ความร่วมมือไทย-จีน ด้านการเรียนการสอนภาษาจีนในประเทศไทยนั้น อาจจะกล่าวได้ว่ามีมาเป็นเวลานานแล้ว นับตั้งแต่ได้มีการเรียนการสอนภาษาจีนในประเทศไทยสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ซึ่งเป็นไปอย่างไม่เป็นทางการในระดับเอกชน และเป็นกิจกรรมด้านการเมืองและวัฒนธรรมระหว่างชุมชนชาวจีนในไทยกับฝ่ายจีน
สำหรับความร่วมมืออย่างเป็นทางการนั้น ได้เริ่มต้นอย่างจริงจังหลังจากที่ประเทศไทยได้สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับจีนเมื่อปี 1975 หลังจากนั้นก็ได้มีการทำข้อตกลงความร่วมมือในด้านต่างๆ รวมทั้งด้านการศึกษาและวัฒนธรรม ซึ่งมีการกล่าวถึงความร่วมมือด้านการเรียนการสอนภาษาจีนในไทยด้วย ความร่วมมือดังกล่าวได้เริ่มขึ้นอย่างจริงจัง เมื่อทบวงมหาวิทยาลัยได้มีการเจรจากับคณะผู้แทน State Education Commission (SEDC) ของจีน ที่เดินทางมาไทยในเดือนกรกฎาคม 1997 และได้นำไปสู่การทำข้อตกลง “บันทึกความเข้าใจเรื่องความร่วมมือด้านการศึกษาระดับอุดมศึกษา” ในวันที่ 22 มีนาคม 1999 ซึ่งได้เน้นการส่งเสริมให้มีการแลกเปลี่ยนคณาจารย์ นักศึกษา และความร่วมมือโดยตรงระหว่างมหาวิทยาลัยของไทยและจีน ในสาขาที่มีความสนใจร่วมกัน รวมทั้งการวิจัย ฝึกอบรม เป็นต้น ทั้งนี้ ภายใต้ข้อตกลงข้างต้น ทั้งสองฝ่ายก็ได้มีการประชุมคณะทำงานร่วมกัน 2 ครั้ง เพื่อกำหนดรายละเอียดความร่วมมือให้กว้างขวางยิ่งขึ้น
ในส่วนของกระทรวงศึกษาธิการนั้น ก็ได้มีความร่วมมือในด้านการศึกษา ศาสนา วัฒนธรรม และกีฬา กับฝ่ายจีนอย่างกว้างขวางและต่อเนื่อง โดยหน่วยงานและสถาบันการศึกษาได้ลงนามความตกลงกับหน่วยงานและสถาบันการศึกษาของจีนหลายแห่ง ดังเช่น ได้จัดทำบันทึกความเข้าใจด้านวัฒนธรรมกับกระทรวงวัฒนธรรมของจีนในปี 1996 มีการจัดทำแผนปฏิบัติการร่วมระยะ 2 ปี รวม 3 ครั้ง ระหว่างปี 1998- 2003 และขณะนี้ก็ยังได้จัดทำข้อตกลงความร่วมมือด้านการศึกษา ซึ่งยังรอการลงนามของทั้งสองฝ่ายอยู่ และล่าสุดก็คือ ได้มีการทำข้อตกลงว่าด้วยการเทียบวุฒิการศึกษาระหว่างประเทศทั้งสองเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2007 ที่กรุงปักกิ่ง
ความร่วมมือกับฝ่ายจีนตามที่กล่าวมาข้างต้น เป็นความร่วมมือในกรอบกว้างๆ ซึ่งในระยะต่อมาปี 2003 สำนักงานส่งเสริมการเรียนการสอนภาษาจีนนานาชาติ (ฮั่นปั้น) ของรัฐบาลจีน ได้ส่งคณะผู้แทนมาเจรจากับสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) เพื่อหารือเกี่ยวกับแนวทางที่จะนำไปสู่การพัฒนาการเรียนการสอนภาษาจีนในประเทศไทยให้มากขึ้น และได้ส่งมาดามผางลี่ มาเป็นเลขานุการเอกในสถานเอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย เพื่อให้ดูแลด้านการเรียนการสอนภาษาจีนในไทยโดยตรง ต่อมาในวันที่ 11 มกราคม 2006 กระทรวงศึกษาธิการก็ได้ทำข้อตกลงกับฮั่นปั้นโดยตรง เกี่ยวกับการสนับสนุนส่งเสริมการเรียนการสอนภาษาจีนในไทย เช่น การส่งครูอาสาสมัครชาวจีนมาช่วยสอนในไทย การผลิตหนังสือแบบเรียน การให้ทุนแก่นักศึกษาไทยและครูสอนภาษาจีนไปเรียนต่อหรือฝึกอบรมในจีน เป็นต้น ซึ่งได้ช่วยให้การเรียนการสอนภาษาจีนในไทยสามารถพัฒนาไปได้เป็นอย่างมาก
