นางสดศรี สัตยธรรม กกต. ด้านกิจการพรรคการเมือง และนายสมชัย จึงประเสริฐ กกต.ด้านสืบสวนสอบสวนและวินิจฉัย ได้ร่วมกันแถลงข่าวเพื่อผลักดันให้มีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างการทำงานของคณะกรรมการการเลือกตั้ง ( กกต.) จากที่แบ่งเป็น 5 ด้านกิจการให้กกต.แต่ละคนรับผิดชอบ เป็นให้ กกต.ทำงานในรูปแบบของคณะกรรมการ หรือบอร์ด แทน
นางสดศรี กล่าวว่า ที่ผ่านมาไม่มีหน่วยงานไหนใช้งานคณะกรรมการหนักขนาดนี้ เพราะต้องทำหน้าที่ทั้งพิจารณาการเลือกตั้ง ควบคุมหน่วยงาน รวมไปถึง ต้องดูเรื่องงานธุรการ ซึ่งข้อเท็จจริงแล้ว กกต.ไม่ควรต้องมาทำงานธุรการอย่างนี้ รวมไปถึงเรื่องการเขียนคำวินิจฉัยที่ไม่น่าต้องมาผ่าน กกต.
เรื่องการดูแลสำนักงานควรเป็นเรื่องของเลขาธิการ และรองเลขาธิการ แต่กลายเป็นว่า กกต.ต้องดูแลทั้งหมด รวมถึงต้องถูกฟ้องจากเรื่องที่เป็นงานธุรการ อีกด้วย เช่นเรื่องการพิมพ์บัตรที่ถูกฟ้องร้องมาแล้ว จึงเห็นว่า กกต. ควรจะทำงานในรูปแบบคณะกรรมการที่คอยพิจารณาเรื่องต่างๆ โดยไม่ต้องลงไปดูแลงาน ในแต่ละด้านเช่นในปัจจุบัน
ส่วนที่ นายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธานกกต.มองว่าหาก กกต. ทำงานเป็น บอร์ดจะมีปัญหาเรื่องการสั่งงานระดับล่างนั้น คิดว่ามีคำของพระบอกไว้ว่า ตัวฉัน ของฉัน ของใคร ทุกส่วนในร่างกายก็ยังทำหน้าที่แตกต่างกันของใครของมัน แล้วงานกกต.ทั้งหมดจะให้กรรมการฯมาดูทุกเรื่องเรา ก็คงเป็นมนุษย์มหัศจรรย์แล้ว
ที่สำคัญจะมีเลขาธิการไว้ทำไม หากเราต้องทำงานทุกอย่างด้วยตัวเอง อย่างนี้ก็จ้างคนแค่ห้าคนก็พอ แต่โครงสร้างใหม่ที่ เลขาธิการ กกต. เคยนำเสนอมานั้น เป็นการโครงสร้างที่ขยายขอบเขตงาน มีการจ้างพนักงานเพิ่มขึ้นมากจนกลายเป็น องค์กรที่ใหญ่เกินว่ากระทรวงเสียอีก
ผู้สื่อข่าวถามว่า การปรับโครงสร้างเป็นรูปแบบคณะกรรมการจะมีผลดีอย่างไร นอกจากการลดภาระ กกต. นางสดศรีกล่าวว่า การปรับโครงสร้างเช่นนี้เป็นการรับผิดชอบร่วมกัน ไม่ใช่มาตกหนักอยู่ที่คนคนเดียว และมีเรื่องอะไร กกต. จะเป็นผู้พิจารณาโดยมีเลขาธิการ และรองเลขาธิการ เป็นผู้รับไปดำเนินงาน
นางสดศรี ยังมองว่า คนที่จะมาเป็น กกต. ใหม่แทนนาย สุเมธ อุปนิสากร อดีต กกต.ไม่จำเป็นต้องเป็นนักรัฐศาสตร์ อย่างที่นายสุเมธ เคยกล่าวไว้ เพราะงานที่ทำอยู่นั้นเป็นงานกฎหมายล้วนๆ ต้องมีประสบการณ์โดยเฉพาะกฎหมายพรรคการเมือง เพราะใช้ๆ ไปนักการเมืองยังเดินสะดุดเลย หากไม่รู้กฎหมายก็จะเดินไปไม่ได้และล้มลง รวมทั้งอาจจะถูก กกต. อีกสี่คนที่เหลือหลอกได้ แต่หากได้คนใหม่ที่รู้ทั้งหมดก็จะเป็นการดีและสามารถช่วยงาน กกต. ได้ จึงเห็นว่าสมควรเอามืออาชีพมาทำงาน มากกว่า