นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่ร.ต.อ. เฉลิม อยู่บำรุง แกนนำพรรคฝ่ายค้านได้ออกมาเปิดเผยว่าได้รับข้อมูลในการอภิปรายเรื่องบริษัท ทีพีไอ โพลิน จำกัด (มหาชน) บริจาคเงิน 258 ล้านบาทให้พรรคประชาธิปัตย์ โดยไม่มีรายงานการบริจาคเงินก้อนนี้ จาก พล.ต.มนูญกฤต รูปขจร อดีต ส.ส.สัดส่วน พรรคประชาธิปัตย์ว่า พล.ต.มนูญกฤต ได้ลาออกไปแล้วไม่ทราบว่าข้อมูลที่ว่าคืออะไร เป็นธรรมดาของนักการเมืองก็พูดคุยกันได้ ตนไม่ได้กังวลอะไร และการลาออกของ พล.ต.มนูญกฤต นั้นไม่ได้มีปัญหากับพรรค ก็ยังพูดคุยกัน เมื่อถามว่า กังวลหรือไม่เพราะถือเป็นการเดิมพันสูงที่จะนำไปสู่การยุบพรรค นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ไม่เลย หน้าที่ตนมีหน้าที่ชี้แจงต่อ กกต.เท่านั้นเอง
ผู้สื่อข่าวถามว่ามั่นใจว่าพรรคประชาธิปัตย์จะไม่ถูกยุบหรือไม่ หลังจาก ร.ต.อ.เฉลิม ยื่นข้อมูลให้กกต. นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า เห็นว่าเรื่องทั้งหมดในขณะนี้เป็นข้อมูลส่วนหนึ่งมีบุคคลกลุ่มหนึ่งเกี่ยวข้อง แต่ในส่วนของพรรค ในช่วงที่ตนเข้ามาเดือน มี.ค. 2548 ก็รายงานเรื่องเงินบริจาคอยู่แล้ว และในการเลือกตั้งปี 2548 ก็มีการตรวจสอบหลักฐานและส่งให้กกต.รับรองอยู่แล้ว
ผู้สื่อข่าวถามว่าคิดว่าจะผ่านวิกฤติครั้งนี้ไปได้หรือไม่สำหรับพรรคประชาธิปัตย์ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า เป็นเรื่องปกติ กระบวนการกฎหมายต้องไปชี้แจง ต่อสู้ตรวจสอบว่ากันไป ตนยังไม่หนักใจเรื่องนี้มากไปกว่าปัญหาที่ต้องแก้ในเรื่อง เศรษฐกิจ ตนต้องเอาใจใส่เรื่องนั้นมากกว่า
ส่วนการให้ข้อมูลของ พล.ต.มนูญกฤตกับ ร.ต.อ.เฉลิม จะทำให้น้ำหนักในการอภิปรายไม่ไว้วางใจเพิ่มขึ้นหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ถ้าตนจำไม่ผิด พล.ต.มนูญกฤตไม่ได้อยู่ในพรรคในช่วงที่เกิดเหตุการณ์ขึ้น และไม่ได้เป็นสมาชิกพรรค ไม่ได้มีปัญหาอะไรเพราะเป็นแค่นักการเมืองคุยกัน เมื่อถามว่า ทำไมนายกรัฐมนตรี ถึงได้เลือกนายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกส่วนตัวพรรคประชาธิปัตย์ มาตามติดเรื่องนี้ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ไม่ขอตอบคำถามนี้ส่วนจะเข้าพบกับผู้นำฝ่ายค้านหรือไม่ต้องรอการประสานก่อน
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวไม่ค่อยเชื่อถือ ร.ต.อ.เฉลิม ดังนั้นข้อมูลที่มาจากเขาตนจึงไม่เชื่อ พวกเราก็เห็นอยู่แล้วในสภาฯ ถ้าพูดมากไปก็จะมาโกรธอีก
