กกต.เริ่มแตก “สดศรี” จับมือ “สมชัย” จี้ปรับโครงสร้างใหม่ ดัน กกต.ทำงานเป็นบอร์ด อ้างถ้าต้องทำเองทุกอย่างจะมีเลขาไว้ทำไม ชี้ รูปแบบโครงสร้างใหม่ที่สำนักงานเสนอมีแต่ขยายขอบเขตงาน เพิ่มคน จนทำองค์กรใหญ่กว่ากระทรวง พร้อมมอง กกต.ใหม่ควรเป็นนักกฏหมายมหาชน จุดพุลไม่เคยมีข้อตกลงให้ “อภิชาต” นั่งประธานครบ 7 ปี ขณะที่ “อภิชาต-สุทธิพล” หวั่นต้องติดคุกคนเดียว ดึงใช้รูปแบบเดิม
วันนี้ (17 มี.ค.) นางสดศรี สัตยธรรม กกต.ด้านกิจการพรรคการเมือง และ นายสมชัย จึงประเสริฐ กกต.ด้านสืบสวนสอบสวนและวินิจฉัย ได้ร่วมกันแถลงข่าวเพื่อผลักดันให้มีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างการทำงานของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จากที่แบ่งเป็น 5 ด้านกิจการให้ กกต.แต่ละคนรับผิดชอบ เป็นให้ กกต.ทำงานในรูปแบบของคณะกรรมการ หรือบอร์ด แทน โดย นางสดศรี กล่าวว่า ที่ผ่านมา ไม่มีหน่วยงานไหนใช้งานคณะกรรมการหนักขนาดนี้ เพราะต้องทำหน้าที่ทั้งพิจารณาการเลือกตั้ง ควบคุมหน่วยงาน รวมไปถึงต้องดูเรื่องงานธุรการ ซึ่งข้อเท็จจริงแล้ว กกต.ไม่ควรต้องมาทำงานธุรการอย่างนี้ รวมไปถึงเรื่องการเขียนคำวินิจฉัยที่ไม่น่าต้องมาผ่าน กกต.
“เรื่องการดูแลสำนักงานควรเป็นเรื่องของเลขาธิการ และรองเลขาธิการมากกว่า แต่กลายเป็นว่า กกต.ต้องดูแลทั้งหมด รวมถึงต้องถูกฟ้องจากเรื่องที่เป็นงานธุรการอีกด้วย เช่น เรื่องการพิมพ์บัตรที่ถูกฟ้องร้องมาแล้ว จึงเห็นว่า กกต.ควรจะทำงานในรูปแบบคณะกรรมการ (บอร์ด)ที่คอยพิจารณาเรื่องต่างๆ โดยไม่ต้องลงไปดูแลงานในแต่ละด้านเช่นในปัจจุบัน”
ส่วนที่ ประธาน กกต.มองว่า หาก กกต.ทำงานเป็นบอร์ดจะมีปัญหาเรื่องการสั่งงานระดับล่างนั้น คิดว่า มีคำของพระบอกไว้ว่า ตัวฉัน ของฉัน ของใคร ทุกส่วนในร่างกายก็ยังทำหน้าที่แตกต่างกันของใครของมัน แล้วงาน กกต.ทั้งหมดจะให้กรรมการฯมาดูทุกเรื่องเรา ก็คงเป็นมนุษย์มหัศจรรย์แล้ว
“ที่สำคัญ จะมีเลขาธิการไว้ทำไม หากเราต้องทำงานทุกอย่างด้วยตัวเอง อย่างนี้ก็จ้างคนแค่ห้าคนก็พอ แต่โครงสร้างใหม่ที่ เลขาธิการ กกต.เคยนำเสนอมานั้น เป็นการโครงสร้างที่ขยายขอบเขตงาน มีการจ้างพนักงานเพิ่มขึ้นมากจนกลายเป็นองค์กรที่ใหญ่เกินว่ากระทรวงเสียอีก” นางสดศรี กล่าว
