ข่าวหนึ่งที่ซ่อนมากับการยึดทำเนียบฯ ของพลพรรคเสื้อแดง และโฟนอินตามด้วยวิดีโอลิงก์ของทักษิณ ซึ่งประกาศให้ซากเดนการเมือง 111 ขึ้นเวทีเสื้อแดงอย่างเปิดเผย และร่วมต่อสู้ทุกวิถีทางจนประสบชัยชนะ ใครๆ ที่มีมันสมองก็จะเห็นความต่อเนื่องของยุทธวิธีทักษิณ และการคำรามขู่ของเขาข้างต้น
แต่เขาก็ยังไม่วายร้องขอและปลอบปลุก ขอให้คนที่เป็นฝ่ายตรงกันข้าม ไม่ว่าใครอยู่สถาบันใด ให้ร่วมสมานฉันท์ปรองดอง โดยวิธีอย่างเดียวของเขา คือ “ไม่เป็นไรลืมเสียเถิด” ทุกฝ่ายกลับไปตั้งต้นที่การเลือกตั้ง เมษายน 2549 ใหม่ และเขาก็จะไม่ลงเลือกตั้งครั้งต่อไป ขอให้นิรโทษกรรมนักโทษทุกคนที่ทำผิดกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องโกงชาติหรือวิ่งราวกางเกงใน
การที่จะกระทำเช่นนั้นได้ ก็ขึ้นอยู่กับการเสนอและผ่านกฎหมายปรองดองแห่งชาติ โดยรัฐสภา ซึ่งผู้เชี่ยวชาญวิชานิติศาสตร์ทั่วประเทศเกือบจะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ถ้ากฎหมายฉบับนี้เข้าสภาหรือออกมาได้ ก็เลิกพูดถึงอนาคตเมืองไทยในฐานะประเทศที่ปกครองด้วยกฎหมายได้เลย เลิกพูดได้เลยว่าประเทศไทยเป็นนิติรัฐ
นี่เป็นเรื่องที่หนักหนาสาหัสอย่างยิ่ง สังคมไทยถูกขู่ตั้งแต่ข้างล่างดะไปถึงข้างบน ว่าถ้าไม่เอาอย่างนี้ ชาตินี้เราเป็นมิตรกันไม่ได้ ต้องสู้กันให้ตายไปข้างหนึ่ง
แล้วยังงี้จะมีหน้ามาคิดเรื่องสภาในฝันกันทำไม ฝันไปอีกกี่สิบชาติมันก็ไม่มีทาง เพราะผู้นำการเมืองไทยได้ตัดสินมานานแล้ว ว่าสภาหัวควาย ตกสระอา พร้อมเด็กเลี้ยงจากอยุธยา คือแบบสภาคู่บ้านคู่เมืองไทย
ยิ่งนายใหญ่กลับมาครองอำนาจอีกเมื่อไหร่ สภาแบบนี้แหละ แบบที่ ส.ส.ไม่ต้องคิด ไม่ต้องทำอะไร คอยฟังคำสั่งหัวหน้าอย่างเดียว ก็จะกลับมาอีกอย่างเต็มภาคภูมิ
ส่วนเรื่องสภาในฝันในการเมืองใหม่ของพันธมิตรฯ อยากจะว่าอะไรก็ว่าไป หรือนายกฯ อภิสิทธิ์จะให้ใครคณะไหนไปปฏิรูปการเมือง ก็เชิญตามสบาย หรือจะให้สถาบันพระปกเกล้าฯ ระดมยอดปัญญามาสร้างรูปแบบพัฒนาการเมืองไทยอย่างไรก็ทำไป จะไม่เรียกว่าปฏิรูปการเมือง เพราะปฏิรูปทีไรก็เจ๊งทุกที ก็ไม่ว่า
ผลที่ออกมาก็จะเป็นเพียงการปฏิรูปในตัวหนังสือเท่านั้น เพราะระบบพรรคการเมืองไทยก็จะเป็นอย่างเดิม และส.ส.ไทยก็จะมีพฤติกรรมอย่างเดิม
