ตลอดระยะเวลา 10 กว่าปีที่ผ่านมา “แสงแดด” ปักหลักเขียนคอลัมน์ “พระอาทิตย์สาดส่อง” ทุกสัปดาห์ โดยมุ่งเน้นไปที่ประเด็นเหตุการณ์สำคัญแต่ละสัปดาห์ เรียกว่า “เกาะติด” เชิงสรุปและวิพากษ์วิจารณ์พร้อมวิเคราะห์ ในรูปแบบที่เรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า “Current Affair– ทันเหตุการณ์” โดยเฉพาะด้านการเมือง ที่มีปริมาณสูงถึงร้อยละ 75-80 นอกนั้นเป็นประเด็นทางเศรษฐกิจและสังคม นานๆ ครั้งจะฉีกแนวไปทางด้านต่างประเทศและสิ่งแวดล้อม
ต้องขอสารภาพว่า ปัจจุบันนี้เริ่ม “เบื่อ-เอือม” กับข่าวคราวด้านการเมืองที่สามารถวิพากษ์วิจารณ์และวิเคราะห์ได้ตลอดเวลา โดยเฉพาะ “สังคมการเมืองไทย” ที่เราต้องยอมรับความจริงว่า “การเมืองไทยเน่า!” เนื่องด้วย กรณีเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นนั้นต่างมีที่มาที่ไปที่ “ไม่ชอบมาพากล” และ “ไม่ถูกทำนองคลองธรรม”
พูดง่ายๆ ก็หมายความว่า เราจะเรียกร้องหา “การเมืองเชิงอุดมคติ” ก็ต้องตอบว่า “ฝันไปเถอะ!” เพราะจะไม่มีทางเกิดขึ้น เพียงแต่ว่า “การเมืองไทย” นั้น แทบ “ไร้-ปราศจากอุดมคติ” อย่างสิ้นเชิง และยิ่งนับวันยิ่งเลวร้ายลงไปทุกขณะ โดยเฉพาะ “ธุรกิจการเมือง!”
ไม่ว่า นักวิชาการ สื่อสารมวลชน และกลุ่มคณะบุคคล ที่เพียรพยายามสร้างให้การเมืองเป็นธรรม โปร่งใส ที่เรียกว่า “ธรรมาภิบาล” นั้น ก็จะถูกต่อว่าต่อขาน แถมหัวเราะเยาะจากบรรดานักการเมืองว่า “จ้องจับผิด” และ “มองโลกในแง่ร้าย” ทั้งๆ ที่เราต่างตระหนักดีว่า “ไอ้เจ้าบรรดานักการเมือง” ส่วนใหญ่นั้น “ทุจริต-คดโกง” ตั้งแต่เดินเข้าสู่สนามการเมืองแล้ว จนต้องเรียกว่า “นักซื้อตั้ง-นักเลือกตั้ง” เพราะ “จัดตั้ง-ซื้อตั้ง” ทั้งสิ้น จนเมื่อได้ “อำนาจ” แล้วก็เอาไป “เสาะแสวง” หา “ผลกำไร-ผลประโยชน์” กับประชาชนและชาติบ้านเมือง ซึ่งนักการเมืองส่วนใหญ่ขอเน้นว่าส่วนใหญ่ เข้าข่ายประเภท “หน้าไหว้หลังหลอก” ทั้งสิ้น
การที่ประชาชนส่วนใหญ่ โดยเฉพาะพี่น้องประชาชนที่อยู่ตามต่างจังหวัด ไม่ว่าภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (อีสาน) ตลอดจนพี่น้องประชาชนโดยทั่วไปที่มี “สถานะทางสังคม-เศรษฐกิจ (Socio-Economic Status)” อยู่ใน “ระดับล่าง” หรือจะกล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า “ยากจน-การศึกษาน้อย” ทั้งในเมืองใหญ่ เมืองหลวง และแม้กระทั่งในกรุงเทพมหานคร ซึ่งเราก็ต้อง “ทำใจ-ยอมรับ” ว่า เหตุผลสำคัญที่พี่น้องประชาชนในระดับนี้ ทั้งการศึกษาและเศรษฐกิจ ก็ต้องเป็นปกติธรรมดาที่ไม่ได้คิดอะไรมากมายนัก เพราะเห็นแก่ผลประโยชน์เฉพาะหน้า ถึงถูก “จัดตั้ง-ซื้อตั้ง” ได้อย่างง่ายดาย
เท่านั้นยังไม่พอ “กลุ่มประชาชนระดับนี้” แน่นอนต่าง “เกรงกลัว” ต่อ “อิทธิพล” ของ “อำนาจการเมือง” จากบรรดานักการเมืองเหล่านี้ ที่อาจถูก “คุกคาม” ได้ ถ้า “แตกแถว” ดังนั้น จึงเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ “สังคมการเมืองไทย” ต้องตกอยู่ในสภาวะเช่นนี้ ไม่ว่าจะมีการเลือกตั้งกี่ครั้งกี่หน “เงิน” จะเป็นปัจจัยหลักมาโดยตลอด จนสภาพการเมืองไทยจึงตกอยู่กับ “ระบบสังคมการเมืองเน่า” เช่นเป็นมาโดยตลอด!
