ย้ำอีกที การต่อสู้เพื่อนำไปสู่การเปลี่ยนผ่านครั้งประวัติศาสตร์นี้ มิใช่เป็นความต้องการส่วนตัวของใครโดยเฉพาะ มันเป็นความต้องการของสังคมไทยโดยรวม ที่สะท้อนออกมาในรูปแบบต่างๆ ตามช่องทางต่างๆ จากเรื่องที่ใกล้ตัวของประชาชนในสาขาอาชีพต่างๆ ซึ่งเมื่อสืบสาวถึงสาเหตุ และนำมาผูกเชื่อมโยงกันเข้า ก็จะได้ภาพชัดว่า วิกฤตทั้งหลายทั้งปวงที่กำลังรุมเร้าคนไทยทั้งประเทศ มันมีปฐมเหตุมาจากการสะสมของความล้มเหลวรอบด้านอันเกิดจาก “ระบบประชาธิปไตยตัวแทน” ที่กลุ่มทุนเป็นเจ้าภาพแทบทั้งสิ้น
ทั้งนี้เพราะ เมื่อกลุ่มทุนพากันทุ่มทุน ซื้อเสียงในการเลือกตั้งทุกครั้ง สามารถผูกขาดการเป็นตัวแทนเข้าไปนั่งในสภาผู้แทนราษฎร จัดตั้งคณะรัฐบาล ก็หนีไม่พ้นที่จะดำเนินนโยบายบนฐานของการถือเอาผลประโยชน์ของตัวเองเป็นที่ตั้ง เพื่อ “ถอนทุน” และวางฐานสำหรับการครองอำนาจอย่างยาวนานที่สุดเท่าที่จะทำได้ ประพฤติปฏิบัติสิ่งใดก็ล้วนแต่เป็นสิ่งเลวร้ายในสายตาประชาชน สร้างความผิดหวังไปทั่ว
ในสายตาประชาชน “ระบบประชาธิปไตยตัวแทน” ของกลุ่มทุนไทย ก็คือ “เนื้อร้าย” ในโครงสร้างของระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ที่จำเป็นต้องขจัดทิ้ง แล้วบรรจุ “ระบบประชาธิปไตยของประชาชน” หรือ “ระบบประชาธิปไตยที่ประชาชนมีส่วนร่วม” เข้าแทนที่ ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขจึงจะพัฒนาเข้มแข็ง แสดงบทบาทสร้างสรรค์ ยังประโยชน์สูงสุดแก่ประเทศชาติและปวงชนชาวไทย
เปลี่ยนถ่าย “ตัวแปรหลัก”
ในสายตาประชาชน องค์ประกอบของ “เนื้อร้าย” ในระบบการเมืองเลือกตั้งที่กลุ่มทุนเป็นเจ้าภาพ ที่สำคัญที่สุด แสดงบทบาทเป็น “ตัวแปรหลัก” ที่กำหนดตัวแปรอื่นๆ อย่างสิ้นเชิง ก็คือ กระบวนการได้มาซึ่งคณะบุคคลผู้ใช้อำนาจบริหารประเทศ เริ่มตั้งแต่การซื้อเสียงในการเลือกตั้ง เข้าไปนั่งในสภาฯ แล้วรวมกลุ่มกันเสนอตัวผู้จะเป็นรัฐมนตรี ใช้อำนาจบริหารประเทศ ซึ่งในที่สุดแล้วพวกเขาก็จะได้ “ตัวแทน” เข้าไปใช้อำนาจบริหารประเทศ สนองประโยชน์ให้แก่กลุ่มทุนในทุกๆ ด้าน
มองในภาพรวม จึงเห็นได้อย่างชัดเจนว่า ภารกิจใจกลางของขบวนการการเมืองภาคประชาชนจึงอยู่ที่การเปลี่ยนถ่าย “ตัวแปรหลัก” หรือ “เนื้อใน” ของระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข จาก “ตัวแปรเก่า” ที่เป็นพิษเป็นภัยทำร้ายประเทศชาติ ทำร้ายประชาชนมาโดยตลอด เป็น “ตัวแปรใหม่” ที่จะสร้างคุณูปการยิ่งใหญ่ให้แก่ประเทศชาติและประชาชนสูงสุด อย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์การเมืองไทย
