เมื่อเวลา10.00 น. วานนี้ (22มี.ค.) ณ ฮอลล์ 3 อิมแพค เมืองทองธานี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิดโครงการต้นกล้าอาชีพ ซึ่งจัดโดยสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี มีนายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ รองนายกรัฐมนตรี นายไพฑูรย์ แก้วทอง รมว.แรงงาน นายสมชาย ชุ่มรัตน์ ปลัดกระทรวงแรงงาน และ ผู้ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมงาน
นายกรัฐมนตรี ได้ชมภาพวีดิทัศน์ความเป็นมาของโครงการต้นกล้าอาชีพ ก่อนกล่าวเปิดงาน ว่า ขณะนี้ภาวะวิกฤตเศรษฐกิจกำลังเกิดขึ้นทั่วโลก และกระทบมาถึงประเทศไทย เป็นภาวะที่หลายประเทศ หลายยุคหลายสมัยต้องเผชิญ ประเทศไทยก็เคยเผชิญกับภาวะวิกฤตเศรษฐกิจที่รุนแรงที่สุดครั้งหนึ่งมาแล้วเมื่อปี 2540 ทุกครั้งที่มีภาวะวิกฤตเข้าใจดีว่าจะมีทั้งความกังวล ความห่วงใย ความตื่นตระหนกในบางครั้ง และทำให้หลายคนหมดหวังสิ้นหวัง หรือได้รับความเดือดร้อนอย่างรุนแรง ซึ่งไม่ว่า แนวทางการแก้ปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจ หรือวิกฤตต่างๆ จะเป็นอย่างไร สิ่งหนึ่งที่ยืนยันได้ก็คือรัฐบาลนี้ได้ตั้งเป้าหมายสำคัญไว้ 2 เป้าหมาย คือ
1.ไม่ทำให้วิกฤตเศรษฐกิจลุกลามไปเป็นวิกฤตของสังคม หรือวิกฤตชีวิตของประชาชน ปัญหาเรื่องของการว่างงาน หรือการตกงานจึงเป็นปัญหาที่สำคัญที่สุดที่รัฐบาลจะต้องดูแล ซึ่งนโยบายต่างๆ ที่จะดำเนินการ หรือที่ได้ดำเนินการไปแล้ว จะต้องประคับประคองเศรษฐกิจ เพื่อลดหรือชะลอการเลิกจ้างให้ได้มากที่สุด รวมทั้งเมื่อมีการเลิกจ้างงานแล้ว จะต้องชดเชยดูแลให้ผู้ที่ถูกปลดออกจากงาน หรือคนที่ตกงาน ไม่เผชิญกับความเดือดร้อนมากจนเกินไป โดยต้องรวมถึงการสร้างโอกาสใหม่ให้ด้วย
2. ทุกครั้งที่เศรษฐกิจใดก็ตามเผชิญกับภาวะวิกฤต เมื่อมีการออกมาจากวิกฤตแล้ว เศรษฐกิจจะไม่กลับไปเหมือนเดิม จะมีการปรับโครงสร้างปรับเปลี่ยนลักษณะของเศรษฐกิจไปในตัว เพราะฉะนั้นในทุกวิกฤต จะมีโอกาส เศรษฐกิจที่ฟื้นขึ้นมาหลังจากวิกฤตต้องเป็นเศรษฐกิจที่ดีกว่า ซึ่งรัฐบาลก็มีเป้าหมายอยู่หลายประการว่า เศรษฐกิจเมื่อฟื้นตัวขึ้นมาต้องดีกว่าเดิมในแง่ของความสมดุล ในแง่ของการเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ในแง่ของการเป็นเศรษฐกิจที่มีความยั่งยืน และสอดคล้องกับแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งเป้าหมายดังกล่าวคือ ที่มาของโครงการต้นกล้าอาชีพ
นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงหลักการสำคัญของโครงการต้นกล้าอาชีพคือ จะต้องสร้างโอกาสใหม่ให้กับทุกๆ คนที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจ ด้วยการทำงานอย่างเป็นระบบ มีการบูรณาการ ใช้งบประมาณ 6,900 ล้านบาท อย่างมีประสิทธิภาพ และครอบคลุม เพื่อที่จะฟื้นฟู อบรม สร้างโอกาสให้กับคนไม่น้อยกว่า 500,000 คน ให้ได้รับการฝึกอบรมทักษะที่หลากหลาย รวมทั้งมีการเตรียมงานรองรับกับทักษะเหล่านี้ เปิดโอกาสให้สถานศึกษา หรือสถาบันฝึกอบรมต่าง ๆ เข้ามามีส่วนร่วม และรวมไปถึงภาคธุรกิจเอกชนด้วย และเปิดทางเลือกให้กับทุกคน
ทั้งนี้ สิ่งหนึ่งที่อยากจะเห็นคือถ้าเราสามารถใช้วิกฤตตรงนี้เป็นโอกาส ทำให้คนซึ่งเคยมีงานทำ ที่อาจจะอยู่ในภาคอุตสาหกรรมในเมืองใหญ่ ๆ สามารถมารับความรู้ทักษะบางอย่าง แล้วสามารถกลับไปที่ภูมิลำเนาเดิมของตนได้ สามารถไปเริ่มต้นอาชีพใหม่ หรือไปเริ่มต้นธุรกิจใหม่ โดยไม่ต้องมาแสวงหาแย่งโอกาสกันในเมือง ก็จะเป็นการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจให้เกิดความสมดุล และมีการกระจายโอกาส กระจายรายได้ไปสู่ชนบทมากขึ้นด้วย เพราะฉะนั้นการออกแบบโครงการนี้ จึงเป็นการให้ทักษะที่หลากหลาย และดูแลในเรื่องเบี้ยเลี้ยง ค่าใช้จ่ายในช่วงนี้ และเมื่อกลับคืนภูมิลำเนา ก็จะมีเงินทุนหรือเงินสนับสนุนอีกก้อนหนึ่ง เพื่อให้ไปเริ่มต้นชีวิตหรือธุรกิจใหม่ในชนบท หรือในภูมิลำเนาเดิมด้วย
"มีผู้ที่ได้ให้ความสนใจในโครงการนี้ค่อนข้างที่จะหลากหลายเป็นจำนวนมาก ซึ่งเป็นการยืนยันว่า โครงการนี้เป็นที่ต้องการของพี่น้องประชาชนจำนวนมาก ฉะนั้นรัฐบาลจะทำงานนี้อย่างต่อเนื่องต่อไป จึงขอถือโอกาสนี้เชิญชวนภาคเอกชน ที่มีความสนใจที่จะเข้ามาร่วมโครงการในลักษณะนี้ ขณะที่เอกชนอาจจะดำเนินการเอง โดยรับแรงจูงใจบางอย่างจากภาครัฐต่อไป หวังเป็นอย่างยิ่งว่าโครงการนี้ ซึ่งเป็นโครงการที่เพิ่มศักยภาพให้กับผู้ว่างงาน เพื่อสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ และสังคมในชุมชนจะบรรลุความสำเร็จตามวัตถุประสงค์ของโครงการ และตามเป้าหมายในการแก้ไขปัญหาให้ประชาชน และฟันฝ่าวิกฤตครั้งนี้ไปได้"นายกรัฐมนตรีกล่าว
ทั้งนี้ โครงการฝึกอบรมระยะสั้น "ต้นกล้าอาชีพ" กำหนดดำเนินโครงการเป็น 2 ระยะ ได้ตั้งเป้าช่วยผู้ที่ว่างงานปี 52 จำนวน 240,000 คน ปี 53 จำนวน 260,000 คน รวม 500,000 คน ซึ่งโครงการฯ มีหลักสูตรพัฒนาความสามารถฝีมือแรงงานมากกว่า 1,000 หลักสูตรใน 8 กลุ่มวิชาชีพ ให้ผู้ที่กำลังว่างงานได้เลือกตามความถนัด และสนใจ พร้อมด้วยสถานที่ฝึกอบรมทั่วประเทศกว่า 500 แห่ง รองรับผู้เข้าอบรมแต่ละรุ่นได้ถึงครั้งละ 40,000 - 50,000 คน โดยผู้ที่ได้รับคัดเลือกให้เข้าฝึกอบรม จะได้รับการฝึกอบรมฟรีพร้อมได้รับเงินค่าเบี้ยเลี้ยงต่างๆ กำหนดรับสมัคร รุ่นแรก วันที่ 18-24 มี.ค.52 รุ่นที่สอง วันที่11-22 พ.ค.52 สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมหรือสมัครเข้าร่วมโครงการได้ที่ www.tonkla-archeep.com หรือ สถาบันการศึกษาที่เข้าร่วมโครงการทั่วประเทศ หรือที่สำนักงานจัดหางานจังหวัดทั่วประเทศ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่ โทร .1111
