TPC ชะลอโครงการการขยายกำลังการผลิตแบบคอขวดพีวีซีไลน์ 5 เงินลงทุน 200 ล้านบาทออกไปอย่างไม่มีกำหนด หลังประเมินความต้องการใช้พีวีซีในประเทศปีหน้าไม่ขยายตัว จากผลพวงจากวิกฤติการเงินโลกและปัจจัยลบการเมืองในประเทศ ยอมรับขณะนี้ออร์เดอร์ลูกค้าหด จนต้องตัดสินใจลดกำลังการผลิตลง15% ไปจนถึงต้นปี 52 ลุ้นหากการเมืองไทยมีเสถียรภาพ เชื่อว่าความต้องการใช้พีวีซีฟื้นตัวแน่
นายคเณศ ขาวจันทร์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทยพลาสติกและเคมีภัณฑ์ จำกัด (มหาชน)(TPC) ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตและจำหน่ายพีวีซีรายใหญ่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เปิดเผยว่า บริษัทฯได้ตัดสินใจชะลอการขยายกำลังการผลิตแบบคอขวดสำหรับการผลิตเม็ดพลาสติกพีวีซี ไลน์ 5 ออกไปอย่างไม่มีกำหนด เนื่องจากผลกระทบจากวิกฤติการเงินโลกที่เกิดขึ้น และการเมืองไทยที่ไร้เสถียรภาพ ทำให้ความต้องการใช้พีวีซีในไทยชะลอตัวลง มาจากโครงการก่อสร้างที่ชะลอตัว
เดิมบริษัทฯมีแผนจะขยายกำลังการผลิตพีวีซีไลน์ 5 ทำให้มีเม็ดพลาสติกพีวีซีเพิ่มอีก 1 หมื่นตัน/ปี ใช้เงินลงทุนประมาณ 200 ล้านบาท โดยจะเริ่มดำเนินการขยายกำลังการผลิตในปีหน้า หลังจากโครงการขยายกำลังการผลิตVCMและพีวีซี ไลน์ 8 แล้วเสร็จในไตรมาส 1/2552
นายคเณศ กล่าวต่อไปว่า กำลังการผลิตส่วนขยายพีวีซีที่จะแล้วเสร็จนี้ เพียงพอรองรับความต้องการใช้ภายในประเทศได้ แม้บริษัทได้ปิดโรงงานผลิตพีวีซีที่สมุทรปราการ ขนาดกำลังผลิต 9 หมื่นตัน/ปี โดยย้ายเครื่องจักรไปติดตั้งที่เวียดนามแทน ทำให้ปริมาณพีวีซีที่ผลิตได้น้อยกว่าเดิม 4-5% ของกำลังการผลิตรวม สำหรับปีหน้าบริษัทฯจะชะลอการลงทุนส่วนขยายพีวีซีดังกล่าวข้างต้น แต่บริษัทฯยังคงงบลงทุนปรับปรุงเครื่องจักรตามปกติประมาณ 200-300 ล้านบาท รวมทั้งลงทุนปรับปรุงด้านสิ่งแวดล้อมที่ทำอย่างต่อเนื่องเพื่อลดมลภาวะประมาณ 20 ล้านบาท ส่วนงบลงทุนปีนี้ที่ใช้ขยายกำลังการผลิตพีวีซีและVCMในไทยประมาณ 400-500 ล้านบาท และโครงการขยายกำลังการผลิตพีวีซีเพิ่มขึ้นเป็น 1.9 แสนตันในเวียดนาม วงเงิน 1,300ล้านบาท ก็ยังเดินหน้าต่อไป โดยโครงการเหล่านี้แล้วเสร็จในปี 52