กระนั้น กระบวนการถ่ายเนื้อร้าย ซึ่งหลักๆ ก็คือการเปลี่ยนถ่ายตัวแปรหลัก “เก่า” ออกจากโครงร่างระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข แล้วบรรจุ “เนื้อดี” ซึ่งก็คือตัวแปรหลัก “ใหม่” เข้าแทนที่นั้น ภาคประชาชนจำเป็นต้องเพิ่ม “ตัวแปรหลัก” ใหม่ อีก 2 รวมเป็น 3 ประการ ดังนี้
1. กระบวนการได้มาซึ่งคณะผู้ใช้อำนาจบริหารประเทศ ภายใต้การกำกับของขบวนการการเมืองภาคประชาชน
2. คณะผู้ใช้อำนาจบริหารประเทศ ที่ต้องเพียบพร้อมด้วยคุณธรรม จริยธรรม ความรู้ความสามารถ สามารถดำเนินการบริหารประเทศโดยถือเอาผลประโยชน์ของประชาชนเป็นตัวตั้งได้เป็นอย่างดีตั้งแต่ต้นจนปลาย
3. กระบวนการติดตามตรวจสอบ ประเมินผล การปฏิบัติภาระหน้าที่ของคณะผู้ใช้อำนาจบริหารประเทศ โดยให้เป็นตามตัวบทกฎหมายอย่างเคร่งครัด
ตัวแปรหลักทั้งสามนี้ จะทำหน้าที่ขับเคลื่อนระบบประชาธิปไตยของประชาชน ที่ประชาชนมีส่วนร่วมได้อย่างเป็นจริง เกิดมรรคผลที่คนไทยเราเฝ้าใฝ่หามานานนับศตวรรษ
ด้วยเหตุนี้ ภารกิจของขบวนการการเมืองภาคประชาชนในการสร้างประวัติศาสตร์การเมืองใหม่ขึ้นในประเทศไทย จึงมีอยู่สองชั้นที่เชื่อมโยงกัน เป็นเหตุปัจจัยซึ่งกันและกัน ดังนี้
ชั้นที่หนึ่ง จะต้องเปลี่ยนแปลงกระบวนการได้มาซึ่งคณะผู้ใช้อำนาจบริหารประเทศ โดยให้มีหลักประกันในทุกขั้นตอนว่า กลุ่มบุคคลที่จะเข้ามาใช้อำนาจบริหารประเทศเหล่านั้น จะสามารถดำเนินนโยบายที่เป็นประโยชน์แก่ประชาชนส่วนใหญ่ได้อย่างแท้จริง
ชั้นที่สอง จะต้องมีกระบวนการกำกับ ติดตาม ตรวจสอบ ประเมินผล การปฏิบัติภาระหน้าที่ของคณะผู้ใช้อำนาจบริหารประเทศ อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นพลวัต และอย่างเป็นบูรณาการ
การทำงานของ “ตัวแปรใหม่”
“ตัวแปรใหม่” โดยเฉพาะตัวแปรหลักประการแรก ที่เป็น “หัวใจ” ของการเมืองใหม่ที่ขบวนการการเมืองภาคประชาชนเป็นเจ้าภาพ (กระบวนการได้มาซึ่งคณะผู้ใช้อำนาจบริหารประเทศ ภายใต้การกำกับของขบวนการการเมืองภาคประชาชน) ตามเค้าโครงความคิดที่ปรากฏออกมาจากขบวนการการเมืองภาคประชาชน อาทิ พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย มีที่มาจากการคัดสรรของประชาชนในภาคส่วนต่างๆ ตามสัดส่วนที่เหมาะสม ดำเนินไปภายใต้การกำกับของขบวนการการเมืองภาคประชาชน ประกอบกันขึ้นเป็นสภาประชาชน