ผู้สื่อข่าวถามว่าที่บอกว่าไม่เชื่อนั้นหมายถึงว่าไม่เชื่อว่า พล.ต.มนูญกฤตจะเอาข้อมูลไปให้ ร.ต.อ.เฉลิมใช่หรือไม่ นายสุเทพ กล่าวว่า ตนไม่เชื่อสักอย่างที่ ร.ต.อ.เฉลิมพูด เพราะว่าส่วนใหญ่พูดไม่จริง
ต่อข้อถามว่า พล.ต.มนูญกฤตออกจากพรรคไปนั้นเพราะเหตุผลอะไร นายสุเทพ กล่าวว่า ท่านก็โทรศัพท์มาถึงตนว่าอยากจะไปทำอะไรในแนวทางของท่าน เอาสั้นๆ แค่นี้แล้วกัน แต่ยืนยันว่าไม่ได้มีอะไรขัดแย้งกัน จนถึงวันนี้ตนกับพล.ต.มนูญกฤต ไม่มีอะไรที่ขัดแย้งกัน เมื่อถามว่าแปลกใจหรือไม่ที่มีประเด็นเรื่องนี้ออกมา นายสุเทพ กล่าวว่า ถ้าคนอื่นพูดตนอาจจะเซอร์ไพรส์ แต่นี่เป็น ร.ต.อ.เฉลิม
ผู้สื่อข่าวถามว่าได้พูดคุยกับพล.ต.มนูญกฤต เกี่ยวกับเรื่องนี้หรือยัง นายสุเทพ กล่าวว่า ยัง เพราะถ้าตนเชื่อคำพูดของ ร.ต.อ.เฉลิม ก็ต้องโทรศัพท์ไปถาม พล.ต.มนูญกฤต แต่นี่ไม่เชื่อ ก็ไม่รู้จะโทรศัพท์ไปทำไม เดี๋ยว พล.ต.มนูญกฤตจะว่าตนว่าบ้าไปแล้วหรืออย่างไร ก็จะแย่หนักไปอีก
นางสดศรี สัตยธรรม กกต.ด้านกิจการพรรคการเมือง กล่าวถึงกรณีที่ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ส่งเจ้าหน้าที่มาร่วมเปิดกล่องแฟ้มเอกสารเงินบริจาค 258 ล้านบาทและเงินกองทุนพรรคพัฒนาพรรคการเมืองของพรรคประชาธิปัตย์เมื่อปี 2548 แต่ยังไม่สรุปสำนวนมาให้กกต. ว่า กกต.ได้ทำบันทึกข้อตกลงกับดีเอสไอ แล้วว่าดีเอสไอจะสรุปสำนวนให้กกต.ในวันที่ 27 มี.ค.นี้ จากนั้น กกต.จะพิจารณาว่า สำนวนดังกล่าวมีส่วนเกี่ยวข้องกับพ.ร.บ.พรรคการเมืองหรือไม่ เพราะดีเอสไอยังไม่ได้ยื่นคำร้องเข้ามาให้ กกต.สอบสวนในประเด็นใด มีแต่เอกสารเปล่าๆ ให้กกต.ดูเท่านั้น
อย่างไรก็ตามเมื่อ กกต.ได้รับสำนวนสรุปแล้ว ด้านกิจการพรรคการเมืองก็จะแจ้งให้ที่ประชุม กกต.ทราบว่าจะต้องดำเนินการอย่างไรต่อไป และประเด็นที่กกต.จะต้องวินิจฉัยดีเอสไอมีการสอบสวนไปแล้วมากน้อยเพียงใด
ส่วนที่พรรคเพื่อไทยจะยื่นให้ กกต.สอบในประเด็นเดียวกันนี้ กกต.ก็จะดูว่า คำร้องที่ยื่นนั้นมีเอกสารใดบ้าง เป็นชุดเดียวกับของดีเอสไอหรือไม่ ซึ่งถ้า กกต.รับดำเนินการและเห็นว่ามีความสัมพันธ์กับสำนวนที่ดีเอสไอส่งมาก็จะรวมเป็นเรื่องเดียวกัน
ถ้าพรรคเพื่อไทยยื่นคำร้องเข้ามาให้สอบสวนยุบพรรคประชาธิปัตย์ก็เป็น หน้าที่ของพรรคเพื่อไทยที่ต้องหาหลักฐานมาให้กกต.ไม่ใช่หน้าที่ของ กกต.ที่จะไปขอหลักฐานจากพรรคเพื่อไทย