นายคเณศ กล่าวต่อไปว่า ขณะนี้ราคาเม็ดพลาสติกพีวีซีได้อ่อนตัวลงมาอย่างรวดเร็วตามทิศทางราคาน้ำมันในตลาดโลก จากเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ราคาพีวีซีเคยสูงถึงตันละ 1,300 เหรียญสหรัฐ/ตัน แต่ขณะนี้ราคาอ่อนตัวลงมาอยู่ที่ 800-900 เหรียญสหรัฐ/ตัน ซึ่งมองว่าราคาพีวีซีน่าจะถึงจุดต่ำสุดแล้ว แต่ทั้งนี้ก็คงขึ้นกับราคาน้ำมันเป็นหลัก ซึ่งยอมรับว่าลูกค้าชะลอการสั่งซื้อสินค้าลง เนื่องจากคาดว่าราคาเม็ดพลาสติกน่าจะปรับตัวลงได้อีก ส่งผลให้บริษัทฯตัดสินใจลดกำลังการผลิตลงไป 15%มาตั้งแต่ปลายกันยายนและน่าจะต่อเนื่องไปถึงต้นปี 52 จากความต้องการในประเทศลดลง และวัตถุดิบแพง ล่าสุดราคาVCMอยู่ที่ตันละ 600-700 เหรียญสหรัฐ และEDCอยู่ที่ 200-300 เหรียญสหรัฐ/ตัน
ในปีนี้ความต้องการใช้พีวีซีในตลาดโลกขยายตัวแค่ 1-2% ต่ำกว่าปกติที่เฉลี่ยโตปีละ 4-5 % ขณะที่ความต้องการใช้พีวีซีในประเทศปีหน้าคาดว่าจะไม่เติบโต เนื่องจากปัจจัยลบทั้งภายในและภายนอกประเทศ คาดว่าความต้องการใช้อยู่ที่ 5แสนตัน/ปี ขณะที่กำลังการผลิตรวมอยู่ที่ 8 แสนตัน/ปี ทำให้ต้องส่งออกส่วนเกิน แต่หากการเมืองในประเทศมีเสถียรภาพ คาดความต้องการใช้น่าจะฟื้นตัว
อย่างไรก็ตาม ภายใต้วิกฤติก็ย่อมมีโอกาส ซึ่งเดิมการแข่งขันในอุตสาหกรรมท่อพลาสติกพีวีซีค่อนข้างรุนแรง ผู้ประกอบการต่างขยายกำลังการผลิต เมื่อเกิดวิกฤตการเงินโลกจน ทำให้ความต้องการใช้หดตัวลง ทำให้ผู้ประกอบการบางรายอาจต้องปิดตัวลง ซึ่งเป็นโอกาสที่บริษัทฯจะเข้าไปซื้อกิจการในธุรกิจผลิตท่อพีวีซี ทำให้การแข่งขันน้อยลง
นายคเณศ ขาวจันทร์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทยพลาสติกและเคมีภัณฑ์ จำกัด (มหาชน)(TPC) ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตและจำหน่ายพีวีซีรายใหญ่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เปิดเผยว่า บริษัทฯได้ตัดสินใจชะลอการขยายกำลังการผลิตแบบคอขวดสำหรับการผลิตเม็ดพลาสติกพีวีซี ไลน์ 5 ออกไปอย่างไม่มีกำหนด เนื่องจากผลกระทบจากวิกฤติการเงินโลกที่เกิดขึ้น และการเมืองไทยที่ไร้เสถียรภาพ ทำให้ความต้องการใช้พีวีซีในไทยชะลอตัวลง มาจากโครงการก่อสร้างที่ชะลอตัว
เดิมบริษัทฯมีแผนจะขยายกำลังการผลิตพีวีซีไลน์ 5 ทำให้มีเม็ดพลาสติกพีวีซีเพิ่มอีก 1 หมื่นตัน/ปี ใช้เงินลงทุนประมาณ 200 ล้านบาท โดยจะเริ่มดำเนินการขยายกำลังการผลิตในปีหน้า หลังจากโครงการขยายกำลังการผลิตVCMและพีวีซี ไลน์ 8 แล้วเสร็จในไตรมาส 1/2552