ขอย้ำอีกครั้งว่า “ระบบเงิน-ระบบนักเลง” เป็นตัวแปรหลักของระบบสังคมการเมืองไทย ที่ฝังรากลึกเป็นปัญหามาโดยตลอด เราถึงได้การเมืองที่เรียกขานกันว่า “ประชาธิปไตย” ชนิด “แอบอ้าง” ที่จริงแล้วเป็น “ประชาธิปไตยจอมปลอม” ที่น่าจะเรียกขานกันให้ชัดเจนไปเลยว่า “ธนาธิปไตย-โจราธิปไตย”
ปัญหาของการเมืองไทยที่ล้มลุกคลุกคลานมาโดยตลอด โดยเฉพาะในช่วงเกือบ 20 ปีที่ผ่านมา เกิดจาก “นักการเมือง-พรรคการเมือง” ทั้งสิ้น ที่กระทำผิดกฎหมายเลือกตั้งมาโดยตลอด ด้วย “การซื้อสิทธิ ขายเสียง” และที่สำคัญเกินเลยไปมากกว่านั้น คือ “ธุรกิจการเมือง” ที่ต้องมี “การลงทุน” เมื่อ “ลงทุน” ก็ต้อง “ถอนทุน” เป็นธรรมดาของธุรกิจ
เพียงแต่ว่าเป็น “การถอนทุน” ที่ต้องเรียกว่า “ค้ากำไรเกินควร!” ด้วยการบวกราคาต้นทุนที่ลงทุนไว้กับ “การซื้อตั้ง” ประมาณร้อยละ 30-35 ในแต่ละโครงการ ซึ่งมักเป็นโปรเจกต์ยักษ์ๆ ที่เรียกว่า “อภิมหาโปรเจกต์” หลักหลายหมื่นล้าน เท่านั้นยังไม่พอ ในแต่ละโครงการ นอกเหนือจาก “ค่าคอมมิชชัน” ร้อยละ 30-35 ดังที่กล่าวไปแล้ว บ่อยครั้งยังมีส่วนเกี่ยวข้องกับ “การรับงาน” จากโครงการอีกต่างหาก
จากข้อมูลที่ได้มานั้น ปรากฏว่ามีการนินทาว่า “การค้ากำไรเกินควร” ของบรรดานักการเมืองนั้น ยังบวก “ดอกเบี้ย-กำไร” อีกหลายเท่าตัวทีเดียว เมื่อสิริรวมยอดแล้วอาจจะไปแตะถึง 200-300 เปอร์เซ็นต์ มิน่าใครๆ จึงอยากลงสู่สนามการเมือง
ความจริงที่เราต้องยอมรับว่า “การเมืองไทย” ในปัจจุบันได้ก้าวกระโดดสู่ “ธุรกิจการเมือง” มาอย่างชนิดที่เรียกว่า “ถอนตัวไม่ขึ้น!” และ/หรือ “แก้ไขยาก!” โดย “กลุ่มทุนการเมืองขนาดใหญ่” ปัจจุบัน “น่ากลัว” กว่าในอดีตที่อาจมีการลงทุนของแต่ละผู้สมัครเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) เพียงแค่หลัก 2-3 ล้านบาท สูงสุดไม่เกิน 5-8 ล้านบาท แต่ปัจจุบันจะต้องใช้เม็ดเงินสูงถึงหลักหลายสิบล้านบาทถึงจะได้มาเป็น “ผู้แทนราษฎร” ได้!