การจัดตั้งรัฐบาล ต้องผ่านกระบวนการของสภาประชาชน ตามกฎหมายรัฐธรรมนูญที่บัญญัติขึ้นตามเจตนารมณ์ของระบบประชาธิปไตยที่ประชาชนมีส่วนร่วม ในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เพื่อให้ได้มาซึ่งคณะผู้ใช้อำนาจบริหารประเทศที่มีคุณสมบัติเพียบพร้อมรอบด้าน ทำหน้าที่บริหารประเทศ ดำเนินนโยบายที่ถือเอาผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนเป็นที่ตั้ง
“ตัวแปรใหม่”จะสร้างกฎเกณฑ์ การเมือง สังคมชีวิต “ใหม่”
“ตัวแปรเก่า” กำหนดให้การเมืองพัฒนาไปตามกฎเกณฑ์ของ “วงจรอุบาทว์” โดยกลุ่มผู้ใช้อำนาจมุ่งกอบโกยประโยชน์ใส่ตนเป็นหลัก ประชาชนส่วนใหญ่ไม่ได้รับประโยชน์เท่าที่ควร ถูกเอารัดเอาเปรียบทุกวิถีทาง เกิดช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจน ระหว่างผู้มีอภิสิทธิ์กับผู้เสียสิทธิ์มากขึ้นเรื่อยๆ เกิดความเหลื่อมล้ำและไม่เป็นธรรมในสังคมชัดเจนยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ประเทศไม่ได้รับการพัฒนาอย่างรอบด้าน การเมืองน้ำเน่า (อำนาจตกอยู่ในมือกลุ่มนักการเมืองเลือกตั้ง มีการใช้เงินซื้อเสียง มีการซื้อขายนักการเมืองเลือกตั้ง ) เศรษฐกิจไม่แข็งแกร่ง (พึ่งพาต่างชาติ) สังคมวิกฤต(ขาดความสงบร่มเย็น) การศึกษาเว้าแหว่ง (ทั้งระบบและบุคลากร) วัฒนธรรมเสื่อมทราม (ขาดการพัฒนา กลวงและไร้แก่นสาร) ระบบราชการไร้ประสิทธิภาพ (มีพฤติกรรมฉ้อราษฎร์บังหลวงอยู่ทั่วไป เล่นพรรคเล่นพวก ไม่ส่งเสริมคนดีคนเก่ง) คุณธรรมและจิตใจของผู้คนตกต่ำ (ไม่แยกผิดแยกถูก ไม่ใช้ปัญญา) ชีวิตโดยรวมของประชาชนชาวไทยจึงไร้ศักดิ์ศรี ด้อยคุณภาพ ขาดความสุข
ตรงกันข้าม “ตัวแปรใหม่” ที่จะเกิดขึ้น อันเป็นผลพวงของการเคลื่อนไหวทางการเมืองของขบวนการการเมืองภาคประชาชนโดยตรง (ในปัจจุบันก็คือพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย สมัชชาประชาชนแห่งประเทศไทย และองค์กรอื่นๆ ทั้งในส่วนกลางและภูมิภาค ที่กำลังแตกตัวขึ้นอย่างรวดเร็วดุจเห็ดหลังฝน โดยองค์กรเหล่านี้จะเชื่อมโยงกันเข้าเป็นเครือข่ายระดับชาติอย่างเป็นพลวัต และอย่างเป็นบูรณาการ พัฒนาเติบใหญ่ขึ้นเป็นกำลังหลักของการสร้างประวัติศาสตร์ยุคใหม่ให้แก่ประเทศไทย) จะนำประเทศก้าวไปตามเส้นทางใหม่ที่รุ่งโรจน์สดใส ดีงาม ตามความฝันใฝ่ของประชาชนไทยที่มีมาแต่เนิ่นนาน