ถ้านักการเมืองไทยและสังคมไทยยังยึดมั่นในกฎหมายพรรคการเมืองแบบเดิมและระบบพรรคการเมืองแบบเดิม คือบังคับให้จดทะเบียนทุกพรรคเหมือนกันหมด และบังคับให้ผู้สมัคร ส.ส.ต้องสังกัดพรรคทุกคนเหมือนอย่างเดิม เราไม่มีทางสร้างการเมืองใหม่ และสภาในฝันได้สำเร็จดอก
ผมกล่าวถึงหนังสือเรื่องผู้แทนราษฎร ที่ผมร่วมกับคณาจารย์นิด้าช่วยกันเรียบเรียงในปี 2517 ในนั้นเข้าใจว่ามีภาคผนวกการวิจัยที่ผมสรุปว่า สภาผู้แทนยุคคณะราษฎร ระหว่างปี 2476 ถึง 2489 อภิปรายและปฏิบัติงานนิติบัญญัติดีกว่าสภายุครัฐประหาร 2490-2513 อยู่มาก ผมหาหนังสือเล่มนั้นที่บ้านไม่เจอ แต่ทราบว่าที่หอสมุดนิด้ามี
อย่างไรก็ตาม ผมอยากให้นักศึกษาและอาจารย์รุ่นปัจจุบันทำการวิจัยเพิ่มให้ทันสมัยขึ้น โดยเริ่มต้นเปรียบเทียบคำอภิปรายในสภามาจนถึงยุคปัจจุบัน และผลงานในการปฏิบัติหน้าที่นิติบัญญัติ เช่น การตั้งรัฐบาล การควบคุมฝ่ายบริหาร การออกกฎหมาย และการควบคุมการใช้งบประมาณแผ่นดิน ฯลฯ ซึ่งผมเชื่อว่าสมัยนี้เลวกว่าสมัยก่อนจริงๆ เป็นความเลวทรามที่เราไม่สามารถนำไปว่าสภายุคก่อนได้เลย
นักวิชาการและสื่อยุคปัจจุบัน มักจะเหมารวดกว่าการเมืองและการปกครองของเราล้มเหลวมาตั้งแต่ปี 2475 ผมขอยืนยันว่าไม่ใช่ จุดหักเหสู่การเมืองเลวเพราะอำนาจและทุนนิยมทรามเริ่มต้นจากการรัฐประหารเดือนพฤศจิกายนปี 2490 จากนั้นมาการเมืองและประชาธิปไตยของเราก็ดิ่งลงเหว
ในยุค 2475-2489 นั้น ถึงจะมีการแตกแยกกันในหมู่คณะราษฎร ถึงจะมีจุดด่างพร้อยในการเมือง แต่ก็มิใช่เพราะผู้นำประเทศหรือนักการเมืองคดโกง พรรคการเมืองก็มีการจัดตั้งกันแบบวิวัฒนาการ มีอยู่ 3-4 พรรคแบ่งกันตามอุดมการณ์และลัทธิเศรษฐกิจที่นิยมของแต่ละฝ่าย เช่น ทุนนิยมของฝ่ายนายควงหรือประชาธิปัตย์ สังคมนิยมของพรรคสหชีพของสานุศิษย์นายปรีดี และแนวรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นราชการนิยมของหลวงธำรง ซึ่งสนับสนุนนายปรีดีเช่นเดียวกัน ตอนนั้นจอมพล ป. ละวางจากการเมืองไปเพราะบอบช้ำฐานนำประเทศเข้าสู่สงครามกับฝ่ายผู้แพ้คือญี่ปุ่น และเยอรมนี การรัฐประหารทำให้นายควงยกพวกประชาธิปัตย์มาเข้ากับทหารที่ทำลายประชาธิปไตย
