“สดศรี” ชี้พิรุธสำนวนสอบเงินบริจาคพรรค ปชป.ดีเอสไอ หายไป 1 แฟ้ม แฉซ้ำเหตุใดจึงต้องส่งไปที่ห้อง ปธ.กกต.โดยไม่ผ่านเจ้าหน้าที่รับเรื่อง เตรียมเรียกเจ้าหน้าที่ดีเอสไอเปิดผนึกกล่องพิสูจน์ ตั้งท่าปฏิเสธไม่รับวินิจฉัยเกรงตกหลุมพรางคดีการเมือง
วันนี้ (24 มี.ค.) นางสดศรี สัตยธรรม กรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ด้านกิจการพรรคการเมือง กล่าวถึงกรณีที่มีการระบุว่าสำนวนการสืบสวนสอบสวนกรณีไซฟ่อนเงินของพรรคประชาธิปัตย์ ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ส่งมาให้ กกต.หายไปหนึ่งแฟ้มว่า จากการตรวจสอบหนังสือนำส่งระบุว่ามีเอกสารจำนวน 8 แฟ้ม แต่ที่เอกสารปะหน้ากล่องเอกสารทั้งสองกล่องมีการส่งมาเพียง 7 แฟ้ม ซึ่งขณะนี้ได้ให้ด้านกิจการพรรคการเมือง ทำหนังสือเชิญเจ้าหน้าที่ดีเอสไอมาเป็นสักขีพยานในการเปิดกล่องเอกสาร ทั้งนี้ ขณะนี้กล่องที่นำมายังปิดผนึกอยู่ในสภาพเดิมโดยที่ไม่มีใครเปิด และหากมีเอกสารรั่วไหลออกไปยืนยันว่าไม่ได้หลุดไปจาก กกต.
นางสดศรีตั้งข้อสังเกตว่า การส่งสำนวนเอกสารมาให้ กกต.ถือว่าดำเนินการผิดขั้นตอน เพราะหากจะมีการส่งเอกสารใดๆ มาต้องส่งมาที่สำนักงานที่ กกต.ที่จะมีเจ้าหน้าที่โดยตรงรับเรื่อง ไม่ใช่ส่งไปที่ห้องของประธาน กกต. แม้ว่าจะเป็นนายทะเบียนพรรคการเมืองโดยตำแหน่งก็ตาม แต่การทำงานต้องมีขั้นตอน และดีเอสไอก็เป็นหน่วยงานราชการควรจะรู้ว่าต้องทำอย่างไรในการส่งเอกสาร
นางสดศรีกล่าวว่า กรณีหนังสือนำส่งและใบปะหน้าไม่ตรงกันน่าจะเป็นความผิดพลาดของดีเอสไอ แต่ดีเอสไอเป็นหน่วยงานที่ทำหน้าที่ดูแลงานเอกสารสำนวนและงานสืบสวนสอบสวน ก็ไม่น่าที่จะมีความผิดพลาดในส่วนนี้ อย่างไรก็ตาม ที่ประชุม กกต.คงจะพิจารณาว่าจะรับเรื่องดังกล่าวไว้ดำเนินการหรือไม่ หากที่ประชุมมีมติไม่รับ เราก็จะส่งเอกสารคืนไป
“ตอนนี้แค่เริ่มต้นเอกสารก็ไม่ตรงกันเสียแล้ว จึงเป็นเรื่องอันตรายหากเราต้องดำเนินการไปอีก และหากเราเปิดกล่องโดยที่ไม่มีพยาน ถ้าเอกสารหายคนรับผิดชอบก็คือเจ้าหน้าที่ กกต. ดังนั้น หากเจ้าหน้าที่ดีเอสไอมา เราก็จะให้สื่อช่วยไปเป็นพยานให้ว่ายังไม่ได้เปิดแต่อย่างใด อีกทั้งเรื่องนี้ ดีเอสไอดำเนินการมาตั้งแต่ปีที่ผ่านมาซึ่งก็ไม่ทราบว่าเหตุใดต้องส่งมาให้ กกต. พิจารณาอีก หากยังเล่นกันแบบนี้คงรับเรื่องไว้ดำเนินการไม่ได้ และหากเขาไม่มาร่วมเปิดกล่องเราก็ต้องส่งคืน เรื่องอะไรจะให้เรารับผิดชอบ”