แต่ที่เลวร้ายไปมากกว่านั้น เมื่อต้องการจะไต่สู่บันไดขั้นที่สองคือ “รัฐมนตรี-เสนาบดี” อาจจะต้องใช้เงินมากถึง 200-300 ล้าน ในการนั่งบัลลังก์ “รัฐมนตรี” ไม่ว่าจะเป็นระดับรัฐมนตรีช่วย และ/หรือ “ว่าการฯ” แต่ถ้าต้องการนั่งกระทรวงระดับเกรดเอ มีโปรเจกต์เยอะและจำนวนเงินมาก น่าจะไปแตะที่หลัก 500 ล้านบาททีเดียว
ถามว่า เมื่อมี “การลงทุน” ด้วยเงินจำนวนมากมายเช่นนี้ และไม่สำคัญเท่ากับว่าเมื่อเป็น “ธุรกิจ” แล้ว แน่นอน “การถอนทุน” ย่อมมีการเกิดขึ้น และเป็นถอนทุนชนิดที่เรียกว่า “อักลี (Ugly)-น่าเกลียด!” ด้วยการ “ทุจริต-คดโกง-ฉ้อราษฎร์บังหลวง” อย่างมหาศาลและมโหฬาร
กรณีทั้งหลายทั้งปวงข้างต้นเป็น “วงจรอุบาทว์” ของการเมืองไทยมายาวนานนับ 76 ปี เพียงแต่ว่า ช่วงเกือบ 15-16 ปีที่ผ่านมา ยิ่งหนักข้อและสาหัสสากรรจ์มากยิ่งขึ้น แถม “เบียดเบียน-รังแก” กลุ่มที่มิใช่พรรคพวกตนเองอีกต่างหาก!
“วงจรอุบาทว์ของธุรกิจการเมืองไทย” ในช่วงระยะเวลา 10 กว่าปีที่ผ่านมา ต้องขอตอกย้ำว่าเกิดจากบรรดา “นักธุรกิจ-นายทุนการเมือง” ทั้งสิ้น และนับวันจะยิ่งทวีคูณความน่ากลัวมากยิ่งขึ้น และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง “ความวุ่นวาย” ทางการเมืองที่เกิดขึ้นในช่วงระยะเวลา 7-8 ปีที่ผ่านมา จนกระทั่งปัจจุบันก็ล้วนเกิดจาก “วิชามาร” ทางการเมืองแทบทั้งสิ้น
หลายๆ ฝ่ายกังวลกันมากว่า “ทางตัน” ทางการเมืองไทยกำลังก่อตัวขึ้นอีกครั้ง ซึ่งขอฟันธงอย่างตรงไปตรงมาเลยว่า “ทางตันเกิดขึ้น แต่มีทางออก!” และที่สำคัญที่สุด “ปัญหาสภาพการเมือง” ขณะนี้ มิใช่ทำให้ชาติบ้านเมืองต้องถึงขั้น “ล้มละลาย-ล่มสลาย” ไปในบัดดล
ถามว่า การที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ทั้งในส่วนของคณะอนุกรรมการฯ และคณะกรรมการฯ ชุดใหญ่ได้วินิจฉัยว่า “การกระทำผิด พ.ร.บ.เลือกตั้ง” และ “พ.ร.บ.พรรคการเมือง” เกิดขึ้นจริงหรือไม่กับการเลือกตั้งที่ผ่านมา ก็ต้องตอบฟันธงอย่างตรงไปตรงมาว่า “ผิดจริง!” ของทั้งสามพรรคการเมือง โดยเฉพาะในกรณีของคุณยงยุทธ ติยะไพรัช ที่มีหลักฐานและข้อมูลมัดชัดเจน ทั้งนี้ แน่นอนต้องมีการปฏิเสธทุกข้อหา!
ปัญหาการเมืองไทยที่ดูเสมือนว่า “ปั่นป่วน!” อยู่ขณะนี้ ล้วนเกิดจากกระบวนการกระทำผิดกฎหมายเลือกตั้งทั้งสิ้น แต่ถ้าถามว่า “ไร้เสถียรภาพ” หรือก็ต้องตอบว่า “ยังไม่ถึงขนาดนั้น!”