**บุรีรัมย์แห่ร่วมโครงการต้นกล้าฯ
ผู้สื่อข่าวรายงานจาก จ.บุรีรัมย์ ว่า แรงงานที่ว่างงาน และผู้ถูกเลิกจ้างรวมไปถึงนักศึกษาจบใหม่ สนใจมาลงทะเบียนเข้าฝึกอาชีพหลักสูตรระยะสั้น ในโครงการ “ต้นกล้าอาชีพ” ตามนโยบายของรัฐบาล ที่สำนักงานจัดหางานจังหวัดบุรีรัมย์แล้วกว่า 100 คน โดยได้มีการเปิดรับสมัครทั้งวันทำการ และวันหยุดเสาร์ -อาทิตย์ ตั้งแต่วันที่18 -24 มี.ค.นี้
ผู้ที่มาลงทะเบียนส่วนใหญ่ สนใจเข้าฝึกอบรมหลักสูตรคอมพิวเตอร์ ช่างซ่อม และหลักสูตรนวดแผนไทย เพื่อนำความรู้ ประสบการณ์ และทักษะฝีมือจากการฝึกอบรมไปประกอบอาชีพตามความถนัด
ทั้งนี้ ในระหว่างการฝึก ผู้ที่เข้าร่วมโครงการ ยังจะได้รับค่าแรง และเบี้ยเลี้ยงรายละ200 บาทต่อวันเพื่อเป็นการช่วยเหลือเบาเทาความเดือดร้อนให้กับผู้ว่างงานดังกล่าวด้วย
นายสุทธิ สุโกศล จัดหางานจังหวัดบุรีรัมย์ กล่าวว่า โครงการดังกล่าวเป็นโครงการที่เปิดโอกาสให้ผู้ว่างงาน ผู้ถูกเลิกจ้าง และนักศึกษาจบใหม่ ที่ยังขาดทักษะฝีมือ หรือ ความชำนาญในด้านการประกอบอาชีพต่างๆ เข้ามาฝึกอบรม เพื่อให้เกิดความพร้อมก่อนจะเข้าสู่ตลาดแรงงานหรือประกอบอาชีพอิสระเพื่อให้สามารถอยู่รอดได้ในภาวะวิกฤตเศรษฐกิจเช่นนี้ ซึ่งล่าสุดบุรีรัมย์ มีผู้ว่างงานทั้งจังหวัด กว่า 14,000 คน
นายกรัฐมนตรี ได้ชมภาพวีดิทัศน์ความเป็นมาของโครงการต้นกล้าอาชีพ ก่อนกล่าวเปิดงาน ว่า ขณะนี้ภาวะวิกฤตเศรษฐกิจกำลังเกิดขึ้นทั่วโลก และกระทบมาถึงประเทศไทย เป็นภาวะที่หลายประเทศ หลายยุคหลายสมัยต้องเผชิญ ประเทศไทยก็เคยเผชิญกับภาวะวิกฤตเศรษฐกิจที่รุนแรงที่สุดครั้งหนึ่งมาแล้วเมื่อปี 2540 ทุกครั้งที่มีภาวะวิกฤตเข้าใจดีว่าจะมีทั้งความกังวล ความห่วงใย ความตื่นตระหนกในบางครั้ง และทำให้หลายคนหมดหวังสิ้นหวัง หรือได้รับความเดือดร้อนอย่างรุนแรง ซึ่งไม่ว่า แนวทางการแก้ปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจ หรือวิกฤตต่างๆ จะเป็นอย่างไร สิ่งหนึ่งที่ยืนยันได้ก็คือรัฐบาลนี้ได้ตั้งเป้าหมายสำคัญไว้ 2 เป้าหมาย คือ
1.ไม่ทำให้วิกฤตเศรษฐกิจลุกลามไปเป็นวิกฤตของสังคม หรือวิกฤตชีวิตของประชาชน ปัญหาเรื่องของการว่างงาน หรือการตกงานจึงเป็นปัญหาที่สำคัญที่สุดที่รัฐบาลจะต้องดูแล ซึ่งนโยบายต่างๆ ที่จะดำเนินการ หรือที่ได้ดำเนินการไปแล้ว จะต้องประคับประคองเศรษฐกิจ เพื่อลดหรือชะลอการเลิกจ้างให้ได้มากที่สุด รวมทั้งเมื่อมีการเลิกจ้างงานแล้ว จะต้องชดเชยดูแลให้ผู้ที่ถูกปลดออกจากงาน หรือคนที่ตกงาน ไม่เผชิญกับความเดือดร้อนมากจนเกินไป โดยต้องรวมถึงการสร้างโอกาสใหม่ให้ด้วย
