“สดศรี” เผยดีเอสไอเตรียมส่งคดีเงินบริจาคพรรคประชาธิปัตย์ 258 ล้าน พร้อมเงินกองทุนฯ 23 ล้านที่ใช้ผิดวัตถุประสงค์ให้ กกต.สอบ ชี้อาจเข้าข่ายผิดกฎหมายพรรคการเมือง คาดสัปดาห์หน้าดีเอสไอส่งหลักฐานถึงมือกกต.แน่
วันนี้ (2 มี.ค) นางสดศรี สัตยธรรม กรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ด้านกิจการพรรคการเมือง ว่า ขณะนี้ กกต.ได้รับการติดต่อจากดีเอสไอว่าจะให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงเรื่องการบริจาคเงิน 258 ล้านบาท และเงินกองทุนเพื่อการพัฒนาพรรคการเมืองจำนวน 23 ล้านบาท ที่มีการใช้ผิดวัตถุประสงค์ของพรรคประชาธิปัตย์ เมื่อปี 2548 รวมทั้งข้อมูลเรื่องเงินกองทุนพัฒนาพรรคการเมืองที่นำไปให้บริษัท แมซไซอะ บิซิเนส แอนด์ ครีเอชั่น จำกัด ด้วย โดยเรื่องอยู่ระหว่าง ที่ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง อธิบดีดีเอสไอลงนามอยู่ ก่อนจะส่งมายัง กกต. ซึ่งทางดีเอสไอเห็นว่าเกี่ยวข้องกับการกระทำผิดตาม พ.ร.บ.พรรคการเมือง จึงเป็นเรื่องที่ กกต.พิจารณาโดยตรงไม่ใช่ดีเอสไอจะสอบ ส่วนเส้นทางการเงินที่เกี่ยวกับบริษัท แมซไซอะ หรือไม่ ดีเอสไอจะส่งสำนวนมาให้ กกต.ได้ในสัปดาห์หน้า ซึ่ง กกต.จะต้องตั้งอนุกรรมการขึ้นมาตรวจสอบข้อเท็จจริงและขอพยานหลักฐานจากดีเอสไอเพื่อจะได้รู้ว่ามีเส้นทางการเงินอย่างไร คาดว่าการพิจารณาคงใช้เวลาไม่นาน
“กกต.จะต้องดูหลักฐานจากดีเอสไอที่สอบไปแล้วว่าบุคคลเกี่ยวข้องเป็นกรรมการบริษัท แเมซไซอะ ด้วยว่าเกี่ยวข้องอะไรกับการนำเงินกองทุนพัฒนาพรรคการเมืองไปใช้ค่าโฆษณาเป็นไปตามจำนวนเงิน 23 ล้านบาทหรือไม่ ซึ่ง กกต.จะพิจารณาแค่ว่ามีการใช้เงินผิดประเภทหรือไม่เป็นตามโครงการของ กกต.หรือไม่” นางสดศรี กล่าว
นางสดศรี กล่าวว่า ส่วนบทลงโทษหากนำเงินไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ใช้เงินกองทุนพัฒนาพรรคการเมืองนั้น หัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรคในขณะนั้นอาจจะต้องถูกลงโทษทางอาญาจำคุก และปรับ ส่วนจะถึงขั้นยุบพรรคหรือไม่ เรื่องนี้คงต้องมาดูข้อเท็จจริงอีกครั้ง เพราะในช่วงปี 2548 ยังใช้รัฐธรรมนูญปี 2540 อยู่ และโทษในมาตรา 237 ของรัฐธรรมนูญปี 2550 ที่เกี่ยวกับยุบพรรคและเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง แต่ในรัฐธรรมนูญปี 2540 กลับไม่มี ดังนั้น จึงมีปัญหาว่าจะยุบพรรคได้หรือไม่ คงต้องเป็นเรื่องศาลรัฐธรรมนูญจะพิจารณาว่าจะย้อนหลังได้หรือไม่ และเรื่องนี้หากพบว่ามีความผิดจริงกรรมการบริหารพรรคในขณะนั้นจะถูกโทษตามกฎหมาย
“กฎหมายปกติจะไม่มีการย้อนหลังแต่ถ้ามองคดียุบพรรคไทยรักไทยก็ไม่แน่ใจว่าย้อนหลังได้หรือไม่ ส่วน กกต.จะส่งศาลรัฐธรรมนูญเองหรือไม่ ก็คงต้องดูข้อเท็จจริงก่อนว่ามีการใช้เงินผิดประเภทและเป็นไปตามแผนการที่พรรคประชาธิปัตย์ได้เสนอมายัง กกต.เมื่อปี 2548 หรือไม่ ยืนยันเรื่องนี้ กกต.ตรวจสอบไม่ยาก เพราะดีเอสไอได้สอบสวนมาแล้ว กกต.คงนำเอาสำนวนสอบของดีเอสไอมาสอบเป็นประเด็นหลัก รวมทั้งสอบพยานบุคคลตามที่ได้ระบุว่ามีการใช้จ่ายเงินดังกล่าวผิดวัตถุประสงค์ด้วย ทั้งนี้ การนำเงินกองทุนไปใช้ผิดประเภทจะเข้า พ.ร.บ.พรรคการเมือง โดย พ.ร.บ.พรรคการเมืองปี 2541 และ ปี 2550 ก็มีบทบัญญัติใกล้เคียงกันอยู่แล้วโทษก็คล้ายกัน” กกต.ด้านกิจการพรรคการเมือง
นางสดศรี กล่าวว่า แม้ กกต.เคยตอบกลับไปทางดีเอสไอไปว่าไม่พบการใช้เงินผิดแผนการในปี 2548 แต่ที่ กกต.เคยตรวจสอบยังไม่พบการใช้เงินผิดวัตถุประสงค์ในช่วงเวลานั้น เพราะมีการตรวจสอบเฉพาะเอกสารเท่านั้นที่มีการว่าจ้าง แต่ก็ยังไม่ตรวจสอบลึกถึงว่ามีการทำป้ายโฆษณาหาเสียงจริงหรือไม่ แต่ถ้าดีเอสไอมีหลักฐานลึกกว่านั้นก็เป็นเรื่องที่ กกต.จะเข้าไปพิจารณาว่าบริษัทที่ตรวจสอบบัญชีงบดุลขณะนั้นมีความผิดพลาดหรือไม่