ท่านผู้อ่านที่เคารพ ผมไตร่ตรองถี่ถ้วนแล้ว จำเป็นต้องเขียน
พระราชอาญาไม่พ้นเกล้า ผมเชื่อว่าขณะนี้ในหลวงทรงโทมนัส เป็นห่วงประเทศชาติและพสกนิกรของพระองค์ เกรงว่าจะเกิดเหตุร้ายจนเกินแก้ลุกลามมาจากการชุมนุมใหญ่ของขบวนการเสื้อแดง
ขบวนการเสื้อแดงเอาแต่ได้ ไม่รู้จักกาลเทศะ วันที่ 6 เมษายน นี้ เป็นวันครบรอบสถาปนาราชวงศ์จักรี กรุงรัตนโกสินทร์ และราชอาณาจักรไทยที่ยั่งยืนมาจนถึงปัจจุบัน และอีกไม่กี่วันก็จะถึงวันฉลองสงกรานต์
พระพุทธองค์ทรงสอนว่า หนึ่งในคุณสมบัติของสัตบุรุษ คือ ต้องเป็นผู้รู้กาลเทศะ ในขบวนการเสื้อแดง และพลพรรคทั้งหมดของทักษิณ ซึ่งผู้เป็นหัวหน้าได้ประกาศให้รวมเป็นพวกเดียวกันทั้งหมด ไม่มีผู้เป็นสัปปุรุษเหลืออยู่เลยหรือ
ผมเองไม่สบายใจมากที่ขบวนการเสื้อแดงเลือกเอาวันที่ 8 เมษายน เป็นวันต้นชี้ตายปลายชี้เป็น หมายว่าจะก่อการปฏิวัติประชาชน ล้มล้างรัฐบาล และรัฐธรรมนูญ ปี 2550 การประกาศอย่างโจ่งแจ้งและไม่เกรงกลัวเช่นนี้ เท่ากับการก่อกบฏภายในและภายนอกราชอาณาจักรอย่างแน่นอน
ผมคิดถึงพ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งผมเคยให้ความหวังดีเสมอมา ในวันที่ 14 และ 18 กันยายน 2549 ก่อนการปฏิวัติของ คมช. ผมตีพิมพ์บทความใน ผจก.ออนไลน์และหนังสือพิมพ์ เพราะผมรู้ว่าจะมีการปฏิวัติ
ผมบอกว่า “แต่ผมคงไม่ยินดีที่ทหารจะปฏิวัติ ผมอยากจะเห็นประเทศไทยแสดงวุฒิภาวะ และหาทางออกที่นุ่มนวลแนบเนียนกว่านั้น ยังมีทางเลือกอยู่อีกหลายทาง”
ถึงตอนนั้น ไม่มีใครจะป้องกันปฏิวัติได้เสียแล้วนอกจากทักษิณ ผมจึงให้ชื่อบทความว่า “โอกาสสุดท้ายของทักษิณ” และผมแนะนำทักษิณลาออก เพื่อรักษาประชาธิปไตยและรักษาอนาคตการเมืองของทักษิณเอง
“ทำไมผมจึงย้ำนักย้ำหนาว่าทักษิณควรลาออก นั่นก็เป็นเพราะว่าการลาออกนอกจากจะบรรเทาความรุนแรงยุ่งยากให้กับทักษิณและครอบครัวแล้ว ทักษิณยังจะได้ชื่อว่าเป็นผู้ร่วมใจพิทักษ์รักษารัฐธรรมนูญไว้ มิปล่อยให้ถูกทำลายลงด้วยอุบัติเหตุ และช่วยไม่ให้คนไทยทำลายล้างกันเอง ส่งผลถึงชีวิตและความปลอดภัยของครอบครัวชินวัตรด้วย
การลาออกมิใช่ความพ่ายแพ้ แต่เป็นชัยชนะ เป็นความเสียสละกล้าหาญ เป็นวิถีแห่งวีรบุรุษ เป็นความสง่างามตามวิถีทางแห่งรัฐธรรมนูญทำได้ง่ายๆ”