เมื่อถามว่า การปรับโครงสร้างเป็นรูปแบบคณะกรรมการจะมีผลดีอย่างไร นอกจากการลดภาระ กกต.นางสดศรี กล่าวว่า การปรับโครงสร้างเช่นนี้เป็นการรับผิดชอบร่วมกัน ไม่ใช่มาตกหนักอยู่ที่คนคนเดียว และมีเรื่องอะไร กกต.จะเป็นผู้พิจารณาโดย มีเลขาธิการ และรองเลขาธิการ เป็นผู้รับไปดำเนินงาน
นางสดศรี ยังมองว่า คนที่จะมาเป็น กกต.ใหม่แทน นายสุเมธ อุปนิสากร อดีต กกต.ไม่จำเป็นต้องเป็นนักรัฐศาสตร์ อย่างที่นายสุเมธ เคยกล่าวไว้ เพราะงานที่ทำอยู่นั้นเป็นงานกฎหมายล้วนๆ ต้องมีประสบการณ์โดยเฉพาะกฎหมายพรรคการเมือง เพราะใช้ๆ ไปนักการเมืองยังเดินสะดุดเลย หากไม่รู้กฎหมายก็จะเดินไปไม่ได้และล้มลง รวมทั้งอาจจะถูก กกต.อีกสี่คนที่เหลือหลอกได้ แต่หากได้คนใหม่ที่รู้ทั้งหมดก็จะเป็นการดีและสามารถช่วยงาน กกต.ได้ จึงเห็นว่าสมควรเอามืออาชีพมาทำงานมากกว่า เพราะการวินิจฉัยเป็นข้อกฎหมายระดับชาติและระดับท้องถิ่นอาจถูกฟ้องร้องเอาได้ อีกทั้งหากได้เลขาธิการที่เป็นนักบริหารที่ดีสำนักงานก็จะไปได้ดี กกต. จะได้ไม่ต้องมาบริหารให้มาก เพราะถ้า กกต.ลงไปบริหารมากสำนักงานก็อาจจะเกิดปัญหาได้ ซึ่งสำนักงานควรจะยืนได้ด้วยตัวของตัวเอง ตัวกรรมการเองก็จะเบาลง ไม่เหมือนทุกวันนี้ ซึ่งทุกเรื่องส่งตรงขึ้นมา และหากมีเรื่องต้องรับผิดชอบฟ้องร้อง กกต.ก็ต้องรับผิดชอบทุกเรื่อง
“ตอนนี้ กกต.ต้องดูงานทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นเรื่องการลงโทษ การแต่งตั้งพนักงาน การเลื่อนขั้นเงินเดือน เราไม่ได้ต้องการอำนาจพวกนี้ และแม้ว่าจะเพิ่ม กกต. เข้ามาอีก 10 คนก็ไม่ได้เป็นการช่วยแก้ปัญหา แต่เป็นการเพิ่มจำเลยเสียมากกว่า นอกจากนี้ เรื่องคดีเราก็โดนมาหลายคดีแล้ว เพราะเมื่อเราตัดสินไปหากไม่พอใจเขาก็ฟ้อง เราไม่ได้รับภูมิคุ้มกันเหมือนศาล”
เมื่อถามต่อว่า หาก กกต.ใหม่เข้าปฏิบัติหน้าที่ควรมีการเลือกประธานกกต.ใหม่หรือไม่ นางสดศรีกล่าวว่า กฎหมายไม่ได้เขียนว่าเมื่อได้รับคัดเลือกเป็นประธานกกต.แล้ว ต้องเป็นจนครบวาระ 7 ปี และตอนเข้ามาก็ไม่เคยลงสัตยาบันว่าให้คนนั้นคนนี้เป็น ที่ผ่านมา กกต.จังหวัดก็เปลี่ยนและเลือกกันบ่อย ส่วนประธานกกต.ปัจจุบันก็เป็นที่รู้อยู่แล้วว่าการทำงานของท่านเป็นอย่างไร นอกจากนี้ใครเป็นประธานก็มีหน้าที่แค่ออกงานสังคม งานพระราชพิธี แต่ในแง่ความเป็น กกต.แล้วทุกคนเท่ากัน ซึ่งเรื่องนี้เราคงไม่หยิบยกเอาขึ้นมาพูดแต่จะพูดเรื่องปรับโครงสร้างที่เป็นปัญหาเสียมากกว่า