กระบวนการขั้นตอนในการพิจารณาวินิจฉัยขณะนี้ในส่วนของ “ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้ง-ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง-ศาลรัฐธรรมนูญ” ล้วนเป็นไปตามตัวบทกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมทั้งสิ้น และต้องขอกล่าวว่า “การเมืองไทยจะพัฒนาได้ กระบวนการตุลาการจะเป็นกลไกตรวจสอบและกลั่นกรอง พร้อมพัฒนาประชาธิปไตยให้โปร่งใสและเป็นธรรมมากขึ้น”
ลำพังเราจะมาหวังพึ่งบรรดาพรรคการเมืองทั้งหลายในการสร้าง “ธรรมาภิบาล” นั้นต้องเรียนตามตรงว่า “ฝันไปเถอะ!” กระบวนการ “ตุลาภิวัตน์” เท่านั้น ในขณะนี้ ถ้าไม่ถูกนายทุนแทรกแซงครอบงำ “ประชาธิปไตยจะเบ่งบาน” นับแต่นี้ต่อไป และ “คนดี” จะเดินเข้ามาช่วยบริหารชาติบ้านเมืองด้วยความสุจริต!
ในกรณีของ “การยุบพรรค” นั้น เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันมากว่า จะทำให้เกิดความวุ่นวายกับชาติบ้านเมือง จึงขอเถียงว่า “ไม่เป็นเช่นนั้นเด็ดขาด!” เนื่องด้วยจะมีแต่เพียงคณะกรรมการบริหารพรรคประมาณ 100 คน ที่ต้องถูกลงโทษและเว้นวรรคบรรดาส.ส.ที่มิใช่กรรมการบริหารพรรคก็ไปสังกัดพรรคการเมืองใหม่ได้ ซึ่งเท่าที่ทราบมาว่าได้เตรียม “พรรคสำรอง” ไว้เรียบร้อยแล้ว
หรือจะแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 237 เพื่อตนเองนั้น ขอบอกได้เลยว่า ประชาชนคงไม่ยอมเด็ดขาด และถ้า “ดื้อดัน” รับรองเลยว่า “ชาติบ้านเมืองวิกฤต” อย่างแน่นอน
เลวร้ายที่สุดก็คือ “การมีรัฐบาลใหม่” จะด้วยการโหวตหานายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีใหม่ หรือ “ยุบสภา” และ “เลือกตั้งใหม่” ก็แค่เท่านั้น
ขอย้ำว่า “ชาติบ้านเมืองไม่ล่มสลายตายจาก” เพราะนักธุรกิจการเมืองต้องถูกลงโทษหล๊อก!
ต้องขอสารภาพว่า ปัจจุบันนี้เริ่ม “เบื่อ-เอือม” กับข่าวคราวด้านการเมืองที่สามารถวิพากษ์วิจารณ์และวิเคราะห์ได้ตลอดเวลา โดยเฉพาะ “สังคมการเมืองไทย” ที่เราต้องยอมรับความจริงว่า “การเมืองไทยเน่า!” เนื่องด้วย กรณีเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นนั้นต่างมีที่มาที่ไปที่ “ไม่ชอบมาพากล” และ “ไม่ถูกทำนองคลองธรรม”
พูดง่ายๆ ก็หมายความว่า เราจะเรียกร้องหา “การเมืองเชิงอุดมคติ” ก็ต้องตอบว่า “ฝันไปเถอะ!” เพราะจะไม่มีทางเกิดขึ้น เพียงแต่ว่า “การเมืองไทย” นั้น แทบ “ไร้-ปราศจากอุดมคติ” อย่างสิ้นเชิง และยิ่งนับวันยิ่งเลวร้ายลงไปทุกขณะ โดยเฉพาะ “ธุรกิจการเมือง!”
