ASTVผู้จัดการรายวัน -- บริษัทจากญี่ปุ่นแห่งหนึ่งได้ประกาศแผนการลงทุนปลูกและผลิตเมล็ดละหุ่งกับสบู่ดำในพม่าเพื่อส่งออก รวมทั้งใช้ผลิตดีเซลชีวภาพเพื่อส่งออก ซึ่งทั้งหมดจะเริ่มในปีนี้
บริษัทพัฒนาพลังงานชีวภาพญี่ปุ่น (Japan Bio Energy Development Corp) หรือ JBEDC ประกาศวันที่ 27 ก.พ.ที่ผ่านมา เกี่ยวกับแผนการร่วมทุนกับบริษัทท้องถิ่นของพม่า เพื่อก่อตั้งบริษัทใหม่ที่ใช้ชื่อว่า Japan-Myanmar Green Energy
บริษัทนี้ตั้งเป้าส่งออกเมล็ดละหุ่ง 5,000 ตันในปี 2552 นี้ ก่อนจะตั้งโรงงานสกัดน้ำมันแห่งที่หนึ่งในปี 2553 และยังมีแผนการจะส่งออกเชื้อเพลิงชีวภาพที่สกัดจากเมล็ดสบู่ดำ ในปีหน้านี้อีกด้วย
ที่ผ่านมา ทางการพม่าได้ส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกสบู่ดำอย่างกว้างขวางจนถึงปัจจุบันมีพื้นที่ปลูกกว่าสิบล้านไร่ เนื่องจากเป็นพืชที่สามารถเจริญเติบโตได้ดีในทุกสภาพดินฟ้าอากาศ แม้กระทั่งผืนดินที่แห้งแล้งที่สุด
บริษัทญี่ปุ่นแห่งนี้ กล่าวว่า ได้ช่วยเหลือทางการการปลูกพืชน้ำมันชนิดนี้ในพม่ามาเป็นเวลาหลายปีและถึงเวลาที่จะต้องเริ่มการผลิต
เมล็ดสบู่ดำให้น้ำมัน 30-30% น้ำมันที่บีบออกมาได้ยังสามารถนำไปใช้กับเครื่องจักรเพื่อการเกษตรได้ทันทีโดยไม่ต้องผ่านขบวนการกลั่นใดๆ อีก โดยดัดแปลงเครื่องยนต์เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
หนังสือพิมพ์ในญี่ปุ่นได้อ้างผลการวิจัยของผู้เชี่ยวชาญ ระบุว่า น้ำมันจากสบู่ดำที่ผ่านการกลั่นแล้ว สามารถนำไปทำเป็นน้ำมันสำหรับอากาศยานได้เป็นอย่างดี ใช้ในรถยนต์โดยสารทั่วไป เรือและเครื่องให้กำเนิดไฟฟ้า และยังส่งผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมน้อยกว่าสารปิโตรเลียม
ตามข้อมูลที่มีการตีพิมพ์เผยแพร่ใหม่ น้ำมันดิบๆ ที่สกัดจากสบู่ดำ ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์น้อยกว่าน้ำมันดีเซลถึง 3 เท่าตัว สามารถนำไปใช้เป็นเชื้อเพลิงทางเลือกได้อย่างกว้างขวาง แทนเชื้อเพลิงจากฟอสซิลที่นับวันเหลือน้อยลง
รายงานของ JBEDC ระบุว่า ปัจจุบันพม่าเป็นประเทศผลิตสบู่ดำรายใหญ่ที่สุดของโลก รัฐบาลได้ส่งเสริมให้เกษตรปลูกอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2549 จนถึงสิ้นปี 2551 พื้นที่ปลูกขยายออกไปเป็น 2 ล้านเฮกตาร์ (12.5 ล้านไร่) หรือกว่า 90% ของเนื้อที่ปลูกสบู่ดำในประเทศต่างๆ ทั่วโลกรวมกัน
การปลูกสบู่ดำในพม่าเป็นวาระแห่งชาติ เป็นหนึ่งในโครงการใหญ่ด้านการเกษตรของประเทศ JBEDC กล่าวในรายงานฉบับหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม พม่ายังล้าหลังประเทศอื่นๆ ในเรื่องการผลิตให้เป็นเชื้อเพลิงชีวภาพ การปลูกและขบวนการสกัดน้ำมัน รวมทั้งการพัฒนาระบบบริหารจัดการให้ได้มาตรฐาน การเข้าลงทุนของบริษัทจากญี่ปุ่นจะช่วยแก้ไขจุดอ่อนต่างๆ เหล่านี้
บริษัทนี้กล่าวอีกว่า ได้เซ็นความตกลงฉบับหนึ่งกับทางการพม่าตั้งแต่เดือน ธ.ค.2549 เพื่อสนับสนุนการปลูก เพื่อสร้างแหล่งสนับสนุนอุตสาหกรรมผลิตเชื้อเพลิงทางเลือกที่จะติดตามมา
บริษัทได้เริ่มเข้าไปดำเนินการในพม่าตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา โดยได้รับการสนับสนุนจากกระทรวงเกษตรและชลประทานพม่า และนำมาสู่การก่อตั้งบริษัทร่วมทุนล่าสุด
ยังไม่มีการเปิดเผยชื่อบริษัทหุ้นส่วนในพม่า JBEDC กล่าวแต่เพียงว่าบริษัทฯ ได้ลงทุนโครงงานนี้เป็นเงิน 1.5 ล้านดอลลาร์ โดยถือหุ้น 60% อีก 40% ที่เหลือเป็นหุ้นของบริษัทพม่า
ในช่วงปีใกล้ๆ นี้ รัฐบาลทหารที่ปกครองประเทศมานานเกือบครึ่งศตวรรษ ได้ส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกพืชเศรษฐกิจอีกหลายชนิด รวมทั้งยางพารากับปาล์มน้ำมันด้วย