว่างขบวนการประชาธิปไตยกับขบวนการเผด็จการอย่างเด็ดขาด ถ้าพวกเราเข้าใจว่าอย่างนั้น ก็ไม่มีทางที่จะคิดแก้ไขปัญหาของประเทศให้ผ่านพ้น หลุดพ้นไปจากวงจรโคตรอุบาทว์นั้นได้
จะเห็นได้ว่าประเทศไทยได้ชื่อว่า เป็นประเทศที่ใช้รัฐธรรมนูญมากที่สุดในโลก มันก็ฟ้องอยู่ในตัวว่าผู้ปกครองไทยนั้นโง่เขลาเบาปัญญาที่สุดในโลก เช่นกัน และในการล้มเลิกรัฐธรรมนูญในแต่ละครั้งเกือบจะทั้งหมดเกิดจากความขัดแย้งช่วงชิงอำนาจรัฐและผลประโยชน์ระหว่างผู้ปกครองด้วยกันเองทั้งสิ้น จนนำไปสู่การทำรัฐประหารถึง 13 ครั้ง เพื่อล้มเลิกรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นการวนเวียนระหว่างรัฐประหาร ร่างรัฐธรรมนูญ รัฐบาลจากการเลือกตั้ง รัฐประหาร ร่างรัฐธรรมนูญ รัฐบาลจากการเลือกตั้ง... เป็นเช่นนี้เรื่อยมา จึงก่อให้เกิดวงจรที่เรียกกันว่า “วงจรโคตรอุบาทว์” (wicked cycle)
แนวคิดของขบวนการรัฐธรรมนูญ (ผู้ปกครองไทย) ที่สอนกันมาอย่างผิดๆ คือ มิจฉาทิฐิอันใหญ่หลวง 5 ประการ ที่หลงผิดอย่างร้ายกาจที่สุด และแก้ไขยากที่สุด ได้แก่
1. เข้าใจผิดในการจัดความสัมพันธ์ระหว่างระบอบ (หลักการปกครอง) กับรัฐธรรมนูญ ทางที่ถูกต้องผู้มีอำนาจ รัฐบาล จะต้องสถาปนาระบอบหรือหลักการปกครองขึ้นมาก่อน ทั้งนี้เพื่อเป็นหลักประกันในความถูกต้อง และเป็นธรรมต่อปวงชน คือไม่ปิดบังซ่อนเร้นไม่เป็นเผด็จการ
2. เข้าใจผิดว่ารัฐธรรมนูญคือระบอบประชาธิปไตย ความรู้ ความเข้าใจที่ถูกต้อง คือ “รัฐธรรมนูญไม่ใช่ระบอบประชาธิปไตย” ระบอบก็คือหลักการปกครอง (Principle of Government) ส่วนรัฐธรรมนูญ หมวดและมาตราต่างๆ มีหน้าที่สะท้อนและรักษาระบอบนั้นๆ ไว้
3. การเข้าใจผิดของผู้ปกครองไทยมากถึง 18 คณะ คือยกร่างรัฐธรรมนูญ เพื่อจะสร้างระบอบประชาธิปไตยซึ่งเป็นมิจฉาทิฐิ ความจริงรัฐธรรมนูญเป็นเพียงกฎหมายหลัก (Principle of Law) หน้าที่ของกฎหมายคือสะท้อนระบอบฯ รักษา คุ้มครองระบอบฯ นั้นๆ การเอากฎหมายไปสร้างระบอบฯ ร้อยครั้งพันฉบับ นอกจากจะไม่ได้ระบอบฯ ที่ถูกต้องแล้ว ยังจะทำให้ล้มเหลวซ้ำซาก และเกิดวิกฤตชาติเรื่อยไป อย่างไม่รู้จักจบสิ้น เราได้เขียนเตือนมามากต่อมากแล้ว
4. เข้าใจผิดว่ารูปการปกครอง (Form of Government) เป็นระบอบประชาธิปไตย คือเข้าใจผิดว่าระบบรัฐสภา (Parliamentary System) เป็นประชาธิปไตย ระบบรัฐสภาเป็นเพียง รูปการปกครองชนิดหนึ่ง มีไว้เพื่อจัดความสัมพันธ์องค์กรแห่งอำนาจอธิปไตยระหว่างฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหาร และฝ่ายตุลาการ ว่าจะถ่วงดุลอำนาจกันอย่างไร ซึ่งไม่เกี่ยวว่าจะเป็นระบอบฯ อะไรก็ได้
5. เข้าใจผิดว่าการเลือกตั้งเป็นระบอบประชาธิปไตย การเลือกตั้งเป็นวิธีการอย่างหนึ่งเพื่อเข้าสู่อำนาจทางการเมือง ซึ่งเป็นของกลาง หมายความว่าระบอบฯ อะไรๆ ก็นำไปใช้ได้