นายคเณศ กล่าวต่อไปว่า กำลังการผลิตส่วนขยายพีวีซีที่จะแล้วเสร็จนี้ เพียงพอรองรับความต้องการใช้ภายในประเทศได้ แม้บริษัทได้ปิดโรงงานผลิตพีวีซีที่สมุทรปราการ ขนาดกำลังผลิต 9 หมื่นตัน/ปี โดยย้ายเครื่องจักรไปติดตั้งที่เวียดนามแทน ทำให้ปริมาณพีวีซีที่ผลิตได้น้อยกว่าเดิม 4-5% ของกำลังการผลิตรวม สำหรับปีหน้าบริษัทฯจะชะลอการลงทุนส่วนขยายพีวีซีดังกล่าวข้างต้น แต่บริษัทฯยังคงงบลงทุนปรับปรุงเครื่องจักรตามปกติประมาณ 200-300 ล้านบาท รวมทั้งลงทุนปรับปรุงด้านสิ่งแวดล้อมที่ทำอย่างต่อเนื่องเพื่อลดมลภาวะประมาณ 20 ล้านบาท ส่วนงบลงทุนปีนี้ที่ใช้ขยายกำลังการผลิตพีวีซีและVCMในไทยประมาณ 400-500 ล้านบาท และโครงการขยายกำลังการผลิตพีวีซีเพิ่มขึ้นเป็น 1.9 แสนตันในเวียดนาม วงเงิน 1,300ล้านบาท ก็ยังเดินหน้าต่อไป โดยโครงการเหล่านี้แล้วเสร็จในปี 52
นายคเณศ กล่าวต่อไปว่า ขณะนี้ราคาเม็ดพลาสติกพีวีซีได้อ่อนตัวลงมาอย่างรวดเร็วตามทิศทางราคาน้ำมันในตลาดโลก จากเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ราคาพีวีซีเคยสูงถึงตันละ 1,300 เหรียญสหรัฐ/ตัน แต่ขณะนี้ราคาอ่อนตัวลงมาอยู่ที่ 800-900 เหรียญสหรัฐ/ตัน ซึ่งมองว่าราคาพีวีซีน่าจะถึงจุดต่ำสุดแล้ว แต่ทั้งนี้ก็คงขึ้นกับราคาน้ำมันเป็นหลัก ซึ่งยอมรับว่าลูกค้าชะลอการสั่งซื้อสินค้าลง เนื่องจากคาดว่าราคาเม็ดพลาสติกน่าจะปรับตัวลงได้อีก ส่งผลให้บริษัทฯตัดสินใจลดกำลังการผลิตลงไป 15%มาตั้งแต่ปลายกันยายนและน่าจะต่อเนื่องไปถึงต้นปี 52 จากความต้องการในประเทศลดลง และวัตถุดิบแพง ล่าสุดราคาVCMอยู่ที่ตันละ 600-700 เหรียญสหรัฐ และEDCอยู่ที่ 200-300 เหรียญสหรัฐ/ตัน
ในปีนี้ความต้องการใช้พีวีซีในตลาดโลกขยายตัวแค่ 1-2% ต่ำกว่าปกติที่เฉลี่ยโตปีละ 4-5 % ขณะที่ความต้องการใช้พีวีซีในประเทศปีหน้าคาดว่าจะไม่เติบโต เนื่องจากปัจจัยลบทั้งภายในและภายนอกประเทศ คาดว่าความต้องการใช้อยู่ที่ 5แสนตัน/ปี ขณะที่กำลังการผลิตรวมอยู่ที่ 8 แสนตัน/ปี ทำให้ต้องส่งออกส่วนเกิน แต่หากการเมืองในประเทศมีเสถียรภาพ คาดความต้องการใช้น่าจะฟื้นตัว
อย่างไรก็ตาม ภายใต้วิกฤติก็ย่อมมีโอกาส ซึ่งเดิมการแข่งขันในอุตสาหกรรมท่อพลาสติกพีวีซีค่อนข้างรุนแรง ผู้ประกอบการต่างขยายกำลังการผลิต เมื่อเกิดวิกฤตการเงินโลกจน ทำให้ความต้องการใช้หดตัวลง ทำให้ผู้ประกอบการบางรายอาจต้องปิดตัวลง ซึ่งเป็นโอกาสที่บริษัทฯจะเข้าไปซื้อกิจการในธุรกิจผลิตท่อพีวีซี ทำให้การแข่งขันน้อยลง