ไม่ว่า นักวิชาการ สื่อสารมวลชน และกลุ่มคณะบุคคล ที่เพียรพยายามสร้างให้การเมืองเป็นธรรม โปร่งใส ที่เรียกว่า “ธรรมาภิบาล” นั้น ก็จะถูกต่อว่าต่อขาน แถมหัวเราะเยาะจากบรรดานักการเมืองว่า “จ้องจับผิด” และ “มองโลกในแง่ร้าย” ทั้งๆ ที่เราต่างตระหนักดีว่า “ไอ้เจ้าบรรดานักการเมือง” ส่วนใหญ่นั้น “ทุจริต-คดโกง” ตั้งแต่เดินเข้าสู่สนามการเมืองแล้ว จนต้องเรียกว่า “นักซื้อตั้ง-นักเลือกตั้ง” เพราะ “จัดตั้ง-ซื้อตั้ง” ทั้งสิ้น จนเมื่อได้ “อำนาจ” แล้วก็เอาไป “เสาะแสวง” หา “ผลกำไร-ผลประโยชน์” กับประชาชนและชาติบ้านเมือง ซึ่งนักการเมืองส่วนใหญ่ขอเน้นว่าส่วนใหญ่ เข้าข่ายประเภท “หน้าไหว้หลังหลอก” ทั้งสิ้น
การที่ประชาชนส่วนใหญ่ โดยเฉพาะพี่น้องประชาชนที่อยู่ตามต่างจังหวัด ไม่ว่าภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (อีสาน) ตลอดจนพี่น้องประชาชนโดยทั่วไปที่มี “สถานะทางสังคม-เศรษฐกิจ (Socio-Economic Status)” อยู่ใน “ระดับล่าง” หรือจะกล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า “ยากจน-การศึกษาน้อย” ทั้งในเมืองใหญ่ เมืองหลวง และแม้กระทั่งในกรุงเทพมหานคร ซึ่งเราก็ต้อง “ทำใจ-ยอมรับ” ว่า เหตุผลสำคัญที่พี่น้องประชาชนในระดับนี้ ทั้งการศึกษาและเศรษฐกิจ ก็ต้องเป็นปกติธรรมดาที่ไม่ได้คิดอะไรมากมายนัก เพราะเห็นแก่ผลประโยชน์เฉพาะหน้า ถึงถูก “จัดตั้ง-ซื้อตั้ง” ได้อย่างง่ายดาย
เท่านั้นยังไม่พอ “กลุ่มประชาชนระดับนี้” แน่นอนต่าง “เกรงกลัว” ต่อ “อิทธิพล” ของ “อำนาจการเมือง” จากบรรดานักการเมืองเหล่านี้ ที่อาจถูก “คุกคาม” ได้ ถ้า “แตกแถว” ดังนั้น จึงเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ “สังคมการเมืองไทย” ต้องตกอยู่ในสภาวะเช่นนี้ ไม่ว่าจะมีการเลือกตั้งกี่ครั้งกี่หน “เงิน” จะเป็นปัจจัยหลักมาโดยตลอด จนสภาพการเมืองไทยจึงตกอยู่กับ “ระบบสังคมการเมืองเน่า” เช่นเป็นมาโดยตลอด!
ขอย้ำอีกครั้งว่า “ระบบเงิน-ระบบนักเลง” เป็นตัวแปรหลักของระบบสังคมการเมืองไทย ที่ฝังรากลึกเป็นปัญหามาโดยตลอด เราถึงได้การเมืองที่เรียกขานกันว่า “ประชาธิปไตย” ชนิด “แอบอ้าง” ที่จริงแล้วเป็น “ประชาธิปไตยจอมปลอม” ที่น่าจะเรียกขานกันให้ชัดเจนไปเลยว่า “ธนาธิปไตย-โจราธิปไตย”