ข้อหาอย่างร้ายแรงที่สุด นอกจากคดีสวรรคตก็คือ ผู้แทนยุคนั้น “กินจอบ-กินเสียม” หมายถึงกินเปอร์เซ็นต์จากจอบเสียมที่นำไปสงเคราะห์ประชาชน ส่วนพวกรัฐมนตรีก็ทำตัวฉุยฉายร่ำรวย “ขี่รถยนต์บูอิค เมดอินยูเอสเอ วิ่งลงไปบนหัวใจของผู้รักชาติที่ทนดูไม่ได้” นั่นก็คือคำกล่าวโทษจากจอมพลผิน ชุณหะวัณ หัวหน้าคณะรัฐประหาร
ท่านผู้อ่านที่เคารพ ลองเปรียบเทียบดูเอาเองกับความร่ำรวยของ ส.ส.และรัฐมนตรีในปัจจุบัน
ผมยังเชื่อว่า หากไม่มีการปฏิวัติรัฐประหาร การเมืองไทยจะวิวัฒนาการไปสู่ระบบพรรคการเมืองและประชาธิปไตยที่แท้จริงโดยราบรื่นและสอดคล้องกับลักษณะของสังคมไทย
ผมได้กล่าวในเวลาต่อมาหลายครั้งว่า สังคมไทยช็อกที่สูญเสียพระเจ้าอยู่หัว ร. 8 จีนแดงขึ้นเป็นใหญ่ในผืนแผ่นดิน อเมริกันโดดขึ้นเป็นผู้นำโลก และโซเวียตรัสเซียต่อสู้ขัดขวางเปิดสงครามเย็น ไทยเราจึงตกเป็นเครื่องมือต่อต้านคอมมิวนิสต์ตามก้นอเมริกัน จนกระทั่งจับคนไทยเข้าระบบลงทะเบียนกันหมด แม้กระทั่งพรรคการเมืองก็ไม่เว้น
พรรคการเมืองของเราจึงกลายเป็นเสมือนบริษัทรับเหมาก่อสร้างถนนของกรมทางฯ เป็นสมบัติของหลงจู๊ ที่ผมเรียกสั้นๆ ว่า “รวมศูนย์-รวบอำนาจ-เป็นทาสหัวหน้า”
ประเทศไทยไม่มีพรรคการเมืองที่แท้จริง มีแต่แก๊งเลือกตั้ง เพื่อเข้ามาชิง “สมบัติผลัดกันชม” เท่านั้น
และนี่คืออุปสรรคหลักที่ถึงแม้เราจะมีผู้แทนในฝันพอจะนับนิ้วมือได้บางคน แต่เราไม่มีทางจะได้สภาในฝันเลย นอกจากสภาจกเปรตแบบปัจจุบัน
แต่เขาก็ยังไม่วายร้องขอและปลอบปลุก ขอให้คนที่เป็นฝ่ายตรงกันข้าม ไม่ว่าใครอยู่สถาบันใด ให้ร่วมสมานฉันท์ปรองดอง โดยวิธีอย่างเดียวของเขา คือ “ไม่เป็นไรลืมเสียเถิด” ทุกฝ่ายกลับไปตั้งต้นที่การเลือกตั้ง เมษายน 2549 ใหม่ และเขาก็จะไม่ลงเลือกตั้งครั้งต่อไป ขอให้นิรโทษกรรมนักโทษทุกคนที่ทำผิดกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องโกงชาติหรือวิ่งราวกางเกงใน
การที่จะกระทำเช่นนั้นได้ ก็ขึ้นอยู่กับการเสนอและผ่านกฎหมายปรองดองแห่งชาติ โดยรัฐสภา ซึ่งผู้เชี่ยวชาญวิชานิติศาสตร์ทั่วประเทศเกือบจะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ถ้ากฎหมายฉบับนี้เข้าสภาหรือออกมาได้ ก็เลิกพูดถึงอนาคตเมืองไทยในฐานะประเทศที่ปกครองด้วยกฎหมายได้เลย เลิกพูดได้เลยว่าประเทศไทยเป็นนิติรัฐ
นี่เป็นเรื่องที่หนักหนาสาหัสอย่างยิ่ง สังคมไทยถูกขู่ตั้งแต่ข้างล่างดะไปถึงข้างบน ว่าถ้าไม่เอาอย่างนี้ ชาตินี้เราเป็นมิตรกันไม่ได้ ต้องสู้กันให้ตายไปข้างหนึ่ง