เมื่อ คมช.ปฏิวัติได้ 2-3 วัน ผมเขียนบทความ “ระวังปฏิรูปจะหลงทาง” และบอกว่าผมยินดีที่รัฐบาลทักษิณออกไป แต่สำหรับการยึดอำนาจนั้น “ผมรู้ แต่ไม่ร่วม เห็นใจ แต่ไม่เห็นด้วย ยินดีช่วย แต่ไม่ขอเกี่ยวข้อง” แปลว่าผมจะไม่ร่วมสังฆกรรมใดๆ กับ คมช.แต่ยินดีจะให้ความคิดเห็นที่เป็นประโยชน์ต่อ คมช.และประเทศชาติเป็นส่วนรวม
ในวันที่ 24 ตุลาคม 2549 ผมเห็นลวดลายของ คมช.แล้ว จำเป็นต้องสรุปในบทความว่า คมช.จะทำให้ระบอบการปกครองที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ต้องพ่ายแพ้ระบอบทักษิณในที่สุด
ในสมัยรัฐบาลสุรยุทธ์ ผมเฝ้าเพียรบอกรัฐบาลว่าอย่าเพิ่งรีบเลือกตั้งจนกว่าจะปฏิรูปเสร็จเสียก่อน รัฐธรรมนูญ 2550 นั้นมิใช่การปฏิรูป และผมเขียนหนังสือขึ้นมาเล่มหนึ่งในเดือนตุลาคม 2550 ว่า “เลือกตั้ง 23 ธันวา น้ำเน่า เราจะพากันไปตาย”
ผมได้ทำนายว่าอะไรจะเกิดขึ้นบ้าง ผมเสียใจที่ทุกอย่างเกิดขึ้นตามที่ผมคาด และในวันที่ 8 เมษายน 2552 ที่ขบวนการเสื้อแดงประกาศสงคราปฏิวัติประชาชนนี้ ผมเกรงว่าคนไทยจะฆ่ากันได้มากที่สุดเป็นประวัติการณ์
แต่ระบอบทักษิณจะชนะตามที่ผมเคยกลัวหรือไม่ ผมคิดว่าเหตุปัจจัยได้เปลี่ยนไปเสียแล้ว นั่นก็คือการปลุกตื่นของประชาชนให้ป้องกันชาติ ศาสน์ กษัตริย์ด้วยชีวิตใน 193 วันบันลือโลกของขบวนการพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และโลภโมหะของทักษิณและขบวนการเสื้อแดง ซึ่งเปลือยกายออกมาโจมตีสถาบันองคมนตรี ศาล และกองทัพ ซึ่งเป็นสถาบันรองรับความมั่นคงของพระมหากษัตริย์โดยตรง
ดังนั้น สมการอำนาจในวันที่ 8 เมษายนนี้ จึงเป็นสมการใหม่ และอาจจะเป็นโอกาสสุดท้ายของถึง 3 อย่าง คือ
โอกาสสุดท้ายของระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ว่าจะมีโอกาสเกิดขึ้นและเติบโตได้หรือไม่
โอกาสสุดท้ายของพรรคประชาธิปัตย์ ว่าจะดำรงอยู่ในระบบพรรคและระบบการเมืองของไทยได้หรือไม่
โอกาสสุดท้ายของระบอบทักษิณ ว่าจะหวนกลับมาครองอำนาจได้หรือไม่
ผมเชื่อว่าโอกาสของระบอบทักษิณจะชนะมีน้อยที่สุด นอกจากจะฟลุกทั้งๆ ที่ไม่ชนะ แต่พรรคประชาธิปัตย์ยอมแพ้เอง ด้วยการเสแสร้งมารยาทรักษากติกาประชาธิปไตยทั้งๆ ที่รู้ว่า ขบวนการเสื้อแดงมิได้เป็นประชาธิปไตย และไม่มีสิทธิเอาประชาธิปไตยมาอ้างเลย