ปัญหาของการเมืองไทยที่ล้มลุกคลุกคลานมาโดยตลอด โดยเฉพาะในช่วงเกือบ 20 ปีที่ผ่านมา เกิดจาก “นักการเมือง-พรรคการเมือง” ทั้งสิ้น ที่กระทำผิดกฎหมายเลือกตั้งมาโดยตลอด ด้วย “การซื้อสิทธิ ขายเสียง” และที่สำคัญเกินเลยไปมากกว่านั้น คือ “ธุรกิจการเมือง” ที่ต้องมี “การลงทุน” เมื่อ “ลงทุน” ก็ต้อง “ถอนทุน” เป็นธรรมดาของธุรกิจ
เพียงแต่ว่าเป็น “การถอนทุน” ที่ต้องเรียกว่า “ค้ากำไรเกินควร!” ด้วยการบวกราคาต้นทุนที่ลงทุนไว้กับ “การซื้อตั้ง” ประมาณร้อยละ 30-35 ในแต่ละโครงการ ซึ่งมักเป็นโปรเจกต์ยักษ์ๆ ที่เรียกว่า “อภิมหาโปรเจกต์” หลักหลายหมื่นล้าน เท่านั้นยังไม่พอ ในแต่ละโครงการ นอกเหนือจาก “ค่าคอมมิชชัน” ร้อยละ 30-35 ดังที่กล่าวไปแล้ว บ่อยครั้งยังมีส่วนเกี่ยวข้องกับ “การรับงาน” จากโครงการอีกต่างหาก
จากข้อมูลที่ได้มานั้น ปรากฏว่ามีการนินทาว่า “การค้ากำไรเกินควร” ของบรรดานักการเมืองนั้น ยังบวก “ดอกเบี้ย-กำไร” อีกหลายเท่าตัวทีเดียว เมื่อสิริรวมยอดแล้วอาจจะไปแตะถึง 200-300 เปอร์เซ็นต์ มิน่าใครๆ จึงอยากลงสู่สนามการเมือง
ความจริงที่เราต้องยอมรับว่า “การเมืองไทย” ในปัจจุบันได้ก้าวกระโดดสู่ “ธุรกิจการเมือง” มาอย่างชนิดที่เรียกว่า “ถอนตัวไม่ขึ้น!” และ/หรือ “แก้ไขยาก!” โดย “กลุ่มทุนการเมืองขนาดใหญ่” ปัจจุบัน “น่ากลัว” กว่าในอดีตที่อาจมีการลงทุนของแต่ละผู้สมัครเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) เพียงแค่หลัก 2-3 ล้านบาท สูงสุดไม่เกิน 5-8 ล้านบาท แต่ปัจจุบันจะต้องใช้เม็ดเงินสูงถึงหลักหลายสิบล้านบาทถึงจะได้มาเป็น “ผู้แทนราษฎร” ได้!
แต่ที่เลวร้ายไปมากกว่านั้น เมื่อต้องการจะไต่สู่บันไดขั้นที่สองคือ “รัฐมนตรี-เสนาบดี” อาจจะต้องใช้เงินมากถึง 200-300 ล้าน ในการนั่งบัลลังก์ “รัฐมนตรี” ไม่ว่าจะเป็นระดับรัฐมนตรีช่วย และ/หรือ “ว่าการฯ” แต่ถ้าต้องการนั่งกระทรวงระดับเกรดเอ มีโปรเจกต์เยอะและจำนวนเงินมาก น่าจะไปแตะที่หลัก 500 ล้านบาททีเดียว
ถามว่า เมื่อมี “การลงทุน” ด้วยเงินจำนวนมากมายเช่นนี้ และไม่สำคัญเท่ากับว่าเมื่อเป็น “ธุรกิจ” แล้ว แน่นอน “การถอนทุน” ย่อมมีการเกิดขึ้น และเป็นถอนทุนชนิดที่เรียกว่า “อักลี (Ugly)-น่าเกลียด!” ด้วยการ “ทุจริต-คดโกง-ฉ้อราษฎร์บังหลวง” อย่างมหาศาลและมโหฬาร
กรณีทั้งหลายทั้งปวงข้างต้นเป็น “วงจรอุบาทว์” ของการเมืองไทยมายาวนานนับ 76 ปี เพียงแต่ว่า ช่วงเกือบ 15-16 ปีที่ผ่านมา ยิ่งหนักข้อและสาหัสสากรรจ์มากยิ่งขึ้น แถม “เบียดเบียน-รังแก” กลุ่มที่มิใช่พรรคพวกตนเองอีกต่างหาก!