ประเทศไทยตกอยู่ในแนวทางความคิด วัฒนธรรมเผด็จการมายาวนาน ประชาชนผู้บริสุทธิ์แทบจะอยู่กันไม่ได้แล้ว สังคมเต็มไปด้วยความไม่เป็นธรรม ธุรกิจด้านเสริมสร้างอบายมุขกลับเติบโตร่ำรวยเป็นอันดับหนึ่ง สอง สาม ของประเทศ นักการเมืองไทยทุกระดับไร้คุณภาพ โง่เขลาเบาปัญญา คอร์รัปชัน โกงชาติฉ้อราษฎร์บังหลวงทุกระดับ ที่ไหนมีงบประมาณที่นั่นจะมีคอร์รัปชัน ประเทศนี้ข้าราชการเป็นหนี้ท่วมหัว การแทรกแซงของมหาอำนาจ นักเลงหัวไม้ ปล้น จี้ ฆ่า ข่ม ขืน เยาวชนตกอยู่ในห้วงเหวความต่ำช้าของสังคม ครอบครัวไทยหย่าร้างล้มเหลวมากที่สุดในโลก โทรทัศน์มีแต่โฆษณาชวนเชื่อแต่สิ่งไร้สาระ อาชญากรรมเต็มบ้านเต็มเมืองจนคุกไม่มีที่จะคุมขังกันอยู่แล้ว
จะเห็นชัดว่า รัฐบาลภายใต้ระบอบเผด็จการเข้ามาบริหารประเทศที่ร่ำรวยด้วยทรัพยากรที่สุด แต่กลับทำให้กลายเป็นประเทศยากจนที่สุด ประชาชนทุกข์ยากอย่างแสนสาหัส ประเทศไทยเรากลายเป็นประเทศที่อ่อนแอที่สุด ล้าหลัง ตกต่ำ ถอยหลัง กระทั่งประเทศเกิดใหม่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ต่างก็แซงขึ้นหน้าไปหมดแล้ว แต่เรากลับยังร่างรัฐธรรมนูญยังไม่เสร็จ เรายังวนเวียนอยู่กับการยกร่าง แก้ไขรัฐธรรมนูญ
ถึงวันนี้ รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชาชีวะ ท่านน่าจะฉุกคิด ตื่นตัวได้แล้ว ก่อนอื่นต้องมีนโยบายดำเนินการ สถาปนาระบอบหรือหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 ได้เสนอให้ท่านพิจารณาเป็นลำดับ
จากนั้นจึงแก้ไขรัฐธรรมนูญให้สอดคล้องโยงกับหลักการปกครอง จึงจะเป็นภารกิจที่ถูกต้องยิ่งใหญ่ และเป็นการแก้ไขเหตุวิกฤตชาติให้ตกไปได้ ท่านนายกฯ ก็จะกลายเป็นรัฐบุรุษ
รัฐธรรมนูญได้กลายเป็นศูนย์กลางแห่งความขัดแย้งทางการเมืองยาวนาน 76 ปี เป็นศูนย์กลางแห่งความพินาศของชนชาติไทยมายาวนานเกินพอแล้ว ท่านทั้งหลายตื่นเสียทีเถอะ หรือท่านจะให้สถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ อ่อนแอลงๆ และหมดสิ้นไปจากผืนแผ่นดินไทย โดยน้ำมือของพวกเสื้อแดง
เราตั้งใจจะช่วยรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ซึ่งท่านยังไม่รู้ว่าอะไรคือเหตุวิกฤตชาติ เพียงท่านมองเห็นแล้วบอกความจริงแก่ประชาชนว่าเราเดินหลงทางมาตลอด เราต้องร่วมมือกันสถาปนาหลักการปกครองโดยธรรม โดยหลักการปกครองโดยธรรมจะเป็นศูนย์กลางของปวงชนชาติ ความถูกต้องของชาติก็จะเกิดขึ้นในทันที นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็จะกลายเป็นรัฐบุรุษของชาติคนใหม่