ด้าน นายสมชัย กล่าวว่า กกต.จำเป็นต้องปรับโครงสร้างเพื่อให้การทำงานคล่องตัว และมองว่างานธุรการทางสำนักงานน่าจะจัดการได้ พร้อมทั้งเชื่อว่าเมื่อทำแล้วงานจะดีขึ้น แต่ถ้าจะปรับเป็นรูปบอร์ดจริงคงต้องมีการแก้ไขกฎหมาย เพราะเขียนในทำนองว่า กกต. ต้องรับผิดชอบงานทั้งหมด แต่ในเบื้องต้นเห็นว่าหากยังไม่แก้กฎหมาย ทางสำนักงานฯก็สามารถดูว่าเรื่องใดกฎหมายกำหนดเป็นภารกิจของ กกต.จึงค่อยนำเสนอที่ประชุม ไม่ใช่ทุกเรื่องอย่างที่ผ่านมา และที่ผ่านมากกต.ก็ไม่เคยมีมติว่าทุกเรื่องจะต้องเข้าสู่ที่ประชุม แต่เป็นการให้เกียรติของสำนักงานที่อยากให้ กกต.ได้รับรู้
นายสมชัย ยังเห็นว่า กกต.ใหม่ต้องรอบรู้กฎหมายโดยเฉพาะกฎหมายหมายมหาชน เพราะจะทำให้ทำงานได้ดีกว่าคนที่ไม่รู้กฎหมายทางด้านนี้ เนื่องจากบ้านเราปกครองด้วยหลักนิติรัฐ การเข้าใจกฎหมายปกครองจึงเป็นสิ่งสำคัญ และต้องมีสติปัญญารู้เท่าทันคนอื่น รู้ทันคนอื่นรู้ทันการเมือง เพราะระยะเวลาที่ผ่านมาพิสูจน์ได้ว่าเรารู้หน้าแต่ไม่รู้ใจ และอย่างเพิ่งด่วนตัดสินใจอะไรลงไปและอย่าหูเบา
รายงานข่าวแจ้งว่า การปรับโครงสร้างของ กกต. เลขาธิการ กกต.ได้เสนอที่ประชุมมาแล้วหนึ่งครั้ง โดย กกต. ส่วนมากแสดงความไม่เห็นด้วยโดยเฉพาะนางสดศรีและนายสมชัย ต้องการที่จะให้ปรับการทำงานเป็นรูปแบบคณะกรรมการ ขณะที่เลขาธิการ กกต. และนาย อภิชาต สุขัคคานท์ ประธาน กกต.ยังคงอยากให้กกต.ทำงานในลักษณะเดิม เพราะมองว่าหากทำงานเป็นรูปแบบบอร์ดเมื่อเกิดการฟ้องร้องขึ้นถึงเป็นเรื่องบริหารสำนักงาน ประธาน กกต. ก็ยังคงต้องรับผิดชอบในฐานะเป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุดตามกฎหมาย ขณะที่เลขาธิการ ก็ต้องรับผิดชอบฐานะหัวหน้าสำนักงาน ขณะที่ กกต.คนอื่นไม่ต้องรับผิดชอบร่วม แต่จะรับผิดชอบเฉพาะ กรณีมีมติประกาศผลเลือกตั้ง หรือใบเหลือง ใบแดง ที่ กกต.ให้ความเห็นชอบ แต่หากเรื่องใด กกต. คนใดเป็นเสียงข้างน้อยก็สามารถบันทึกไว้ในบันทึกการประชุม ซึ่งสามารถใช้เป็นหลักฐานในการต่อสู้คดีหากถูกฟ้องร้อง