ส่วนที่มีการมองว่าดีเอสไอส่งเรื่องต่อให้ กกต.เพราะไม่ต้องการให้ใครมาแทรกแซงหรือเปลี่ยนตัวผู้ทำคดีนั้น เห็นว่าดีเอสไอทำเรื่องนี้มาเป็นเวลานาน หากจะแทรกแซงคงทำก่อนหน้านี้ อีกทั้งขณะนี้ได้ส่งเอกสารต่อให้หน่วยงานอื่น การจะเปลี่ยนอธิบดีก็คงไม่มีปัญหา แต่ก็ยังติดที่ว่าก่อนหน้านี้ดีเอสไอส่งเรื่องให้ใครไปบ้างหรือไม่ก่อนส่งให้ กกต. ทั้งนี้ ตนเชื่อว่าไม่น่าจะมีฝ่ายการเมืองเข้ามาเล่นแง่ในการพิจารณาเรื่องนี้
ผู้สื่อข่าวถามว่า กรณีดังกล่าวจะสามารถยุบพรรคได้หรือไม่ นางสดศรีกล่าวว่า ตามกฎหมายพรรคการเมืองมีอัตราโทษว่าผู้กระทำผิดเกี่ยวกับการปกปิดหรือใช้เงินบริจาคโดยมิชอบ ไว้เป็นโทษอาญา ส่วนจะยุบพรรคหรือไม่นั้น ตามรัฐธรรมนูญ และกฎหมายพรรคการเมืองมาตรา 94 กำหนดไว้ค่อนข้างกว้างว่า การกระทำใดของพรรคการเมืองบุคคลใดที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อความมั่นคงของประเทศ ต้องถูกยุบพรรค ซึ่งต้องดูว่าประเด็นนี้จะถึงหรือไม่
ขณะที่ นายสมชัย จึงประเสริฐ กกต.ด้านกิจการสืบสวนสอบสวนและวินิจฉัย ปฏิเสธว่าไม่ทราบเรื่องเอกสารสำนวนของดีเอสไอหายไป โดยระบุว่ายังไม่เคยเห็นเอกสารดังกล่าวว่ามีอะไรบ้าง และไม่แน่ใจว่าจะหายที่ กกต.จริงหรือไม่ เบื้องต้นต้องให้ประธาน กกต.ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมือง พิจารณาก่อนว่าสมควรรับเรื่องไว้สอบสวนหรือไม่ หากประธานเห็นว่าสมควรรับเรื่องไว้ก็จะบรรจุในวาระ แต่ในขณะนี้ยังไม่มีเรื่องเข้าสู่วาระ โดยทราบว่าได้มอบหมายให้ฝ่ายกิจารพรรคการเมืองตรวจสอบรายละเอียด
นายสมชัยกล่าวต่อว่า ขณะนี้ยังไม่ได้รับการประสานจาก ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ประธาน ส.ส. พรรคเพื่อไทย ที่จะนำข้อมูลมายื่นให้ กกต.ตรวจสอบในกรณีเดียวกัน เบื้องต้นเอกสารที่ส่งมา ยังถือว่าเป็นเพียงข้อเท็จจริงที่ปรากฎต่อนายทะเบียนพรรคการเมือง ยังไม่ถือว่าเป็นสำนวนคำร้อง แต่ก็สามารถนำไปสู่คำร้องเพื่อให้ กกต.ตรวจสอบได้ อย่างไรก็ตาม นายสมชัยยืนยันว่าไม่รู้สึกกดดันที่จะตรวจสอบเรื่องที่เกี่ยวกับพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเป็นรัฐบาลในขณะนี้