โอกาสที่พรรคประชาธิปัตย์จะล่มสลายมีอยู่ไม่น้อย แม้กระทั่งว่าขบวนการสีแดงจะยังไม่ประสบชัยชนะเด็ดขาด เพราะพรรคประชาธิปัตย์พิสูจน์ว่าใช้อำนาจรัฐาธิปัตย์คุ้มครองตนเองและประชาชนไม่ได้ แม้แต่ความปลอดภัยของนายกฯ จากการกลุ้มรุมก็ยังกระทำมิได้
โอกาสที่ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขที่จะเกิดและเติบโตขึ้นได้ก็ยังมีอยู่ แต่จะแน่นอนได้ก็ต่อเมื่อรัฐบาลและสังคมไทยรู้จักพึ่งบุญญาธิการและพระราชอำนาจในหลวง มิใช่ด้วยการขอพระราชทานมาตรา 7 หรือรัฐบาลเฉพาะกาล แต่ด้วยการที่นายกฯ จะต้องเข้าเฝ้าฯ ขอบรมราชวินิจฉัยตามจารีตประชาธิปไตย และนำมาตรการที่เป็นประชาธิปไตยที่แท้จริงครบถ้วนด้วยสัญลักษณ์ โครงสร้าง องค์ประกอบ และพฤติกรรมซึ่งจะเป็นทางรอดอย่างเดียว มิใช่จากวิกฤตเกือบกลียุคในวันที่ 8 นี้เท่านั้น
แต่จะเป็นการนำประเทศออกจากวงจรอุบาทว์และวัฏจักรน้ำเน่า อันเกิดจากประชาธิปไตยจอมปลอมที่อยู่ได้เพราะและอยู่ไปเพื่ออำนาจและเงินเท่านั้น
แต่ปวงชนชาวไทยพึงจะสำนึกว่า พวกเราทั้งมวลจะผันวิกฤตให้เป็นโอกาส ด้วยความยึดมั่นใน “ราชประชาสมาสัย” ซึ่งเป็นลักษณะพิเศษประจำประเทศไทยได้อย่างไร
พระราชอาญาไม่พ้นเกล้า ผมเชื่อว่าขณะนี้ในหลวงทรงโทมนัส เป็นห่วงประเทศชาติและพสกนิกรของพระองค์ เกรงว่าจะเกิดเหตุร้ายจนเกินแก้ลุกลามมาจากการชุมนุมใหญ่ของขบวนการเสื้อแดง
ขบวนการเสื้อแดงเอาแต่ได้ ไม่รู้จักกาลเทศะ วันที่ 6 เมษายน นี้ เป็นวันครบรอบสถาปนาราชวงศ์จักรี กรุงรัตนโกสินทร์ และราชอาณาจักรไทยที่ยั่งยืนมาจนถึงปัจจุบัน และอีกไม่กี่วันก็จะถึงวันฉลองสงกรานต์
พระพุทธองค์ทรงสอนว่า หนึ่งในคุณสมบัติของสัตบุรุษ คือ ต้องเป็นผู้รู้กาลเทศะ ในขบวนการเสื้อแดง และพลพรรคทั้งหมดของทักษิณ ซึ่งผู้เป็นหัวหน้าได้ประกาศให้รวมเป็นพวกเดียวกันทั้งหมด ไม่มีผู้เป็นสัปปุรุษเหลืออยู่เลยหรือ
ผมเองไม่สบายใจมากที่ขบวนการเสื้อแดงเลือกเอาวันที่ 8 เมษายน เป็นวันต้นชี้ตายปลายชี้เป็น หมายว่าจะก่อการปฏิวัติประชาชน ล้มล้างรัฐบาล และรัฐธรรมนูญ ปี 2550 การประกาศอย่างโจ่งแจ้งและไม่เกรงกลัวเช่นนี้ เท่ากับการก่อกบฏภายในและภายนอกราชอาณาจักรอย่างแน่นอน