โดยในอนาคตอันใกล้นี้ เมื่อขบวนการการเมืองภาคประชาชนได้ก้าวขึ้นมาแสดงบทบาท “เจ้าภาพ” ในการสร้างประวัติศาสตร์ยุคใหม่นี้ได้สำเร็จแล้ว “กฎเกณฑ์” ใหม่ก็จะเกิดขึ้น นั่นคือประชาชนคนไทยทุกคนมีอิสรเสรีภาพที่จะพัฒนาชีวิตตนอย่างรอบด้าน เจ้าหน้าที่ข้าราชการจะอุทิศตัว “รับใช้ประชาชน” ตำรวจทหารจะเป็นลูกหลานที่ดีของประชาชน ปกป้องประเทศชาติและคุ้มครองประชาชน และที่สำคัญคือ ในหัวใจของประชาชนคนไทยทุกคนจะเทิดทูนไว้ซึ่ง “ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์” รักษาความเป็นไทยไว้สุดชีวิต
พร้อมกันนั้น การเมืองของประเทศไทยก็จะก้าวเข้าสู่ยุคของ “การเมืองใหม่” ผู้ใช้อำนาจจะยึดหลักธรรมาภิบาล สะอาดโปร่งใส ประเทศไทยจะก้าวเข้าสู่ความเป็น “นิติรัฐ” ในระดับบูรณาการ สถาบันนิติบัญญัติ (สภาประชาชน) สถาบันบริหาร (รัฐบาล) และสถาบันตุลาการ (ศาล) จะทำหน้าที่ทั้ง “คาน” และ “ประสาน” อำนาจซึ่งกันและกัน เพื่อให้กระบวนการขับเคลื่อนของการเมืองไทย เอื้ออำนวยต่อการพัฒนาประเทศไทยในด้านต่างๆ มากที่สุด เป็นผลดีต่อการดำเนินชีวิตของประชาชนชาวไทยมากที่สุด
“สังคมใหม่” ในสภาพแวดล้อมและบรรยากาศใหม่อันสดใสเช่นนั้น ประชาชนชาวไทยจะตระหนักถึงผลประโยชน์ร่วมกัน ให้ความสำคัญของผลประโยชน์ส่วนรวม รักชาติรักความเป็นไทยยิ่งขึ้น มีความหวัง สามารถมองเห็นอนาคตอันสดใสของประเทศไทยอันเป็นที่รักของเรา ที่เราทุกคนสามารถมีส่วนร่วมในการสร้างสรรค์ให้เจริญรุ่งเรืองและก้าวหน้ารอบด้านได้ตลอดเวลา โดยไม่มีใครคนใด กลุ่มใดผูกขาดตัดตอน ทั่วทั้งสังคมจะอบอวลไปด้วยไออุ่นของความเอื้ออาทร สามัคคี สมานฉันท์
นั่นหมายถึงว่า คนไทย โดยเฉพาะคือลูกหลานไทย ก็จะได้มาซึ่ง “ชีวิตใหม่”
ทั้งนี้เพราะ เมื่อกลุ่มทุนพากันทุ่มทุน ซื้อเสียงในการเลือกตั้งทุกครั้ง สามารถผูกขาดการเป็นตัวแทนเข้าไปนั่งในสภาผู้แทนราษฎร จัดตั้งคณะรัฐบาล ก็หนีไม่พ้นที่จะดำเนินนโยบายบนฐานของการถือเอาผลประโยชน์ของตัวเองเป็นที่ตั้ง เพื่อ “ถอนทุน” และวางฐานสำหรับการครองอำนาจอย่างยาวนานที่สุดเท่าที่จะทำได้ ประพฤติปฏิบัติสิ่งใดก็ล้วนแต่เป็นสิ่งเลวร้ายในสายตาประชาชน สร้างความผิดหวังไปทั่ว
ในสายตาประชาชน “ระบบประชาธิปไตยตัวแทน” ของกลุ่มทุนไทย ก็คือ “เนื้อร้าย” ในโครงสร้างของระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ที่จำเป็นต้องขจัดทิ้ง แล้วบรรจุ “ระบบประชาธิปไตยของประชาชน” หรือ “ระบบประชาธิปไตยที่ประชาชนมีส่วนร่วม” เข้าแทนที่ ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขจึงจะพัฒนาเข้มแข็ง แสดงบทบาทสร้างสรรค์ ยังประโยชน์สูงสุดแก่ประเทศชาติและปวงชนชาวไทย
เปลี่ยนถ่าย “ตัวแปรหลัก”