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ พระองค์ทรงมีแนวคิดสร้างระบอบหรือหลักการปกครองก่อน ยกร่างรัฐธรรมนูญ “ครั้นเมื่อข้าพเจ้ากลับไปกรุงเทพฯ แล้ว และได้เห็นรัฐธรรมนูญฉบับแรกที่หลวงประดิษฐ์ ได้นำมาให้ข้าพเจ้าลงนาม ข้าพเจ้ารู้สึกทันทีว่า หลักการของผู้ก่อการกับหลักการของข้าพเจ้านั้นไม่พ้องกันเสียแล้ว...ทั้งนี้ข้าพเจ้าไม่ได้เห็นด้วยกับหลักการเหล่านั้นเลย”...“ครั้นต่อมาในระหว่างที่กำลังร่างรัฐธรรมนูญฉบับถาวรอยู่ ข้าพเจ้าก็ได้พยายามตักเตือนและโต้เถียงกับคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญอยู่ตลอดเวลา ว่าควรถือหลัก Democracy อันแท้จริงจึงจะถูก ถ้ามิฉะนั้นจะเกิดทำให้มีความไม่พอใจขึ้นแก่ประชาชน ซึ่งส่วนมากต้องการให้มีการปกครองแบบ Democracy อันแท้ มิฉะนั้น ก็เป็นการเสียเวลาและเป็นการเสี่ยงภัยให้แก่ประเทศโดยใช่ที่ ในเวลาฐานะของบ้านเมืองเราอยู่ในขีดคับขันและยากจน
กล่าวได้ว่านับแต่ พ. ศ. 2475 เป็นต้นมา ได้ประกาศใช้รัฐธรรมนูญลายลักษณ์อักษรมากถึง 18 ฉบับ มีเหตุการณ์ที่ไทยเราต้องตกอยู่ในสภาพเสี่ยงภัยและเสียเวลา ตามที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ รัฐกาลที่ 7 ทรงวินิจฉัยและคัดค้านตักเตือนอย่างถึงที่สุดชนิดเอาพระราชบัลลังก์เป็นเดิมพัน เมื่อ พ.ศ. 2477 คือ 74 ปีมาแล้ว ผู้เขียนมีความซาบซึ้งในพระอัจฉริยภาพของพระองค์ยิ่งนัก ที่ทรงเห็นการณ์ไกล พอประมวลโดยย่อ ดังนี้
1. 24 มิถุนายน 2475 คณะราษฎร ยึดอำนาจเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นระบอบรัฐธรรมนูญเป็นแกนกลาง และขัดแย้งเรื่องรัฐธรรมนูญมาตลอด
2. พระมหากษัตริย์ ทรงคัดค้านอย่างถึงที่สุดด้วยการสละพระราชสมบัติ
3. เกิดรัฐประหาร 13 ครั้ง จาก 2475 – 2549
4. เกิดกบฏ เนื่องจากทำรัฐประหารไม่สำเร็จ 14 ครั้ง จาก 2475 – ปัจจุบัน
5. เกิดสงครามก่อการร้ายโดยพรรคคอมมิวนิสต์ พ. ศ. 2508 - 2512
6. เกิดสงครามกลางเมืองโดยพรรคคอมมิวนิสต์ พ. ศ. 2512 – 2525
7. เกิดการจลาจลทางการเมืองใหญ่ 3 ครั้ง ได้แก่
- เหตุการณ์จลาจล 14 ตุลาคม 2516 เรียกร้องประชาธิปไตย แต่ผลที่ได้กลายเป็นรัฐธรรมนูญ
- เหตุการณ์จลาจล 6 ตุลาคม 2519
- และเหตุการณ์จลาจล 19-20 พฤษภาคม 2535 เรียกร้องประชาธิปไตย ขับไล่เผด็จการรัฐประหาร แต่ผลที่ได้กลายเป็นรัฐธรรมนูญ
8. วิกฤตการณ์เศรษฐกิจตกต่ำอย่างรุนแรง พ. ศ. 2540 - ปัจจุบัน ทั้งนี้ก็เป็นผลจากระบอบเผด็จการโดยรัฐธรรมนูญ ที่สั่งสมกันมายาวนานถึง 76 ปี
9. ปัญหาคอร์รัปชันอย่างกว้างขวางเกือบทุกรัฐบาล โดยเฉพาะรัฐบาลทักษิณนี้ก็เป็นผลจากระบอบเผด็จการโดยรัฐธรรมนูญ ฉบับปี 2540
10. ปัญหาการครอบงำทางการเมือง, เศรษฐกิจ, สังคม จากประเทศมหาอำนาจ
11. ประชาชนยากจน และเป็นหนี้สาธารณะ เฉลี่ยคนละร่วมหนึ่งแสนบาท
12. ปัญหาแบ่งแยกดินแดน 3 จังหวัดภาคใต้
13. ปัญหาอบายมุข ความเสื่อมทรามทางสังคมเลวร้ายมากที่สุด ฯลฯ
14. รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 นี้ก็เป็นผลจากระบอบเผด็จการโดยรัฐธรรมนูญ ฉบับปี 2540 และรัฐบาลทักษิณ