ผมคิดถึงพ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งผมเคยให้ความหวังดีเสมอมา ในวันที่ 14 และ 18 กันยายน 2549 ก่อนการปฏิวัติของ คมช. ผมตีพิมพ์บทความใน ผจก.ออนไลน์และหนังสือพิมพ์ เพราะผมรู้ว่าจะมีการปฏิวัติ
ผมบอกว่า “แต่ผมคงไม่ยินดีที่ทหารจะปฏิวัติ ผมอยากจะเห็นประเทศไทยแสดงวุฒิภาวะ และหาทางออกที่นุ่มนวลแนบเนียนกว่านั้น ยังมีทางเลือกอยู่อีกหลายทาง”
ถึงตอนนั้น ไม่มีใครจะป้องกันปฏิวัติได้เสียแล้วนอกจากทักษิณ ผมจึงให้ชื่อบทความว่า “โอกาสสุดท้ายของทักษิณ” และผมแนะนำทักษิณลาออก เพื่อรักษาประชาธิปไตยและรักษาอนาคตการเมืองของทักษิณเอง
“ทำไมผมจึงย้ำนักย้ำหนาว่าทักษิณควรลาออก นั่นก็เป็นเพราะว่าการลาออกนอกจากจะบรรเทาความรุนแรงยุ่งยากให้กับทักษิณและครอบครัวแล้ว ทักษิณยังจะได้ชื่อว่าเป็นผู้ร่วมใจพิทักษ์รักษารัฐธรรมนูญไว้ มิปล่อยให้ถูกทำลายลงด้วยอุบัติเหตุ และช่วยไม่ให้คนไทยทำลายล้างกันเอง ส่งผลถึงชีวิตและความปลอดภัยของครอบครัวชินวัตรด้วย
การลาออกมิใช่ความพ่ายแพ้ แต่เป็นชัยชนะ เป็นความเสียสละกล้าหาญ เป็นวิถีแห่งวีรบุรุษ เป็นความสง่างามตามวิถีทางแห่งรัฐธรรมนูญทำได้ง่ายๆ”
เมื่อ คมช.ปฏิวัติได้ 2-3 วัน ผมเขียนบทความ “ระวังปฏิรูปจะหลงทาง” และบอกว่าผมยินดีที่รัฐบาลทักษิณออกไป แต่สำหรับการยึดอำนาจนั้น “ผมรู้ แต่ไม่ร่วม เห็นใจ แต่ไม่เห็นด้วย ยินดีช่วย แต่ไม่ขอเกี่ยวข้อง” แปลว่าผมจะไม่ร่วมสังฆกรรมใดๆ กับ คมช.แต่ยินดีจะให้ความคิดเห็นที่เป็นประโยชน์ต่อ คมช.และประเทศชาติเป็นส่วนรวม
ในวันที่ 24 ตุลาคม 2549 ผมเห็นลวดลายของ คมช.แล้ว จำเป็นต้องสรุปในบทความว่า คมช.จะทำให้ระบอบการปกครองที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ต้องพ่ายแพ้ระบอบทักษิณในที่สุด
ในสมัยรัฐบาลสุรยุทธ์ ผมเฝ้าเพียรบอกรัฐบาลว่าอย่าเพิ่งรีบเลือกตั้งจนกว่าจะปฏิรูปเสร็จเสียก่อน รัฐธรรมนูญ 2550 นั้นมิใช่การปฏิรูป และผมเขียนหนังสือขึ้นมาเล่มหนึ่งในเดือนตุลาคม 2550 ว่า “เลือกตั้ง 23 ธันวา น้ำเน่า เราจะพากันไปตาย”
ผมได้ทำนายว่าอะไรจะเกิดขึ้นบ้าง ผมเสียใจที่ทุกอย่างเกิดขึ้นตามที่ผมคาด และในวันที่ 8 เมษายน 2552 ที่ขบวนการเสื้อแดงประกาศสงคราปฏิวัติประชาชนนี้ ผมเกรงว่าคนไทยจะฆ่ากันได้มากที่สุดเป็นประวัติการณ์