ในสายตาประชาชน องค์ประกอบของ “เนื้อร้าย” ในระบบการเมืองเลือกตั้งที่กลุ่มทุนเป็นเจ้าภาพ ที่สำคัญที่สุด แสดงบทบาทเป็น “ตัวแปรหลัก” ที่กำหนดตัวแปรอื่นๆ อย่างสิ้นเชิง ก็คือ กระบวนการได้มาซึ่งคณะบุคคลผู้ใช้อำนาจบริหารประเทศ เริ่มตั้งแต่การซื้อเสียงในการเลือกตั้ง เข้าไปนั่งในสภาฯ แล้วรวมกลุ่มกันเสนอตัวผู้จะเป็นรัฐมนตรี ใช้อำนาจบริหารประเทศ ซึ่งในที่สุดแล้วพวกเขาก็จะได้ “ตัวแทน” เข้าไปใช้อำนาจบริหารประเทศ สนองประโยชน์ให้แก่กลุ่มทุนในทุกๆ ด้าน
มองในภาพรวม จึงเห็นได้อย่างชัดเจนว่า ภารกิจใจกลางของขบวนการการเมืองภาคประชาชนจึงอยู่ที่การเปลี่ยนถ่าย “ตัวแปรหลัก” หรือ “เนื้อใน” ของระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข จาก “ตัวแปรเก่า” ที่เป็นพิษเป็นภัยทำร้ายประเทศชาติ ทำร้ายประชาชนมาโดยตลอด เป็น “ตัวแปรใหม่” ที่จะสร้างคุณูปการยิ่งใหญ่ให้แก่ประเทศชาติและประชาชนสูงสุด อย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์การเมืองไทย
กระนั้น กระบวนการถ่ายเนื้อร้าย ซึ่งหลักๆ ก็คือการเปลี่ยนถ่ายตัวแปรหลัก “เก่า” ออกจากโครงร่างระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข แล้วบรรจุ “เนื้อดี” ซึ่งก็คือตัวแปรหลัก “ใหม่” เข้าแทนที่นั้น ภาคประชาชนจำเป็นต้องเพิ่ม “ตัวแปรหลัก” ใหม่ อีก 2 รวมเป็น 3 ประการ ดังนี้
1. กระบวนการได้มาซึ่งคณะผู้ใช้อำนาจบริหารประเทศ ภายใต้การกำกับของขบวนการการเมืองภาคประชาชน
2. คณะผู้ใช้อำนาจบริหารประเทศ ที่ต้องเพียบพร้อมด้วยคุณธรรม จริยธรรม ความรู้ความสามารถ สามารถดำเนินการบริหารประเทศโดยถือเอาผลประโยชน์ของประชาชนเป็นตัวตั้งได้เป็นอย่างดีตั้งแต่ต้นจนปลาย
3. กระบวนการติดตามตรวจสอบ ประเมินผล การปฏิบัติภาระหน้าที่ของคณะผู้ใช้อำนาจบริหารประเทศ โดยให้เป็นตามตัวบทกฎหมายอย่างเคร่งครัด
ตัวแปรหลักทั้งสามนี้ จะทำหน้าที่ขับเคลื่อนระบบประชาธิปไตยของประชาชน ที่ประชาชนมีส่วนร่วมได้อย่างเป็นจริง เกิดมรรคผลที่คนไทยเราเฝ้าใฝ่หามานานนับศตวรรษ
ด้วยเหตุนี้ ภารกิจของขบวนการการเมืองภาคประชาชนในการสร้างประวัติศาสตร์การเมืองใหม่ขึ้นในประเทศไทย จึงมีอยู่สองชั้นที่เชื่อมโยงกัน เป็นเหตุปัจจัยซึ่งกันและกัน ดังนี้
ชั้นที่หนึ่ง จะต้องเปลี่ยนแปลงกระบวนการได้มาซึ่งคณะผู้ใช้อำนาจบริหารประเทศ โดยให้มีหลักประกันในทุกขั้นตอนว่า กลุ่มบุคคลที่จะเข้ามาใช้อำนาจบริหารประเทศเหล่านั้น จะสามารถดำเนินนโยบายที่เป็นประโยชน์แก่ประชาชนส่วนใหญ่ได้อย่างแท้จริง