รัฐบาลก็ยังจะคิดแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อให้เป็นประชาธิปไตยอยู่เช่นเดิม และก็จะได้รัฐธรรมนูญซ้ำซากเช่นเดิม เห็นชัดแล้วว่านับแต่ พ.ศ. 2475 จนถึงปัจจุบัน ไทยเรายังพายเรืออยู่อ่างน้ำเช่นเดิม มิจฉาทิฐิซ้ำซาก “เสี่ยงภัยและเสียเวลา” พวกเขาไม่เคยฉุกคิด นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จะฉุกคิดบ้างไหม
มันเป็นข้อสรุปที่ชัดแจ้ง ล้วนมาจากรากเหง้าของขบวนการรัฐธรรมนูญมิจฉาทิฐิ 2 ขั้ว ประชาชนผู้รักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ทั้งหลาย จงคิด จงตรองให้จงหนัก อย่าได้เข้าใจผิดคิดว่าเป็นความขัดแย้งระหว่างขบวนการประชาธิปไตยกับขบวนการเผด็จการอย่างเด็ดขาด ถ้าพวกเราเข้าใจว่าอย่างนั้น ก็ไม่มีทางที่จะคิดแก้ไขปัญหาของประเทศให้ผ่านพ้น หลุดพ้นไปจากวงจรโคตรอุบาทว์นั้นได้
จะเห็นได้ว่าประเทศไทยได้ชื่อว่า เป็นประเทศที่ใช้รัฐธรรมนูญมากที่สุดในโลก มันก็ฟ้องอยู่ในตัวว่าผู้ปกครองไทยนั้นโง่เขลาเบาปัญญาที่สุดในโลก เช่นกัน และในการล้มเลิกรัฐธรรมนูญในแต่ละครั้งเกือบจะทั้งหมดเกิดจากความขัดแย้งช่วงชิงอำนาจรัฐและผลประโยชน์ระหว่างผู้ปกครองด้วยกันเองทั้งสิ้น จนนำไปสู่การทำรัฐประหารถึง 13 ครั้ง เพื่อล้มเลิกรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นการวนเวียนระหว่างรัฐประหาร ร่างรัฐธรรมนูญ รัฐบาลจากการเลือกตั้ง รัฐประหาร ร่างรัฐธรรมนูญ รัฐบาลจากการเลือกตั้ง... เป็นเช่นนี้เรื่อยมา จึงก่อให้เกิดวงจรที่เรียกกันว่า “วงจรโคตรอุบาทว์” (wicked cycle)
แนวคิดของขบวนการรัฐธรรมนูญ (ผู้ปกครองไทย) ที่สอนกันมาอย่างผิดๆ คือ มิจฉาทิฐิอันใหญ่หลวง 5 ประการ ที่หลงผิดอย่างร้ายกาจที่สุด และแก้ไขยากที่สุด ได้แก่
1. เข้าใจผิดในการจัดความสัมพันธ์ระหว่างระบอบ (หลักการปกครอง) กับรัฐธรรมนูญ ทางที่ถูกต้องผู้มีอำนาจ รัฐบาล จะต้องสถาปนาระบอบหรือหลักการปกครองขึ้นมาก่อน ทั้งนี้เพื่อเป็นหลักประกันในความถูกต้อง และเป็นธรรมต่อปวงชน คือไม่ปิดบังซ่อนเร้นไม่เป็นเผด็จการ
2. เข้าใจผิดว่ารัฐธรรมนูญคือระบอบประชาธิปไตย ความรู้ ความเข้าใจที่ถูกต้อง คือ “รัฐธรรมนูญไม่ใช่ระบอบประชาธิปไตย” ระบอบก็คือหลักการปกครอง (Principle of Government) ส่วนรัฐธรรมนูญ หมวดและมาตราต่างๆ มีหน้าที่สะท้อนและรักษาระบอบนั้นๆ ไว้
3. การเข้าใจผิดของผู้ปกครองไทยมากถึง 18 คณะ คือยกร่างรัฐธรรมนูญ เพื่อจะสร้างระบอบประชาธิปไตยซึ่งเป็นมิจฉาทิฐิ ความจริงรัฐธรรมนูญเป็นเพียงกฎหมายหลัก (Principle of Law) หน้าที่ของกฎหมายคือสะท้อนระบอบฯ รักษา คุ้มครองระบอบฯ นั้นๆ การเอากฎหมายไปสร้างระบอบฯ ร้อยครั้งพันฉบับ นอกจากจะไม่ได้ระบอบฯ ที่ถูกต้องแล้ว ยังจะทำให้ล้มเหลวซ้ำซาก และเกิดวิกฤตชาติเรื่อยไป อย่างไม่รู้จักจบสิ้น เราได้เขียนเตือนมามากต่อมากแล้ว