ส่วนที่พรรคเพื่อไทยระบุว่า พล.ต.มนูญกฤตเป็นผู้ให้ขัอมูลในเรื่องเงิน 258 ล้านบาทในการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล นางสดศรี กล่าวว่า แน่นอน หากพรรคเพื่อไทยมีข้อมูลเช่นนั้น ก็ต้องสอบ พล.ต.มนูญกฤตด้วย แต่ต้องให้ พรรคเพื่อไทยยื่นคำร้องเข้ามาก่อนว่าจะให้กกต.ดำเนินการอย่างไร
ด้านนายสุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการ กกต.กล่าวว่า ขณะนี้มีความชัดเจน แล้วว่า เอกสารที่ดีเอสไอส่งมาไม่ใช่สำนวนสรุป แต่เป็นเรื่องจากการร้องทุกข์กล่าวโทษ ที่มีคนไปร้องต่อดีเอสไอ ให้ตรวจสอบกรณีที่กระทำความผิด พ.ร.บ.ตลาดหลักทรัพย์ฯ แต่เมื่อดีเอสไอเห็นว่ามีประเด็นที่เกี่ยวข้องกับ พ.ร.บ.พรรคการเมือง จึงส่งเรื่องมาให้ กกต.ดำเนินการ พร้อมกับจะเสนอสำนวนสรุปมาให้ ซึ่งขั้นตอนต่อจากนี้คณะทำงาน ของ กกต.จะทำการตรวจสอบเอกสาร และจะพิจารณาว่าอยู่ในอำนาจของนายทะเบียนพรรคการเมืองและกกต.ที่จะรับไว้หรือไม่
เรื่องดังกล่าวจะเข้าที่ประชุมกกต.เมื่อใดก็ขึ้นอยู่กับการตรวจสอบของคณะทำงานเสร็จเมื่อใด แต่เอกสารมีจำนวนกว่า 3 พันหน้าก็ต้องใช้เวลาพิจารณาพอสมควร ซึ่งนอกจากคณะทำงานฯจะดูว่าเอกสารมีอะไรบ้างแล้ว ก็จะดูว่าอยู่ในอำนาจ การพิจารณาของนายทะเบียนพรรคการเมืองและกกต.หรือไม่ หากมีส่วนเกี่ยวข้องกับตัวบทกฎหมายที่นายทะเบียนพรรคการเมืองและกกต.รับผิดชอบอยู่ ก็จะทำเรื่องเสนอ ต่อ กกต.ว่าจะดำเนินการต่อไปอย่างไร
ผู้สื่อข่าวถามว่าประธานกกต.รู้สึกอย่างไรกับกระแสข่าวเรื่องเอกสารหายไป นายสุทธิพล กล่าวว่า ตนไม่เคยแถลงข่าวเรื่องมีเอกสารหาย แต่แถลงไปว่าใบนำส่ง จำนวนแฟ้มกับใบปะหน้ากล่องไม่ตรงกัน และเอกสารดังกล่าว ก็ค่อนข้างส่งมาฉุกละหุก ไม่ได้มีการประสานเข้ามาก่อน ประกอบกับสถานการณ์ทางการเมืองเมื่อ กกต.พบว่ามันมีความผิดปกติ ก็จำเป็นที่จะต้องขอตรวจสอบ เมื่อได้รับคำยืนยันจากดีเอสไอว่าเอกสารครบถ้วนถูกต้อง กกต.ก็สบายใจขึ้น
นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์ว่า ในวันนี้ (27 มี.ค.) เวลา 10.00 น. จะนำเอกสารเรื่องเงินบริจาคพรรคประชาธิปัตย์จำนวน 258 ล้านบาท ที่ใช้ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ไปยื่นให้ กกต. เพื่อให้พิจารณาเอาผิดกับพรรคประชาธิปัตย์และกรรมการบริหารพรรค
ไม่ใช่ไม่กล้า แต่ที่ผ่านมาได้รอให้เรื่องที่เกี่ยวกับ กกต. และดีเอสไอมีความชัดเจนก่อน จากนั้นพรรคจะเอาหลักฐานที่มีอยู่และมากกว่าของดีเอสไอไปยื่นให้ กกต. ส่วนจะพิจารณายุบพรรคได้หรือไม่ เป็นเรื่องที่ กกต.จะพิจารณาตามกฎหมาย แต่หลักฐานที่พรรคเพื่อไทยยื่นให้กับ กกต.เป็นหลักฐานที่สำคัญหลายเรื่อง ดังนั้น กกต.ต้องรักษามาตรฐานและพิสูจน์ตัวเอง
นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ตนเดินทาง ไปยื่นหนังสือต่อเลขาธิการคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์ ให้ดำเนินการตรวจสอบ บริษัท ทีพีไอฯ ซึ่งอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ บริจาคเงิน 285 ล้านบาทให้พรรคประชาธิปัตย์โดยไม่แจ้งให้ทราบ ซึ่งถือว่าผิดระเบียบตลาดหลักทรัพย์
ผู้สื่อข่าวถามว่ามั่นใจว่าพรรคประชาธิปัตย์จะไม่ถูกยุบหรือไม่ หลังจาก ร.ต.อ.เฉลิม ยื่นข้อมูลให้กกต. นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า เห็นว่าเรื่องทั้งหมดในขณะนี้เป็นข้อมูลส่วนหนึ่งมีบุคคลกลุ่มหนึ่งเกี่ยวข้อง แต่ในส่วนของพรรค ในช่วงที่ตนเข้ามาเดือน มี.ค. 2548 ก็รายงานเรื่องเงินบริจาคอยู่แล้ว และในการเลือกตั้งปี 2548 ก็มีการตรวจสอบหลักฐานและส่งให้กกต.รับรองอยู่แล้ว
ผู้สื่อข่าวถามว่าคิดว่าจะผ่านวิกฤติครั้งนี้ไปได้หรือไม่สำหรับพรรคประชาธิปัตย์ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า เป็นเรื่องปกติ กระบวนการกฎหมายต้องไปชี้แจง ต่อสู้ตรวจสอบว่ากันไป ตนยังไม่หนักใจเรื่องนี้มากไปกว่าปัญหาที่ต้องแก้ในเรื่อง เศรษฐกิจ ตนต้องเอาใจใส่เรื่องนั้นมากกว่า
ส่วนการให้ข้อมูลของ พล.ต.มนูญกฤตกับ ร.ต.อ.เฉลิม จะทำให้น้ำหนักในการอภิปรายไม่ไว้วางใจเพิ่มขึ้นหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ถ้าตนจำไม่ผิด พล.ต.มนูญกฤตไม่ได้อยู่ในพรรคในช่วงที่เกิดเหตุการณ์ขึ้น และไม่ได้เป็นสมาชิกพรรค ไม่ได้มีปัญหาอะไรเพราะเป็นแค่นักการเมืองคุยกัน เมื่อถามว่า ทำไมนายกรัฐมนตรี ถึงได้เลือกนายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกส่วนตัวพรรคประชาธิปัตย์ มาตามติดเรื่องนี้ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ไม่ขอตอบคำถามนี้ส่วนจะเข้าพบกับผู้นำฝ่ายค้านหรือไม่ต้องรอการประสานก่อน
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวไม่ค่อยเชื่อถือ ร.ต.อ.เฉลิม ดังนั้นข้อมูลที่มาจากเขาตนจึงไม่เชื่อ พวกเราก็เห็นอยู่แล้วในสภาฯ ถ้าพูดมากไปก็จะมาโกรธอีก
ผู้สื่อข่าวถามว่าที่บอกว่าไม่เชื่อนั้นหมายถึงว่าไม่เชื่อว่า พล.ต.มนูญกฤตจะเอาข้อมูลไปให้ ร.ต.อ.เฉลิมใช่หรือไม่ นายสุเทพ กล่าวว่า ตนไม่เชื่อสักอย่างที่ ร.ต.อ.เฉลิมพูด เพราะว่าส่วนใหญ่พูดไม่จริง