นอกจากนี้ กระทรวงศึกษาธิการของไทยก็ยังได้ร่างแผนยุทธศาสตร์ส่งเสริมการเรียนการสอนภาษาจีนระยะ 5 ปี (2006-2010) ขึ้น และได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีเมื่อเดือนพฤษภาคม 2006 เพื่อจัดวางแนวทางนโยบายที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพในการพัฒนาการเรียนการสอนภาษาจีน ในไทยให้มากที่สุด
สำหรับความช่วยเหลือในด้านการเรียนการสอนภาษาจีนที่ให้กับฝ่ายไทยนั้น รัฐบาลจีนก็ได้ทุ่มเทงานด้านการเรียนการสอนภาษาจีนสำหรับชาวต่างชาติ โดยได้จัดตั้ง “คณะอนุกรรมการด้านการสอนภาษาจีนสำหรับชาวต่างประเทศ” ในปี 1987 และเปลี่ยนชื่อเป็น “สำนักส่งเสริมการเรียนการสอนภาษาจีนเป็นภาษาต่างประเทศแห่งชาติจีน” ในปี 2006 โดยมี 12 กระทรวงร่วมเป็นกรรมการ ซึ่งได้มีการประชุมเพื่อกำหนดภารกิจต่างๆ เช่น ในปี 2004 ได้เสนอให้จัดตั้ง “สถาบันขงจื่อ” และ “ครูสอนภาษาจีนอาสาสมัครแห่งชาติ” และได้ส่งครูอาสาสมัครชุดแรกจำนวน 60 คน มาทำการสอนในประเทศไทยเป็นแห่งแรก และมีการตั้งสถาบันขงจื่อขึ้นทั่วโลก สำหรับในประเทศไทยนั้นมีอยู่ 12 แห่ง และห้องเรียนขงจื่ออีก 1 แห่ง
อย่างไรก็ตาม ได้มีการวิเคราะห์ว่า รัฐบาลจีนได้ผลประโยชน์จากการส่งเสริมการเรียนการสอนภาษาจีน โดยในด้านการเมืองนั้น นอกจากจะรักษาความเป็นเอกภาพของชาวจีนโพ้นทะเลทั่วโลกราว 30 ล้านคนแล้ว ก็ยังเป็นการเผยแพร่วัฒนธรรมแห่งชนชาติจีนด้วย นอกจากนี้ก็ยังเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ด้านการต่างประเทศที่สำคัญของจีน ในการสร้างภาพลักษณ์ของประเทศ และสร้างความเข้าใจประเทศจีนให้ดีขึ้น ส่วนในด้านเศรษฐกิจนั้น ก็เป็นการขยายธุรกิจด้านการศึกษา ซึ่งสามารถสร้างรายได้ถึงปีละนับแสนล้านหยวน และยังเป็นการสร้างงานให้กับครูสอนภาษาจีนอีกจำนวนมากด้วย
ความร่วมมือด้านการเรียนการสอนภาษาจีนระหว่างไทย-จีนนี้ ควรจะเป็นความร่วมมือที่มุ่งเพื่อการพัฒนาอย่างแท้จริงและเป็นเกียรติ ไม่ใช่เพื่อผลกำไรทางการค้า หรือปล่อยให้บริษัทธุรกิจนำของแจกมาแทรกแซงเพื่อชี้นำ ทั้งนี้ ความร่วมมือระหว่างสองฝ่ายจะต้องให้มีความเท่าเทียมกันมากขึ้น เช่น ไทยอาจจะส่งผู้เชี่ยวชาญด้านไทยศึกษาไปจีน และควรจะมีการสร้างมาตรการใช้วัดผลสัมฤทธิ์ของโครงการต่างๆ โดยมีการประเมินซึ่งอาจจะเป็นระยะ 5 ปีต่อครั้ง เช่น ในโอกาสการเปิดความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทย-จีนครบรอบ 35 ปี ในปี 2010 ครบรอบ 40 ปี ครบรอบ 45 ปี และครบรอบ 50 ปี ในปี 2025 เป็นต้น และให้มีข้อเสนอแนะเพื่อนำไปปรับปรุงด้วย