เพราะการวินิจฉัยเป็นข้อกฎหมายระดับชาติและระดับท้องถิ่นอาจถูกฟ้องร้องเอาได้ อีกทั้งหากได้เลขาธิการที่เป็นนักบริหารที่ดีสำนักงานก็จะไปได้ดี กกต. จะได้ไม่ต้องมาบริหารให้มาก เพราะถ้า กกต. ลงไปบริหารมาก สำนักงานก็อาจจะเกิดปัญหาได้ ซึ่งสำนักงานควรจะยืนได้ด้วยตัวของตัวเอง ตัวกรรมการเองก็จะเบาลง ไม่เหมือนทุกวันนี้ ซึ่งทุกเรื่องส่งตรงขึ้นมา และหากมีเรื่องต้องรับผิดชอบฟ้องร้อง กกต. ก็ต้องรับผิดชอบทุกเรื่อง
ตอนนี้ กกต. ต้องดูงานทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นเรื่องการลงโทษ การแต่งตั้งพนักงาน การเลื่อนขั้นเงินเดือน เราไม่ได้ต้องการอำนาจพวกนี้ และแม้ว่าจะเพิ่ม กกต. เข้ามาอีก 10 คนก็ไม่ได้เป็นการช่วยแก้ปัญหา แต่เป็นการเพิ่มจำเลยเสียมากกว่า นอกจากนี้เรื่องคดีเราก็โดนมาหลายคดีแล้ว เพราะเมื่อเราตัดสินไปหากไม่พอใจ เขาก็ฟ้อง เราไม่ได้รับภูมิคุ้มกันเหมือนศาล
ผู้สื่อข่าวถามว่าหากกกต.ใหม่เข้าปฏิบัติหน้าที่ควรมีการเลือกประธานกกต. ใหม่หรือไม่ นางสดศรีกล่าวว่า กฎหมายไม่ได้เขียนว่าเมื่อได้รับคัดเลือกเป็นประธานกกต.แล้ว ต้องเป็นจนครบวาระ 7 ปี และตอนเข้ามาก็ไม่เคยลงสัตยาบันว่า ให้คนนั้นคนนี้เป็น ที่ผ่านมา กกต. จังหวัดก็เปลี่ยนและเลือกกันบ่อย ส่วนประธานกกต. ปัจจุบันก็เป็นที่รู้อยู่แล้วว่าการทำงานของท่านเป็นอย่างไร นอกจากนี้ใครเป็นประธานก็มีหน้าที่แค่ออกงานสังคม งานพระราชพิธี แต่ในแง่ความเป็น กกต. แล้วทุกคนเท่ากัน
รายงานข่าวแจ้งว่า การปรับโครงสร้างของ กกต. เลขาธิการ กกต.ได้เสนอที่ประชุมมาแล้วหนึ่งครั้ง โดย กกต. ส่วนมากแสดงความไม่เห็นด้วยโดยเฉพาะนางสดศรี และนายสมชัย ต้องการที่จะให้ปรับการทำงานเป็นรูปแบบคณะกรรมการ ขณะที่เลขาธิการ กกต.และนาย ประธาน กกต. ยังคงอยากให้กกต.ทำงานในลักษณะเดิม เพราะมองว่าหากทำงานเป็นรูปแบบบอร์ด เมื่อเกิดการฟ้องร้องขึ้น ถึงเป็นเรื่องบริหารสำนักงาน ประธาน กกต. ก็ยังคงต้องรับผิดชอบฐานะเป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุดตามกฎหมาย ขณะที่เลขาธิการ ก็ต้องรับผิดชอบฐานะหัวหน้าสำนักงาน ขณะที่ กกต.คนอื่นไม่ต้องรับผิดชอบร่วม แต่จะรับผิดชอบเฉพาะ กรณีมีมติประกาศผลเลือกตั้ง หรือใบเหลือง ใบแดง ที่ กกต. ให้ความเห็นชอบ แต่หากเรื่องใด กกต. คนใดเป็นเสียงข้างน้อยก็สามารถบันทึกไว้ในบันทึกการประชุมซึ่งสามารถใช้เป็นหลักฐานในการต่อสู้คดีหากถูกฟ้องร้อง
นางสดศรี กล่าวว่า ที่ผ่านมาไม่มีหน่วยงานไหนใช้งานคณะกรรมการหนักขนาดนี้ เพราะต้องทำหน้าที่ทั้งพิจารณาการเลือกตั้ง ควบคุมหน่วยงาน รวมไปถึง ต้องดูเรื่องงานธุรการ ซึ่งข้อเท็จจริงแล้ว กกต.ไม่ควรต้องมาทำงานธุรการอย่างนี้ รวมไปถึงเรื่องการเขียนคำวินิจฉัยที่ไม่น่าต้องมาผ่าน กกต.