แล้วยังงี้จะมีหน้ามาคิดเรื่องสภาในฝันกันทำไม ฝันไปอีกกี่สิบชาติมันก็ไม่มีทาง เพราะผู้นำการเมืองไทยได้ตัดสินมานานแล้ว ว่าสภาหัวควาย ตกสระอา พร้อมเด็กเลี้ยงจากอยุธยา คือแบบสภาคู่บ้านคู่เมืองไทย
ยิ่งนายใหญ่กลับมาครองอำนาจอีกเมื่อไหร่ สภาแบบนี้แหละ แบบที่ ส.ส.ไม่ต้องคิด ไม่ต้องทำอะไร คอยฟังคำสั่งหัวหน้าอย่างเดียว ก็จะกลับมาอีกอย่างเต็มภาคภูมิ
ส่วนเรื่องสภาในฝันในการเมืองใหม่ของพันธมิตรฯ อยากจะว่าอะไรก็ว่าไป หรือนายกฯ อภิสิทธิ์จะให้ใครคณะไหนไปปฏิรูปการเมือง ก็เชิญตามสบาย หรือจะให้สถาบันพระปกเกล้าฯ ระดมยอดปัญญามาสร้างรูปแบบพัฒนาการเมืองไทยอย่างไรก็ทำไป จะไม่เรียกว่าปฏิรูปการเมือง เพราะปฏิรูปทีไรก็เจ๊งทุกที ก็ไม่ว่า
ผลที่ออกมาก็จะเป็นเพียงการปฏิรูปในตัวหนังสือเท่านั้น เพราะระบบพรรคการเมืองไทยก็จะเป็นอย่างเดิม และส.ส.ไทยก็จะมีพฤติกรรมอย่างเดิม
ถ้านักการเมืองไทยและสังคมไทยยังยึดมั่นในกฎหมายพรรคการเมืองแบบเดิมและระบบพรรคการเมืองแบบเดิม คือบังคับให้จดทะเบียนทุกพรรคเหมือนกันหมด และบังคับให้ผู้สมัคร ส.ส.ต้องสังกัดพรรคทุกคนเหมือนอย่างเดิม เราไม่มีทางสร้างการเมืองใหม่ และสภาในฝันได้สำเร็จดอก
ผมกล่าวถึงหนังสือเรื่องผู้แทนราษฎร ที่ผมร่วมกับคณาจารย์นิด้าช่วยกันเรียบเรียงในปี 2517 ในนั้นเข้าใจว่ามีภาคผนวกการวิจัยที่ผมสรุปว่า สภาผู้แทนยุคคณะราษฎร ระหว่างปี 2476 ถึง 2489 อภิปรายและปฏิบัติงานนิติบัญญัติดีกว่าสภายุครัฐประหาร 2490-2513 อยู่มาก ผมหาหนังสือเล่มนั้นที่บ้านไม่เจอ แต่ทราบว่าที่หอสมุดนิด้ามี
อย่างไรก็ตาม ผมอยากให้นักศึกษาและอาจารย์รุ่นปัจจุบันทำการวิจัยเพิ่มให้ทันสมัยขึ้น โดยเริ่มต้นเปรียบเทียบคำอภิปรายในสภามาจนถึงยุคปัจจุบัน และผลงานในการปฏิบัติหน้าที่นิติบัญญัติ เช่น การตั้งรัฐบาล การควบคุมฝ่ายบริหาร การออกกฎหมาย และการควบคุมการใช้งบประมาณแผ่นดิน ฯลฯ ซึ่งผมเชื่อว่าสมัยนี้เลวกว่าสมัยก่อนจริงๆ เป็นความเลวทรามที่เราไม่สามารถนำไปว่าสภายุคก่อนได้เลย
นักวิชาการและสื่อยุคปัจจุบัน มักจะเหมารวดกว่าการเมืองและการปกครองของเราล้มเหลวมาตั้งแต่ปี 2475 ผมขอยืนยันว่าไม่ใช่ จุดหักเหสู่การเมืองเลวเพราะอำนาจและทุนนิยมทรามเริ่มต้นจากการรัฐประหารเดือนพฤศจิกายนปี 2490 จากนั้นมาการเมืองและประชาธิปไตยของเราก็ดิ่งลงเหว