หมายเหตุ: ผู้สนใจสามารถเข้าดูรายละเอียดเพิ่มเติมใน website: http://www.thaiworld.org
สำหรับความร่วมมืออย่างเป็นทางการนั้น ได้เริ่มต้นอย่างจริงจังหลังจากที่ประเทศไทยได้สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับจีนเมื่อปี 1975 หลังจากนั้นก็ได้มีการทำข้อตกลงความร่วมมือในด้านต่างๆ รวมทั้งด้านการศึกษาและวัฒนธรรม ซึ่งมีการกล่าวถึงความร่วมมือด้านการเรียนการสอนภาษาจีนในไทยด้วย ความร่วมมือดังกล่าวได้เริ่มขึ้นอย่างจริงจัง เมื่อทบวงมหาวิทยาลัยได้มีการเจรจากับคณะผู้แทน State Education Commission (SEDC) ของจีน ที่เดินทางมาไทยในเดือนกรกฎาคม 1997 และได้นำไปสู่การทำข้อตกลง “บันทึกความเข้าใจเรื่องความร่วมมือด้านการศึกษาระดับอุดมศึกษา” ในวันที่ 22 มีนาคม 1999 ซึ่งได้เน้นการส่งเสริมให้มีการแลกเปลี่ยนคณาจารย์ นักศึกษา และความร่วมมือโดยตรงระหว่างมหาวิทยาลัยของไทยและจีน ในสาขาที่มีความสนใจร่วมกัน รวมทั้งการวิจัย ฝึกอบรม เป็นต้น ทั้งนี้ ภายใต้ข้อตกลงข้างต้น ทั้งสองฝ่ายก็ได้มีการประชุมคณะทำงานร่วมกัน 2 ครั้ง เพื่อกำหนดรายละเอียดความร่วมมือให้กว้างขวางยิ่งขึ้น
ในส่วนของกระทรวงศึกษาธิการนั้น ก็ได้มีความร่วมมือในด้านการศึกษา ศาสนา วัฒนธรรม และกีฬา กับฝ่ายจีนอย่างกว้างขวางและต่อเนื่อง โดยหน่วยงานและสถาบันการศึกษาได้ลงนามความตกลงกับหน่วยงานและสถาบันการศึกษาของจีนหลายแห่ง ดังเช่น ได้จัดทำบันทึกความเข้าใจด้านวัฒนธรรมกับกระทรวงวัฒนธรรมของจีนในปี 1996 มีการจัดทำแผนปฏิบัติการร่วมระยะ 2 ปี รวม 3 ครั้ง ระหว่างปี 1998- 2003 และขณะนี้ก็ยังได้จัดทำข้อตกลงความร่วมมือด้านการศึกษา ซึ่งยังรอการลงนามของทั้งสองฝ่ายอยู่ และล่าสุดก็คือ ได้มีการทำข้อตกลงว่าด้วยการเทียบวุฒิการศึกษาระหว่างประเทศทั้งสองเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2007 ที่กรุงปักกิ่ง
ความร่วมมือกับฝ่ายจีนตามที่กล่าวมาข้างต้น เป็นความร่วมมือในกรอบกว้างๆ ซึ่งในระยะต่อมาปี 2003 สำนักงานส่งเสริมการเรียนการสอนภาษาจีนนานาชาติ (ฮั่นปั้น) ของรัฐบาลจีน ได้ส่งคณะผู้แทนมาเจรจากับสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) เพื่อหารือเกี่ยวกับแนวทางที่จะนำไปสู่การพัฒนาการเรียนการสอนภาษาจีนในประเทศไทยให้มากขึ้น และได้ส่งมาดามผางลี่ มาเป็นเลขานุการเอกในสถานเอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย เพื่อให้ดูแลด้านการเรียนการสอนภาษาจีนในไทยโดยตรง ต่อมาในวันที่ 11 มกราคม 2006 กระทรวงศึกษาธิการก็ได้ทำข้อตกลงกับฮั่นปั้นโดยตรง เกี่ยวกับการสนับสนุนส่งเสริมการเรียนการสอนภาษาจีนในไทย เช่น การส่งครูอาสาสมัครชาวจีนมาช่วยสอนในไทย การผลิตหนังสือแบบเรียน การให้ทุนแก่นักศึกษาไทยและครูสอนภาษาจีนไปเรียนต่อหรือฝึกอบรมในจีน เป็นต้น ซึ่งได้ช่วยให้การเรียนการสอนภาษาจีนในไทยสามารถพัฒนาไปได้เป็นอย่างมาก