“วงจรอุบาทว์ของธุรกิจการเมืองไทย” ในช่วงระยะเวลา 10 กว่าปีที่ผ่านมา ต้องขอตอกย้ำว่าเกิดจากบรรดา “นักธุรกิจ-นายทุนการเมือง” ทั้งสิ้น และนับวันจะยิ่งทวีคูณความน่ากลัวมากยิ่งขึ้น และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง “ความวุ่นวาย” ทางการเมืองที่เกิดขึ้นในช่วงระยะเวลา 7-8 ปีที่ผ่านมา จนกระทั่งปัจจุบันก็ล้วนเกิดจาก “วิชามาร” ทางการเมืองแทบทั้งสิ้น
หลายๆ ฝ่ายกังวลกันมากว่า “ทางตัน” ทางการเมืองไทยกำลังก่อตัวขึ้นอีกครั้ง ซึ่งขอฟันธงอย่างตรงไปตรงมาเลยว่า “ทางตันเกิดขึ้น แต่มีทางออก!” และที่สำคัญที่สุด “ปัญหาสภาพการเมือง” ขณะนี้ มิใช่ทำให้ชาติบ้านเมืองต้องถึงขั้น “ล้มละลาย-ล่มสลาย” ไปในบัดดล
ถามว่า การที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ทั้งในส่วนของคณะอนุกรรมการฯ และคณะกรรมการฯ ชุดใหญ่ได้วินิจฉัยว่า “การกระทำผิด พ.ร.บ.เลือกตั้ง” และ “พ.ร.บ.พรรคการเมือง” เกิดขึ้นจริงหรือไม่กับการเลือกตั้งที่ผ่านมา ก็ต้องตอบฟันธงอย่างตรงไปตรงมาว่า “ผิดจริง!” ของทั้งสามพรรคการเมือง โดยเฉพาะในกรณีของคุณยงยุทธ ติยะไพรัช ที่มีหลักฐานและข้อมูลมัดชัดเจน ทั้งนี้ แน่นอนต้องมีการปฏิเสธทุกข้อหา!
ปัญหาการเมืองไทยที่ดูเสมือนว่า “ปั่นป่วน!” อยู่ขณะนี้ ล้วนเกิดจากกระบวนการกระทำผิดกฎหมายเลือกตั้งทั้งสิ้น แต่ถ้าถามว่า “ไร้เสถียรภาพ” หรือก็ต้องตอบว่า “ยังไม่ถึงขนาดนั้น!”
กระบวนการขั้นตอนในการพิจารณาวินิจฉัยขณะนี้ในส่วนของ “ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้ง-ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง-ศาลรัฐธรรมนูญ” ล้วนเป็นไปตามตัวบทกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมทั้งสิ้น และต้องขอกล่าวว่า “การเมืองไทยจะพัฒนาได้ กระบวนการตุลาการจะเป็นกลไกตรวจสอบและกลั่นกรอง พร้อมพัฒนาประชาธิปไตยให้โปร่งใสและเป็นธรรมมากขึ้น”
ลำพังเราจะมาหวังพึ่งบรรดาพรรคการเมืองทั้งหลายในการสร้าง “ธรรมาภิบาล” นั้นต้องเรียนตามตรงว่า “ฝันไปเถอะ!” กระบวนการ “ตุลาภิวัตน์” เท่านั้น ในขณะนี้ ถ้าไม่ถูกนายทุนแทรกแซงครอบงำ “ประชาธิปไตยจะเบ่งบาน” นับแต่นี้ต่อไป และ “คนดี” จะเดินเข้ามาช่วยบริหารชาติบ้านเมืองด้วยความสุจริต!
ในกรณีของ “การยุบพรรค” นั้น เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันมากว่า จะทำให้เกิดความวุ่นวายกับชาติบ้านเมือง จึงขอเถียงว่า “ไม่เป็นเช่นนั้นเด็ดขาด!” เนื่องด้วยจะมีแต่เพียงคณะกรรมการบริหารพรรคประมาณ 100 คน ที่ต้องถูกลงโทษและเว้นวรรคบรรดาส.ส.ที่มิใช่กรรมการบริหารพรรคก็ไปสังกัดพรรคการเมืองใหม่ได้ ซึ่งเท่าที่ทราบมาว่าได้เตรียม “พรรคสำรอง” ไว้เรียบร้อยแล้ว
หรือจะแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 237 เพื่อตนเองนั้น ขอบอกได้เลยว่า ประชาชนคงไม่ยอมเด็ดขาด และถ้า “ดื้อดัน” รับรองเลยว่า “ชาติบ้านเมืองวิกฤต” อย่างแน่นอน
เลวร้ายที่สุดก็คือ “การมีรัฐบาลใหม่” จะด้วยการโหวตหานายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีใหม่ หรือ “ยุบสภา” และ “เลือกตั้งใหม่” ก็แค่เท่านั้น
ขอย้ำว่า “ชาติบ้านเมืองไม่ล่มสลายตายจาก” เพราะนักธุรกิจการเมืองต้องถูกลงโทษหล๊อก!