ต่อข้อถามว่า พล.ต.มนูญกฤตออกจากพรรคไปนั้นเพราะเหตุผลอะไร นายสุเทพ กล่าวว่า ท่านก็โทรศัพท์มาถึงตนว่าอยากจะไปทำอะไรในแนวทางของท่าน เอาสั้นๆ แค่นี้แล้วกัน แต่ยืนยันว่าไม่ได้มีอะไรขัดแย้งกัน จนถึงวันนี้ตนกับพล.ต.มนูญกฤต ไม่มีอะไรที่ขัดแย้งกัน เมื่อถามว่าแปลกใจหรือไม่ที่มีประเด็นเรื่องนี้ออกมา นายสุเทพ กล่าวว่า ถ้าคนอื่นพูดตนอาจจะเซอร์ไพรส์ แต่นี่เป็น ร.ต.อ.เฉลิม
ผู้สื่อข่าวถามว่าได้พูดคุยกับพล.ต.มนูญกฤต เกี่ยวกับเรื่องนี้หรือยัง นายสุเทพ กล่าวว่า ยัง เพราะถ้าตนเชื่อคำพูดของ ร.ต.อ.เฉลิม ก็ต้องโทรศัพท์ไปถาม พล.ต.มนูญกฤต แต่นี่ไม่เชื่อ ก็ไม่รู้จะโทรศัพท์ไปทำไม เดี๋ยว พล.ต.มนูญกฤตจะว่าตนว่าบ้าไปแล้วหรืออย่างไร ก็จะแย่หนักไปอีก
นางสดศรี สัตยธรรม กกต.ด้านกิจการพรรคการเมือง กล่าวถึงกรณีที่ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ส่งเจ้าหน้าที่มาร่วมเปิดกล่องแฟ้มเอกสารเงินบริจาค 258 ล้านบาทและเงินกองทุนพรรคพัฒนาพรรคการเมืองของพรรคประชาธิปัตย์เมื่อปี 2548 แต่ยังไม่สรุปสำนวนมาให้กกต. ว่า กกต.ได้ทำบันทึกข้อตกลงกับดีเอสไอ แล้วว่าดีเอสไอจะสรุปสำนวนให้กกต.ในวันที่ 27 มี.ค.นี้ จากนั้น กกต.จะพิจารณาว่า สำนวนดังกล่าวมีส่วนเกี่ยวข้องกับพ.ร.บ.พรรคการเมืองหรือไม่ เพราะดีเอสไอยังไม่ได้ยื่นคำร้องเข้ามาให้ กกต.สอบสวนในประเด็นใด มีแต่เอกสารเปล่าๆ ให้กกต.ดูเท่านั้น
อย่างไรก็ตามเมื่อ กกต.ได้รับสำนวนสรุปแล้ว ด้านกิจการพรรคการเมืองก็จะแจ้งให้ที่ประชุม กกต.ทราบว่าจะต้องดำเนินการอย่างไรต่อไป และประเด็นที่กกต.จะต้องวินิจฉัยดีเอสไอมีการสอบสวนไปแล้วมากน้อยเพียงใด
ส่วนที่พรรคเพื่อไทยจะยื่นให้ กกต.สอบในประเด็นเดียวกันนี้ กกต.ก็จะดูว่า คำร้องที่ยื่นนั้นมีเอกสารใดบ้าง เป็นชุดเดียวกับของดีเอสไอหรือไม่ ซึ่งถ้า กกต.รับดำเนินการและเห็นว่ามีความสัมพันธ์กับสำนวนที่ดีเอสไอส่งมาก็จะรวมเป็นเรื่องเดียวกัน
ถ้าพรรคเพื่อไทยยื่นคำร้องเข้ามาให้สอบสวนยุบพรรคประชาธิปัตย์ก็เป็น หน้าที่ของพรรคเพื่อไทยที่ต้องหาหลักฐานมาให้กกต.ไม่ใช่หน้าที่ของ กกต.ที่จะไปขอหลักฐานจากพรรคเพื่อไทย
ส่วนที่พรรคเพื่อไทยระบุว่า พล.ต.มนูญกฤตเป็นผู้ให้ขัอมูลในเรื่องเงิน 258 ล้านบาทในการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล นางสดศรี กล่าวว่า แน่นอน หากพรรคเพื่อไทยมีข้อมูลเช่นนั้น ก็ต้องสอบ พล.ต.มนูญกฤตด้วย แต่ต้องให้ พรรคเพื่อไทยยื่นคำร้องเข้ามาก่อนว่าจะให้กกต.ดำเนินการอย่างไร