2. ทุกครั้งที่เศรษฐกิจใดก็ตามเผชิญกับภาวะวิกฤต เมื่อมีการออกมาจากวิกฤตแล้ว เศรษฐกิจจะไม่กลับไปเหมือนเดิม จะมีการปรับโครงสร้างปรับเปลี่ยนลักษณะของเศรษฐกิจไปในตัว เพราะฉะนั้นในทุกวิกฤต จะมีโอกาส เศรษฐกิจที่ฟื้นขึ้นมาหลังจากวิกฤตต้องเป็นเศรษฐกิจที่ดีกว่า ซึ่งรัฐบาลก็มีเป้าหมายอยู่หลายประการว่า เศรษฐกิจเมื่อฟื้นตัวขึ้นมาต้องดีกว่าเดิมในแง่ของความสมดุล ในแง่ของการเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ในแง่ของการเป็นเศรษฐกิจที่มีความยั่งยืน และสอดคล้องกับแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งเป้าหมายดังกล่าวคือ ที่มาของโครงการต้นกล้าอาชีพ
นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงหลักการสำคัญของโครงการต้นกล้าอาชีพคือ จะต้องสร้างโอกาสใหม่ให้กับทุกๆ คนที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจ ด้วยการทำงานอย่างเป็นระบบ มีการบูรณาการ ใช้งบประมาณ 6,900 ล้านบาท อย่างมีประสิทธิภาพ และครอบคลุม เพื่อที่จะฟื้นฟู อบรม สร้างโอกาสให้กับคนไม่น้อยกว่า 500,000 คน ให้ได้รับการฝึกอบรมทักษะที่หลากหลาย รวมทั้งมีการเตรียมงานรองรับกับทักษะเหล่านี้ เปิดโอกาสให้สถานศึกษา หรือสถาบันฝึกอบรมต่าง ๆ เข้ามามีส่วนร่วม และรวมไปถึงภาคธุรกิจเอกชนด้วย และเปิดทางเลือกให้กับทุกคน
ทั้งนี้ สิ่งหนึ่งที่อยากจะเห็นคือถ้าเราสามารถใช้วิกฤตตรงนี้เป็นโอกาส ทำให้คนซึ่งเคยมีงานทำ ที่อาจจะอยู่ในภาคอุตสาหกรรมในเมืองใหญ่ ๆ สามารถมารับความรู้ทักษะบางอย่าง แล้วสามารถกลับไปที่ภูมิลำเนาเดิมของตนได้ สามารถไปเริ่มต้นอาชีพใหม่ หรือไปเริ่มต้นธุรกิจใหม่ โดยไม่ต้องมาแสวงหาแย่งโอกาสกันในเมือง ก็จะเป็นการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจให้เกิดความสมดุล และมีการกระจายโอกาส กระจายรายได้ไปสู่ชนบทมากขึ้นด้วย เพราะฉะนั้นการออกแบบโครงการนี้ จึงเป็นการให้ทักษะที่หลากหลาย และดูแลในเรื่องเบี้ยเลี้ยง ค่าใช้จ่ายในช่วงนี้ และเมื่อกลับคืนภูมิลำเนา ก็จะมีเงินทุนหรือเงินสนับสนุนอีกก้อนหนึ่ง เพื่อให้ไปเริ่มต้นชีวิตหรือธุรกิจใหม่ในชนบท หรือในภูมิลำเนาเดิมด้วย