เรื่องการดูแลสำนักงานควรเป็นเรื่องของเลขาธิการ และรองเลขาธิการ แต่กลายเป็นว่า กกต.ต้องดูแลทั้งหมด รวมถึงต้องถูกฟ้องจากเรื่องที่เป็นงานธุรการ อีกด้วย เช่นเรื่องการพิมพ์บัตรที่ถูกฟ้องร้องมาแล้ว จึงเห็นว่า กกต. ควรจะทำงานในรูปแบบคณะกรรมการที่คอยพิจารณาเรื่องต่างๆ โดยไม่ต้องลงไปดูแลงาน ในแต่ละด้านเช่นในปัจจุบัน
ส่วนที่ นายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธานกกต.มองว่าหาก กกต. ทำงานเป็น บอร์ดจะมีปัญหาเรื่องการสั่งงานระดับล่างนั้น คิดว่ามีคำของพระบอกไว้ว่า ตัวฉัน ของฉัน ของใคร ทุกส่วนในร่างกายก็ยังทำหน้าที่แตกต่างกันของใครของมัน แล้วงานกกต.ทั้งหมดจะให้กรรมการฯมาดูทุกเรื่องเรา ก็คงเป็นมนุษย์มหัศจรรย์แล้ว
ที่สำคัญจะมีเลขาธิการไว้ทำไม หากเราต้องทำงานทุกอย่างด้วยตัวเอง อย่างนี้ก็จ้างคนแค่ห้าคนก็พอ แต่โครงสร้างใหม่ที่ เลขาธิการ กกต. เคยนำเสนอมานั้น เป็นการโครงสร้างที่ขยายขอบเขตงาน มีการจ้างพนักงานเพิ่มขึ้นมากจนกลายเป็น องค์กรที่ใหญ่เกินว่ากระทรวงเสียอีก
ผู้สื่อข่าวถามว่า การปรับโครงสร้างเป็นรูปแบบคณะกรรมการจะมีผลดีอย่างไร นอกจากการลดภาระ กกต. นางสดศรีกล่าวว่า การปรับโครงสร้างเช่นนี้เป็นการรับผิดชอบร่วมกัน ไม่ใช่มาตกหนักอยู่ที่คนคนเดียว และมีเรื่องอะไร กกต. จะเป็นผู้พิจารณาโดยมีเลขาธิการ และรองเลขาธิการ เป็นผู้รับไปดำเนินงาน
นางสดศรี ยังมองว่า คนที่จะมาเป็น กกต. ใหม่แทนนาย สุเมธ อุปนิสากร อดีต กกต.ไม่จำเป็นต้องเป็นนักรัฐศาสตร์ อย่างที่นายสุเมธ เคยกล่าวไว้ เพราะงานที่ทำอยู่นั้นเป็นงานกฎหมายล้วนๆ ต้องมีประสบการณ์โดยเฉพาะกฎหมายพรรคการเมือง เพราะใช้ๆ ไปนักการเมืองยังเดินสะดุดเลย หากไม่รู้กฎหมายก็จะเดินไปไม่ได้และล้มลง รวมทั้งอาจจะถูก กกต. อีกสี่คนที่เหลือหลอกได้ แต่หากได้คนใหม่ที่รู้ทั้งหมดก็จะเป็นการดีและสามารถช่วยงาน กกต. ได้ จึงเห็นว่าสมควรเอามืออาชีพมาทำงาน มากกว่า เพราะการวินิจฉัยเป็นข้อกฎหมายระดับชาติและระดับท้องถิ่นอาจถูกฟ้องร้องเอาได้ อีกทั้งหากได้เลขาธิการที่เป็นนักบริหารที่ดีสำนักงานก็จะไปได้ดี กกต. จะได้ไม่ต้องมาบริหารให้มาก เพราะถ้า กกต. ลงไปบริหารมาก สำนักงานก็อาจจะเกิดปัญหาได้ ซึ่งสำนักงานควรจะยืนได้ด้วยตัวของตัวเอง ตัวกรรมการเองก็จะเบาลง ไม่เหมือนทุกวันนี้ ซึ่งทุกเรื่องส่งตรงขึ้นมา และหากมีเรื่องต้องรับผิดชอบฟ้องร้อง กกต. ก็ต้องรับผิดชอบทุกเรื่อง