ชั้นที่สอง จะต้องมีกระบวนการกำกับ ติดตาม ตรวจสอบ ประเมินผล การปฏิบัติภาระหน้าที่ของคณะผู้ใช้อำนาจบริหารประเทศ อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นพลวัต และอย่างเป็นบูรณาการ
การทำงานของ “ตัวแปรใหม่”
“ตัวแปรใหม่” โดยเฉพาะตัวแปรหลักประการแรก ที่เป็น “หัวใจ” ของการเมืองใหม่ที่ขบวนการการเมืองภาคประชาชนเป็นเจ้าภาพ (กระบวนการได้มาซึ่งคณะผู้ใช้อำนาจบริหารประเทศ ภายใต้การกำกับของขบวนการการเมืองภาคประชาชน) ตามเค้าโครงความคิดที่ปรากฏออกมาจากขบวนการการเมืองภาคประชาชน อาทิ พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย มีที่มาจากการคัดสรรของประชาชนในภาคส่วนต่างๆ ตามสัดส่วนที่เหมาะสม ดำเนินไปภายใต้การกำกับของขบวนการการเมืองภาคประชาชน ประกอบกันขึ้นเป็นสภาประชาชน
การจัดตั้งรัฐบาล ต้องผ่านกระบวนการของสภาประชาชน ตามกฎหมายรัฐธรรมนูญที่บัญญัติขึ้นตามเจตนารมณ์ของระบบประชาธิปไตยที่ประชาชนมีส่วนร่วม ในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เพื่อให้ได้มาซึ่งคณะผู้ใช้อำนาจบริหารประเทศที่มีคุณสมบัติเพียบพร้อมรอบด้าน ทำหน้าที่บริหารประเทศ ดำเนินนโยบายที่ถือเอาผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนเป็นที่ตั้ง
“ตัวแปรใหม่”จะสร้างกฎเกณฑ์ การเมือง สังคมชีวิต “ใหม่”
“ตัวแปรเก่า” กำหนดให้การเมืองพัฒนาไปตามกฎเกณฑ์ของ “วงจรอุบาทว์” โดยกลุ่มผู้ใช้อำนาจมุ่งกอบโกยประโยชน์ใส่ตนเป็นหลัก ประชาชนส่วนใหญ่ไม่ได้รับประโยชน์เท่าที่ควร ถูกเอารัดเอาเปรียบทุกวิถีทาง เกิดช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจน ระหว่างผู้มีอภิสิทธิ์กับผู้เสียสิทธิ์มากขึ้นเรื่อยๆ เกิดความเหลื่อมล้ำและไม่เป็นธรรมในสังคมชัดเจนยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ประเทศไม่ได้รับการพัฒนาอย่างรอบด้าน การเมืองน้ำเน่า (อำนาจตกอยู่ในมือกลุ่มนักการเมืองเลือกตั้ง มีการใช้เงินซื้อเสียง มีการซื้อขายนักการเมืองเลือกตั้ง ) เศรษฐกิจไม่แข็งแกร่ง (พึ่งพาต่างชาติ) สังคมวิกฤต(ขาดความสงบร่มเย็น) การศึกษาเว้าแหว่ง (ทั้งระบบและบุคลากร) วัฒนธรรมเสื่อมทราม (ขาดการพัฒนา กลวงและไร้แก่นสาร) ระบบราชการไร้ประสิทธิภาพ (มีพฤติกรรมฉ้อราษฎร์บังหลวงอยู่ทั่วไป เล่นพรรคเล่นพวก ไม่ส่งเสริมคนดีคนเก่ง) คุณธรรมและจิตใจของผู้คนตกต่ำ (ไม่แยกผิดแยกถูก ไม่ใช้ปัญญา) ชีวิตโดยรวมของประชาชนชาวไทยจึงไร้ศักดิ์ศรี ด้อยคุณภาพ ขาดความสุข