"มีผู้ที่ได้ให้ความสนใจในโครงการนี้ค่อนข้างที่จะหลากหลายเป็นจำนวนมาก ซึ่งเป็นการยืนยันว่า โครงการนี้เป็นที่ต้องการของพี่น้องประชาชนจำนวนมาก ฉะนั้นรัฐบาลจะทำงานนี้อย่างต่อเนื่องต่อไป จึงขอถือโอกาสนี้เชิญชวนภาคเอกชน ที่มีความสนใจที่จะเข้ามาร่วมโครงการในลักษณะนี้ ขณะที่เอกชนอาจจะดำเนินการเอง โดยรับแรงจูงใจบางอย่างจากภาครัฐต่อไป หวังเป็นอย่างยิ่งว่าโครงการนี้ ซึ่งเป็นโครงการที่เพิ่มศักยภาพให้กับผู้ว่างงาน เพื่อสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ และสังคมในชุมชนจะบรรลุความสำเร็จตามวัตถุประสงค์ของโครงการ และตามเป้าหมายในการแก้ไขปัญหาให้ประชาชน และฟันฝ่าวิกฤตครั้งนี้ไปได้"นายกรัฐมนตรีกล่าว
ทั้งนี้ โครงการฝึกอบรมระยะสั้น "ต้นกล้าอาชีพ" กำหนดดำเนินโครงการเป็น 2 ระยะ ได้ตั้งเป้าช่วยผู้ที่ว่างงานปี 52 จำนวน 240,000 คน ปี 53 จำนวน 260,000 คน รวม 500,000 คน ซึ่งโครงการฯ มีหลักสูตรพัฒนาความสามารถฝีมือแรงงานมากกว่า 1,000 หลักสูตรใน 8 กลุ่มวิชาชีพ ให้ผู้ที่กำลังว่างงานได้เลือกตามความถนัด และสนใจ พร้อมด้วยสถานที่ฝึกอบรมทั่วประเทศกว่า 500 แห่ง รองรับผู้เข้าอบรมแต่ละรุ่นได้ถึงครั้งละ 40,000 - 50,000 คน โดยผู้ที่ได้รับคัดเลือกให้เข้าฝึกอบรม จะได้รับการฝึกอบรมฟรีพร้อมได้รับเงินค่าเบี้ยเลี้ยงต่างๆ กำหนดรับสมัคร รุ่นแรก วันที่ 18-24 มี.ค.52 รุ่นที่สอง วันที่11-22 พ.ค.52 สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมหรือสมัครเข้าร่วมโครงการได้ที่ www.tonkla-archeep.com หรือ สถาบันการศึกษาที่เข้าร่วมโครงการทั่วประเทศ หรือที่สำนักงานจัดหางานจังหวัดทั่วประเทศ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่ โทร .1111
**บุรีรัมย์แห่ร่วมโครงการต้นกล้าฯ
ผู้สื่อข่าวรายงานจาก จ.บุรีรัมย์ ว่า แรงงานที่ว่างงาน และผู้ถูกเลิกจ้างรวมไปถึงนักศึกษาจบใหม่ สนใจมาลงทะเบียนเข้าฝึกอาชีพหลักสูตรระยะสั้น ในโครงการ “ต้นกล้าอาชีพ” ตามนโยบายของรัฐบาล ที่สำนักงานจัดหางานจังหวัดบุรีรัมย์แล้วกว่า 100 คน โดยได้มีการเปิดรับสมัครทั้งวันทำการ และวันหยุดเสาร์ -อาทิตย์ ตั้งแต่วันที่18 -24 มี.ค.นี้
ผู้ที่มาลงทะเบียนส่วนใหญ่ สนใจเข้าฝึกอบรมหลักสูตรคอมพิวเตอร์ ช่างซ่อม และหลักสูตรนวดแผนไทย เพื่อนำความรู้ ประสบการณ์ และทักษะฝีมือจากการฝึกอบรมไปประกอบอาชีพตามความถนัด
ทั้งนี้ ในระหว่างการฝึก ผู้ที่เข้าร่วมโครงการ ยังจะได้รับค่าแรง และเบี้ยเลี้ยงรายละ200 บาทต่อวันเพื่อเป็นการช่วยเหลือเบาเทาความเดือดร้อนให้กับผู้ว่างงานดังกล่าวด้วย
นายสุทธิ สุโกศล จัดหางานจังหวัดบุรีรัมย์ กล่าวว่า โครงการดังกล่าวเป็นโครงการที่เปิดโอกาสให้ผู้ว่างงาน ผู้ถูกเลิกจ้าง และนักศึกษาจบใหม่ ที่ยังขาดทักษะฝีมือ หรือ ความชำนาญในด้านการประกอบอาชีพต่างๆ เข้ามาฝึกอบรม เพื่อให้เกิดความพร้อมก่อนจะเข้าสู่ตลาดแรงงานหรือประกอบอาชีพอิสระเพื่อให้สามารถอยู่รอดได้ในภาวะวิกฤตเศรษฐกิจเช่นนี้ ซึ่งล่าสุดบุรีรัมย์ มีผู้ว่างงานทั้งจังหวัด กว่า 14,000 คน