ในยุค 2475-2489 นั้น ถึงจะมีการแตกแยกกันในหมู่คณะราษฎร ถึงจะมีจุดด่างพร้อยในการเมือง แต่ก็มิใช่เพราะผู้นำประเทศหรือนักการเมืองคดโกง พรรคการเมืองก็มีการจัดตั้งกันแบบวิวัฒนาการ มีอยู่ 3-4 พรรคแบ่งกันตามอุดมการณ์และลัทธิเศรษฐกิจที่นิยมของแต่ละฝ่าย เช่น ทุนนิยมของฝ่ายนายควงหรือประชาธิปัตย์ สังคมนิยมของพรรคสหชีพของสานุศิษย์นายปรีดี และแนวรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นราชการนิยมของหลวงธำรง ซึ่งสนับสนุนนายปรีดีเช่นเดียวกัน ตอนนั้นจอมพล ป. ละวางจากการเมืองไปเพราะบอบช้ำฐานนำประเทศเข้าสู่สงครามกับฝ่ายผู้แพ้คือญี่ปุ่น และเยอรมนี การรัฐประหารทำให้นายควงยกพวกประชาธิปัตย์มาเข้ากับทหารที่ทำลายประชาธิปไตย
ข้อหาอย่างร้ายแรงที่สุด นอกจากคดีสวรรคตก็คือ ผู้แทนยุคนั้น “กินจอบ-กินเสียม” หมายถึงกินเปอร์เซ็นต์จากจอบเสียมที่นำไปสงเคราะห์ประชาชน ส่วนพวกรัฐมนตรีก็ทำตัวฉุยฉายร่ำรวย “ขี่รถยนต์บูอิค เมดอินยูเอสเอ วิ่งลงไปบนหัวใจของผู้รักชาติที่ทนดูไม่ได้” นั่นก็คือคำกล่าวโทษจากจอมพลผิน ชุณหะวัณ หัวหน้าคณะรัฐประหาร
ท่านผู้อ่านที่เคารพ ลองเปรียบเทียบดูเอาเองกับความร่ำรวยของ ส.ส.และรัฐมนตรีในปัจจุบัน
ผมยังเชื่อว่า หากไม่มีการปฏิวัติรัฐประหาร การเมืองไทยจะวิวัฒนาการไปสู่ระบบพรรคการเมืองและประชาธิปไตยที่แท้จริงโดยราบรื่นและสอดคล้องกับลักษณะของสังคมไทย
ผมได้กล่าวในเวลาต่อมาหลายครั้งว่า สังคมไทยช็อกที่สูญเสียพระเจ้าอยู่หัว ร. 8 จีนแดงขึ้นเป็นใหญ่ในผืนแผ่นดิน อเมริกันโดดขึ้นเป็นผู้นำโลก และโซเวียตรัสเซียต่อสู้ขัดขวางเปิดสงครามเย็น ไทยเราจึงตกเป็นเครื่องมือต่อต้านคอมมิวนิสต์ตามก้นอเมริกัน จนกระทั่งจับคนไทยเข้าระบบลงทะเบียนกันหมด แม้กระทั่งพรรคการเมืองก็ไม่เว้น
พรรคการเมืองของเราจึงกลายเป็นเสมือนบริษัทรับเหมาก่อสร้างถนนของกรมทางฯ เป็นสมบัติของหลงจู๊ ที่ผมเรียกสั้นๆ ว่า “รวมศูนย์-รวบอำนาจ-เป็นทาสหัวหน้า”
ประเทศไทยไม่มีพรรคการเมืองที่แท้จริง มีแต่แก๊งเลือกตั้ง เพื่อเข้ามาชิง “สมบัติผลัดกันชม” เท่านั้น
และนี่คืออุปสรรคหลักที่ถึงแม้เราจะมีผู้แทนในฝันพอจะนับนิ้วมือได้บางคน แต่เราไม่มีทางจะได้สภาในฝันเลย นอกจากสภาจกเปรตแบบปัจจุบัน