ตอนนี้ กกต. ต้องดูงานทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นเรื่องการลงโทษ การแต่งตั้งพนักงาน การเลื่อนขั้นเงินเดือน เราไม่ได้ต้องการอำนาจพวกนี้ และแม้ว่าจะเพิ่ม กกต. เข้ามาอีก 10 คนก็ไม่ได้เป็นการช่วยแก้ปัญหา แต่เป็นการเพิ่มจำเลยเสียมากกว่า นอกจากนี้เรื่องคดีเราก็โดนมาหลายคดีแล้ว เพราะเมื่อเราตัดสินไปหากไม่พอใจ เขาก็ฟ้อง เราไม่ได้รับภูมิคุ้มกันเหมือนศาล
ผู้สื่อข่าวถามว่าหากกกต.ใหม่เข้าปฏิบัติหน้าที่ควรมีการเลือกประธานกกต. ใหม่หรือไม่ นางสดศรีกล่าวว่า กฎหมายไม่ได้เขียนว่าเมื่อได้รับคัดเลือกเป็นประธานกกต.แล้ว ต้องเป็นจนครบวาระ 7 ปี และตอนเข้ามาก็ไม่เคยลงสัตยาบันว่า ให้คนนั้นคนนี้เป็น ที่ผ่านมา กกต. จังหวัดก็เปลี่ยนและเลือกกันบ่อย ส่วนประธานกกต. ปัจจุบันก็เป็นที่รู้อยู่แล้วว่าการทำงานของท่านเป็นอย่างไร นอกจากนี้ใครเป็นประธานก็มีหน้าที่แค่ออกงานสังคม งานพระราชพิธี แต่ในแง่ความเป็น กกต. แล้วทุกคนเท่ากัน
รายงานข่าวแจ้งว่า การปรับโครงสร้างของ กกต. เลขาธิการ กกต.ได้เสนอที่ประชุมมาแล้วหนึ่งครั้ง โดย กกต. ส่วนมากแสดงความไม่เห็นด้วยโดยเฉพาะนางสดศรี และนายสมชัย ต้องการที่จะให้ปรับการทำงานเป็นรูปแบบคณะกรรมการ ขณะที่เลขาธิการ กกต.และนาย ประธาน กกต. ยังคงอยากให้กกต.ทำงานในลักษณะเดิม เพราะมองว่าหากทำงานเป็นรูปแบบบอร์ด เมื่อเกิดการฟ้องร้องขึ้น ถึงเป็นเรื่องบริหารสำนักงาน ประธาน กกต. ก็ยังคงต้องรับผิดชอบฐานะเป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุดตามกฎหมาย ขณะที่เลขาธิการ ก็ต้องรับผิดชอบฐานะหัวหน้าสำนักงาน ขณะที่ กกต.คนอื่นไม่ต้องรับผิดชอบร่วม แต่จะรับผิดชอบเฉพาะ กรณีมีมติประกาศผลเลือกตั้ง หรือใบเหลือง ใบแดง ที่ กกต. ให้ความเห็นชอบ แต่หากเรื่องใด กกต. คนใดเป็นเสียงข้างน้อยก็สามารถบันทึกไว้ในบันทึกการประชุมซึ่งสามารถใช้เป็นหลักฐานในการต่อสู้คดีหากถูกฟ้องร้อง