แต่ระบอบทักษิณจะชนะตามที่ผมเคยกลัวหรือไม่ ผมคิดว่าเหตุปัจจัยได้เปลี่ยนไปเสียแล้ว นั่นก็คือการปลุกตื่นของประชาชนให้ป้องกันชาติ ศาสน์ กษัตริย์ด้วยชีวิตใน 193 วันบันลือโลกของขบวนการพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และโลภโมหะของทักษิณและขบวนการเสื้อแดง ซึ่งเปลือยกายออกมาโจมตีสถาบันองคมนตรี ศาล และกองทัพ ซึ่งเป็นสถาบันรองรับความมั่นคงของพระมหากษัตริย์โดยตรง
ดังนั้น สมการอำนาจในวันที่ 8 เมษายนนี้ จึงเป็นสมการใหม่ และอาจจะเป็นโอกาสสุดท้ายของถึง 3 อย่าง คือ
โอกาสสุดท้ายของระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ว่าจะมีโอกาสเกิดขึ้นและเติบโตได้หรือไม่
โอกาสสุดท้ายของพรรคประชาธิปัตย์ ว่าจะดำรงอยู่ในระบบพรรคและระบบการเมืองของไทยได้หรือไม่
โอกาสสุดท้ายของระบอบทักษิณ ว่าจะหวนกลับมาครองอำนาจได้หรือไม่
ผมเชื่อว่าโอกาสของระบอบทักษิณจะชนะมีน้อยที่สุด นอกจากจะฟลุกทั้งๆ ที่ไม่ชนะ แต่พรรคประชาธิปัตย์ยอมแพ้เอง ด้วยการเสแสร้งมารยาทรักษากติกาประชาธิปไตยทั้งๆ ที่รู้ว่า ขบวนการเสื้อแดงมิได้เป็นประชาธิปไตย และไม่มีสิทธิเอาประชาธิปไตยมาอ้างเลย
โอกาสที่พรรคประชาธิปัตย์จะล่มสลายมีอยู่ไม่น้อย แม้กระทั่งว่าขบวนการสีแดงจะยังไม่ประสบชัยชนะเด็ดขาด เพราะพรรคประชาธิปัตย์พิสูจน์ว่าใช้อำนาจรัฐาธิปัตย์คุ้มครองตนเองและประชาชนไม่ได้ แม้แต่ความปลอดภัยของนายกฯ จากการกลุ้มรุมก็ยังกระทำมิได้
โอกาสที่ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขที่จะเกิดและเติบโตขึ้นได้ก็ยังมีอยู่ แต่จะแน่นอนได้ก็ต่อเมื่อรัฐบาลและสังคมไทยรู้จักพึ่งบุญญาธิการและพระราชอำนาจในหลวง มิใช่ด้วยการขอพระราชทานมาตรา 7 หรือรัฐบาลเฉพาะกาล แต่ด้วยการที่นายกฯ จะต้องเข้าเฝ้าฯ ขอบรมราชวินิจฉัยตามจารีตประชาธิปไตย และนำมาตรการที่เป็นประชาธิปไตยที่แท้จริงครบถ้วนด้วยสัญลักษณ์ โครงสร้าง องค์ประกอบ และพฤติกรรมซึ่งจะเป็นทางรอดอย่างเดียว มิใช่จากวิกฤตเกือบกลียุคในวันที่ 8 นี้เท่านั้น
แต่จะเป็นการนำประเทศออกจากวงจรอุบาทว์และวัฏจักรน้ำเน่า อันเกิดจากประชาธิปไตยจอมปลอมที่อยู่ได้เพราะและอยู่ไปเพื่ออำนาจและเงินเท่านั้น
แต่ปวงชนชาวไทยพึงจะสำนึกว่า พวกเราทั้งมวลจะผันวิกฤตให้เป็นโอกาส ด้วยความยึดมั่นใน “ราชประชาสมาสัย” ซึ่งเป็นลักษณะพิเศษประจำประเทศไทยได้อย่างไร