นอกจากนี้ กระทรวงศึกษาธิการของไทยก็ยังได้ร่างแผนยุทธศาสตร์ส่งเสริมการเรียนการสอนภาษาจีนระยะ 5 ปี (2006-2010) ขึ้น และได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีเมื่อเดือนพฤษภาคม 2006 เพื่อจัดวางแนวทางนโยบายที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพในการพัฒนาการเรียนการสอนภาษาจีน ในไทยให้มากที่สุด
สำหรับความช่วยเหลือในด้านการเรียนการสอนภาษาจีนที่ให้กับฝ่ายไทยนั้น รัฐบาลจีนก็ได้ทุ่มเทงานด้านการเรียนการสอนภาษาจีนสำหรับชาวต่างชาติ โดยได้จัดตั้ง “คณะอนุกรรมการด้านการสอนภาษาจีนสำหรับชาวต่างประเทศ” ในปี 1987 และเปลี่ยนชื่อเป็น “สำนักส่งเสริมการเรียนการสอนภาษาจีนเป็นภาษาต่างประเทศแห่งชาติจีน” ในปี 2006 โดยมี 12 กระทรวงร่วมเป็นกรรมการ ซึ่งได้มีการประชุมเพื่อกำหนดภารกิจต่างๆ เช่น ในปี 2004 ได้เสนอให้จัดตั้ง “สถาบันขงจื่อ” และ “ครูสอนภาษาจีนอาสาสมัครแห่งชาติ” และได้ส่งครูอาสาสมัครชุดแรกจำนวน 60 คน มาทำการสอนในประเทศไทยเป็นแห่งแรก และมีการตั้งสถาบันขงจื่อขึ้นทั่วโลก สำหรับในประเทศไทยนั้นมีอยู่ 12 แห่ง และห้องเรียนขงจื่ออีก 1 แห่ง
อย่างไรก็ตาม ได้มีการวิเคราะห์ว่า รัฐบาลจีนได้ผลประโยชน์จากการส่งเสริมการเรียนการสอนภาษาจีน โดยในด้านการเมืองนั้น นอกจากจะรักษาความเป็นเอกภาพของชาวจีนโพ้นทะเลทั่วโลกราว 30 ล้านคนแล้ว ก็ยังเป็นการเผยแพร่วัฒนธรรมแห่งชนชาติจีนด้วย นอกจากนี้ก็ยังเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ด้านการต่างประเทศที่สำคัญของจีน ในการสร้างภาพลักษณ์ของประเทศ และสร้างความเข้าใจประเทศจีนให้ดีขึ้น ส่วนในด้านเศรษฐกิจนั้น ก็เป็นการขยายธุรกิจด้านการศึกษา ซึ่งสามารถสร้างรายได้ถึงปีละนับแสนล้านหยวน และยังเป็นการสร้างงานให้กับครูสอนภาษาจีนอีกจำนวนมากด้วย
ความร่วมมือด้านการเรียนการสอนภาษาจีนระหว่างไทย-จีนนี้ ควรจะเป็นความร่วมมือที่มุ่งเพื่อการพัฒนาอย่างแท้จริงและเป็นเกียรติ ไม่ใช่เพื่อผลกำไรทางการค้า หรือปล่อยให้บริษัทธุรกิจนำของแจกมาแทรกแซงเพื่อชี้นำ ทั้งนี้ ความร่วมมือระหว่างสองฝ่ายจะต้องให้มีความเท่าเทียมกันมากขึ้น เช่น ไทยอาจจะส่งผู้เชี่ยวชาญด้านไทยศึกษาไปจีน และควรจะมีการสร้างมาตรการใช้วัดผลสัมฤทธิ์ของโครงการต่างๆ โดยมีการประเมินซึ่งอาจจะเป็นระยะ 5 ปีต่อครั้ง เช่น ในโอกาสการเปิดความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทย-จีนครบรอบ 35 ปี ในปี 2010 ครบรอบ 40 ปี ครบรอบ 45 ปี และครบรอบ 50 ปี ในปี 2025 เป็นต้น และให้มีข้อเสนอแนะเพื่อนำไปปรับปรุงด้วย
หมายเหตุ: ผู้สนใจสามารถเข้าดูรายละเอียดเพิ่มเติมใน website: http://www.thaiworld.org