ด้านนายสุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการ กกต.กล่าวว่า ขณะนี้มีความชัดเจน แล้วว่า เอกสารที่ดีเอสไอส่งมาไม่ใช่สำนวนสรุป แต่เป็นเรื่องจากการร้องทุกข์กล่าวโทษ ที่มีคนไปร้องต่อดีเอสไอ ให้ตรวจสอบกรณีที่กระทำความผิด พ.ร.บ.ตลาดหลักทรัพย์ฯ แต่เมื่อดีเอสไอเห็นว่ามีประเด็นที่เกี่ยวข้องกับ พ.ร.บ.พรรคการเมือง จึงส่งเรื่องมาให้ กกต.ดำเนินการ พร้อมกับจะเสนอสำนวนสรุปมาให้ ซึ่งขั้นตอนต่อจากนี้คณะทำงาน ของ กกต.จะทำการตรวจสอบเอกสาร และจะพิจารณาว่าอยู่ในอำนาจของนายทะเบียนพรรคการเมืองและกกต.ที่จะรับไว้หรือไม่
เรื่องดังกล่าวจะเข้าที่ประชุมกกต.เมื่อใดก็ขึ้นอยู่กับการตรวจสอบของคณะทำงานเสร็จเมื่อใด แต่เอกสารมีจำนวนกว่า 3 พันหน้าก็ต้องใช้เวลาพิจารณาพอสมควร ซึ่งนอกจากคณะทำงานฯจะดูว่าเอกสารมีอะไรบ้างแล้ว ก็จะดูว่าอยู่ในอำนาจ การพิจารณาของนายทะเบียนพรรคการเมืองและกกต.หรือไม่ หากมีส่วนเกี่ยวข้องกับตัวบทกฎหมายที่นายทะเบียนพรรคการเมืองและกกต.รับผิดชอบอยู่ ก็จะทำเรื่องเสนอ ต่อ กกต.ว่าจะดำเนินการต่อไปอย่างไร
ผู้สื่อข่าวถามว่าประธานกกต.รู้สึกอย่างไรกับกระแสข่าวเรื่องเอกสารหายไป นายสุทธิพล กล่าวว่า ตนไม่เคยแถลงข่าวเรื่องมีเอกสารหาย แต่แถลงไปว่าใบนำส่ง จำนวนแฟ้มกับใบปะหน้ากล่องไม่ตรงกัน และเอกสารดังกล่าว ก็ค่อนข้างส่งมาฉุกละหุก ไม่ได้มีการประสานเข้ามาก่อน ประกอบกับสถานการณ์ทางการเมืองเมื่อ กกต.พบว่ามันมีความผิดปกติ ก็จำเป็นที่จะต้องขอตรวจสอบ เมื่อได้รับคำยืนยันจากดีเอสไอว่าเอกสารครบถ้วนถูกต้อง กกต.ก็สบายใจขึ้น
นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์ว่า ในวันนี้ (27 มี.ค.) เวลา 10.00 น. จะนำเอกสารเรื่องเงินบริจาคพรรคประชาธิปัตย์จำนวน 258 ล้านบาท ที่ใช้ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ไปยื่นให้ กกต. เพื่อให้พิจารณาเอาผิดกับพรรคประชาธิปัตย์และกรรมการบริหารพรรค
ไม่ใช่ไม่กล้า แต่ที่ผ่านมาได้รอให้เรื่องที่เกี่ยวกับ กกต. และดีเอสไอมีความชัดเจนก่อน จากนั้นพรรคจะเอาหลักฐานที่มีอยู่และมากกว่าของดีเอสไอไปยื่นให้ กกต. ส่วนจะพิจารณายุบพรรคได้หรือไม่ เป็นเรื่องที่ กกต.จะพิจารณาตามกฎหมาย แต่หลักฐานที่พรรคเพื่อไทยยื่นให้กับ กกต.เป็นหลักฐานที่สำคัญหลายเรื่อง ดังนั้น กกต.ต้องรักษามาตรฐานและพิสูจน์ตัวเอง
นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ตนเดินทาง ไปยื่นหนังสือต่อเลขาธิการคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์ ให้ดำเนินการตรวจสอบ บริษัท ทีพีไอฯ ซึ่งอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ บริจาคเงิน 285 ล้านบาทให้พรรคประชาธิปัตย์โดยไม่แจ้งให้ทราบ ซึ่งถือว่าผิดระเบียบตลาดหลักทรัพย์