ตรงกันข้าม “ตัวแปรใหม่” ที่จะเกิดขึ้น อันเป็นผลพวงของการเคลื่อนไหวทางการเมืองของขบวนการการเมืองภาคประชาชนโดยตรง (ในปัจจุบันก็คือพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย สมัชชาประชาชนแห่งประเทศไทย และองค์กรอื่นๆ ทั้งในส่วนกลางและภูมิภาค ที่กำลังแตกตัวขึ้นอย่างรวดเร็วดุจเห็ดหลังฝน โดยองค์กรเหล่านี้จะเชื่อมโยงกันเข้าเป็นเครือข่ายระดับชาติอย่างเป็นพลวัต และอย่างเป็นบูรณาการ พัฒนาเติบใหญ่ขึ้นเป็นกำลังหลักของการสร้างประวัติศาสตร์ยุคใหม่ให้แก่ประเทศไทย) จะนำประเทศก้าวไปตามเส้นทางใหม่ที่รุ่งโรจน์สดใส ดีงาม ตามความฝันใฝ่ของประชาชนไทยที่มีมาแต่เนิ่นนาน
โดยในอนาคตอันใกล้นี้ เมื่อขบวนการการเมืองภาคประชาชนได้ก้าวขึ้นมาแสดงบทบาท “เจ้าภาพ” ในการสร้างประวัติศาสตร์ยุคใหม่นี้ได้สำเร็จแล้ว “กฎเกณฑ์” ใหม่ก็จะเกิดขึ้น นั่นคือประชาชนคนไทยทุกคนมีอิสรเสรีภาพที่จะพัฒนาชีวิตตนอย่างรอบด้าน เจ้าหน้าที่ข้าราชการจะอุทิศตัว “รับใช้ประชาชน” ตำรวจทหารจะเป็นลูกหลานที่ดีของประชาชน ปกป้องประเทศชาติและคุ้มครองประชาชน และที่สำคัญคือ ในหัวใจของประชาชนคนไทยทุกคนจะเทิดทูนไว้ซึ่ง “ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์” รักษาความเป็นไทยไว้สุดชีวิต
พร้อมกันนั้น การเมืองของประเทศไทยก็จะก้าวเข้าสู่ยุคของ “การเมืองใหม่” ผู้ใช้อำนาจจะยึดหลักธรรมาภิบาล สะอาดโปร่งใส ประเทศไทยจะก้าวเข้าสู่ความเป็น “นิติรัฐ” ในระดับบูรณาการ สถาบันนิติบัญญัติ (สภาประชาชน) สถาบันบริหาร (รัฐบาล) และสถาบันตุลาการ (ศาล) จะทำหน้าที่ทั้ง “คาน” และ “ประสาน” อำนาจซึ่งกันและกัน เพื่อให้กระบวนการขับเคลื่อนของการเมืองไทย เอื้ออำนวยต่อการพัฒนาประเทศไทยในด้านต่างๆ มากที่สุด เป็นผลดีต่อการดำเนินชีวิตของประชาชนชาวไทยมากที่สุด
“สังคมใหม่” ในสภาพแวดล้อมและบรรยากาศใหม่อันสดใสเช่นนั้น ประชาชนชาวไทยจะตระหนักถึงผลประโยชน์ร่วมกัน ให้ความสำคัญของผลประโยชน์ส่วนรวม รักชาติรักความเป็นไทยยิ่งขึ้น มีความหวัง สามารถมองเห็นอนาคตอันสดใสของประเทศไทยอันเป็นที่รักของเรา ที่เราทุกคนสามารถมีส่วนร่วมในการสร้างสรรค์ให้เจริญรุ่งเรืองและก้าวหน้ารอบด้านได้ตลอดเวลา โดยไม่มีใครคนใด กลุ่มใดผูกขาดตัดตอน ทั่วทั้งสังคมจะอบอวลไปด้วยไออุ่นของความเอื้ออาทร สามัคคี สมานฉันท์
นั่นหมายถึงว่า คนไทย โดยเฉพาะคือลูกหลานไทย ก็จะได้มาซึ่ง “ชีวิตใหม่”