4. เข้าใจผิดว่ารูปการปกครอง (Form of Government) เป็นระบอบประชาธิปไตย คือเข้าใจผิดว่าระบบรัฐสภา (Parliamentary System) เป็นประชาธิปไตย ระบบรัฐสภาเป็นเพียง รูปการปกครองชนิดหนึ่ง มีไว้เพื่อจัดความสัมพันธ์องค์กรแห่งอำนาจอธิปไตยระหว่างฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหาร และฝ่ายตุลาการ ว่าจะถ่วงดุลอำนาจกันอย่างไร ซึ่งไม่เกี่ยวว่าจะเป็นระบอบฯ อะไรก็ได้
5. เข้าใจผิดว่าการเลือกตั้งเป็นระบอบประชาธิปไตย การเลือกตั้งเป็นวิธีการอย่างหนึ่งเพื่อเข้าสู่อำนาจทางการเมือง ซึ่งเป็นของกลาง หมายความว่าระบอบฯ อะไรๆ ก็นำไปใช้ได้
ประเทศไทยตกอยู่ในแนวทางความคิด วัฒนธรรมเผด็จการมายาวนาน ประชาชนผู้บริสุทธิ์แทบจะอยู่กันไม่ได้แล้ว สังคมเต็มไปด้วยความไม่เป็นธรรม ธุรกิจด้านเสริมสร้างอบายมุขกลับเติบโตร่ำรวยเป็นอันดับหนึ่ง สอง สาม ของประเทศ นักการเมืองไทยทุกระดับไร้คุณภาพ โง่เขลาเบาปัญญา คอร์รัปชัน โกงชาติฉ้อราษฎร์บังหลวงทุกระดับ ที่ไหนมีงบประมาณที่นั่นจะมีคอร์รัปชัน ประเทศนี้ข้าราชการเป็นหนี้ท่วมหัว การแทรกแซงของมหาอำนาจ นักเลงหัวไม้ ปล้น จี้ ฆ่า ข่ม ขืน เยาวชนตกอยู่ในห้วงเหวความต่ำช้าของสังคม ครอบครัวไทยหย่าร้างล้มเหลวมากที่สุดในโลก โทรทัศน์มีแต่โฆษณาชวนเชื่อแต่สิ่งไร้สาระ อาชญากรรมเต็มบ้านเต็มเมืองจนคุกไม่มีที่จะคุมขังกันอยู่แล้ว
จะเห็นชัดว่า รัฐบาลภายใต้ระบอบเผด็จการเข้ามาบริหารประเทศที่ร่ำรวยด้วยทรัพยากรที่สุด แต่กลับทำให้กลายเป็นประเทศยากจนที่สุด ประชาชนทุกข์ยากอย่างแสนสาหัส ประเทศไทยเรากลายเป็นประเทศที่อ่อนแอที่สุด ล้าหลัง ตกต่ำ ถอยหลัง กระทั่งประเทศเกิดใหม่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ต่างก็แซงขึ้นหน้าไปหมดแล้ว แต่เรากลับยังร่างรัฐธรรมนูญยังไม่เสร็จ เรายังวนเวียนอยู่กับการยกร่าง แก้ไขรัฐธรรมนูญ
ถึงวันนี้ รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชาชีวะ ท่านน่าจะฉุกคิด ตื่นตัวได้แล้ว ก่อนอื่นต้องมีนโยบายดำเนินการ สถาปนาระบอบหรือหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 ได้เสนอให้ท่านพิจารณาเป็นลำดับ
จากนั้นจึงแก้ไขรัฐธรรมนูญให้สอดคล้องโยงกับหลักการปกครอง จึงจะเป็นภารกิจที่ถูกต้องยิ่งใหญ่ และเป็นการแก้ไขเหตุวิกฤตชาติให้ตกไปได้ ท่านนายกฯ ก็จะกลายเป็นรัฐบุรุษ
รัฐธรรมนูญได้กลายเป็นศูนย์กลางแห่งความขัดแย้งทางการเมืองยาวนาน 76 ปี เป็นศูนย์กลางแห่งความพินาศของชนชาติไทยมายาวนานเกินพอแล้ว ท่านทั้งหลายตื่นเสียทีเถอะ หรือท่านจะให้สถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ อ่อนแอลงๆ และหมดสิ้นไปจากผืนแผ่นดินไทย โดยน้ำมือของพวกเสื้อแดง