เอเอฟพีASTVผู้จัดการรายวัน - นรกกินหัว "ทักษิณ" ให้สัมภาษณ์สื่อญี่ปุ่น แสดงท่าทีห้าวหาญบังอาจ อยากขอพระราชทานอภัยโทษจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในความผิดคดีทุจริต บอกเขียนหนังสือขอพระราชทานฯ มา 3 ครั้งแล้ว อยากกลับมาเล่นการเมือง มั่นใจจะชนะเลือกตั้ง ยอมรับอยู่ดูไบ บ้านเมืองไทยจะไม่มีทางสงบ จนกว่าจะมีการใช้ "ประชาธิปไตยที่แท้จริง" และพวก "เสื้อแดง" จะหยุดเคลื่อนไหว ต่อเมื่อได้ลงคะแนนเสียงอย่างแท้จริง ปชป.รุมสวดเหิมหนัก คิดเอามวลชนกดดันเบื้องสูงขออภัยโทษ ทั้งที่หมิ่นพระบรมฯมาตลอด ทีมที่ปรึกษานายกฯชี้ต้องมารับโทษก่อน วอร์รูมจับตาเกมใช้เวทีโลกกดดันรัฐบาลไทย "กษิต" อัด นช.แม้วทำตัวเหมือนเด็กขี้แยขี้แพ้ชวนตี "ส.ว.คำนูณ" ย้ำต้องรับโทษก่อนขอพระราชทาน
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งกำลังอยู่ระหว่างหลบหนีความผิดคดีทุจริตที่ถูกศาลตัดสินจำคุก 2 ปี ได้ให้สัมภาษณ์แก่หนังสือพิมพ์แจแปนไทมส์ อันเป็นหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษของญี่ปุ่น ที่นำออกเผยแพร่วานนี้ (12 มี.ค.) ว่า "ผมเคยเขียนหนังสือถึงพระองค์ 3 ฉบับแล้ว เพราะผมเชื่อในพระมหากรุณาธิคุณ และพระปรีชาญาณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว"
"หากผมได้รับการอภัยโทษ ผมรู้ว่าผู้สนับสนุนผมจะมีความสุข และเราก็ไม่จำเป็นต้องต่อสู้ตอบโต้กลับอะไรอีกต่อไป เพื่อพิสูจน์อะไรอีกต่อไป ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับพระองค์ และพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์"
พ.ต.ท.ทักษิณอ้างว่าตนเองบริสุทธิ์ และพูดอธิบายแบบตั้งคำถามต่อระบบศาลยุติธรรมของไทยว่า "ผมไม่สามารถแก้ต่างให้ตัวเอง และไม่ได้รับความยุติธรรม เนื่องจากขณะนี้ผมถูกตัดสินว่ามีความผิดแล้ว .. และพวกปรปักษ์ทางการเมืองของผมก็เป็นผู้หนุนหลังคณะกรรมการที่สอบสวนผม
"ประเทศไทยในขณะนี้ไร้ซึ่งหลักนิติธรรมในกรอบของประชาธิปไตยที่ถูกต้องเหมาะสม" เขากล่าว
นอกจากนี้ เขายังปฏิเสธข้อกล่าวหาต่างๆ ที่ระบุว่าเขาไม่จงรักภักดีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยเขายืนยันว่า "มีความจงรักภักดี และเคารพเทิดทูนต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว"
"พวกเขา (กลุ่มพันธมิตรฯ) บอกว่า ผมต้องการเป็นประธานาธิบดี และเปลี่ยนแปลงระบบกษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ" เขากล่าว "มันไม่เป็นความจริง ผมไม่เคยมีความทะเยอทะยานอะไรอย่างนั้น พวกศัตรูของผมเปลี่ยนแปลงอำนาจเพื่อให้เป็นที่พอใจของพวกเขา ด้วยการบอกว่าผมไม่จงรักภักดีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว"
ยิ่งไปกว่านั้น ทักษิณยังออกปากว่าอยากกลับมาเล่นการเมืองในไทยด้วย
"ผมต้องกลับไป ผมมีความผูกพันกับผู้สนับสนุนผม และขวัญกำลังใจของพวกเขา" นช.ทักษิณกล่าวทิ้งท้ายอย่างมั่นใจว่า "หากมีการเลือกตั้งในวันนี้ ผมจะชนะอย่างแน่นอน"
วันเดียวกัน พ.ต.ท.ทักษิณได้แสดงปาฐกถาต่อสมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศของฮ่องกง ผ่านทางระบบวิดีโอลิงก์ ในหัวข้อ “ วิกฤตเศรษฐกิจโลก ทำไมจึงไม่ใช่เป็นเพียงแค่วิกฤตการเงิน แต่เป็นวิกฤตทางปัญญา ” โดยระบุว่า เวลานี้เขาอยู่ในดูไบ แถมคุยอวดว่า หลังจากที่ประเทศไทยคุกคามที่จะระงับหนังสือเดินทางของเขา ก็มีผู้นำของประเทศจำนวนมากเสนอที่จะออกหนังสือเดินทางของประเทศนั้นๆ ให้แก่เขา แต่เขาได้แต่ขอบคุณและไม่ขอรับ เพราะยังเชื่อในความเป็นพลเมืองไทยของตนเอง
พ.ต.ท.ทักษิณยังพูดถึงสถานการณ์บ้านเมืองไทยว่าต้องการให้ยุติการต่อสู้ทางการเมืองอย่างขมขื่นที่กำลังแบ่งแยกประเทศไทย เขาบอกว่าถึงเวลาแล้วที่ทั้งสองฝ่ายจะต้อง "สงบศึก และเข้ามาร่วมมือกัน" ทว่าสิ่งนี้จะไม่สามารถเกิดขึ้นได้ ถ้าหากประเทศไทยไม่ได้มีการนำเอา "ประชาธิปไตยที่แท้จริง" กลับคืนมา
"ผมปรารถนาที่จะเห็นประเทศของผมกลับคืนสู่ภาวะปกติ และไม่ต้องแบ่งแยกกันเช่นนี้" น.ช.ทักษิณบอก "ทั้งสองฝ่ายจะต้องเข้ามาทำความตกลงกัน"
อย่างไรก็ตาม เขาไม่ได้มองการณ์ในแง่ดีเลยว่า รัฐบาลชุดปัจจุบันจะช่วยยุติวงจรแห่งการประท้วงและต่อต้านการประท้วงที่ดูเหมือนไม่มีวันสิ้นสุดนี้ "ถ้าคุณต้องการจับมือของคุณ คุณจำเป็นต้องเอามือทั้งสองข้างเข้ามาหากัน ไม่ใช่แค่มือเดียว" และเชื่อว่าพวก "เสื้อแดง" จะยุติการชุมนุมประท้วง ถ้าพวกเขาได้รับการเสนอให้มีการลงคะแนนเสียงอย่างแท้จริง "ผมคิดว่า คน "เสื้อแดง" ... ความคิดของพวกเขาคือเพื่อประชาธิปไตยและหลักนิติธรรม" เขาคุย
อนึ่ง ในการพูดผ่านวิดีโอลิงก์สู่ฮ่องกงคราวนี้ เขายังทำเป็นปล่อยมุขว่า การที่เขาถูกยึดทรัพย์ระหว่างที่ไทยเกิดรัฐประหาร ช่วงปกป้องทรัพย์สมบัติของเขาให้รอดพ้นจากวิกฤตเศรษฐกิจโลก
"ผมไม่รู้ว่าจะประณาม หรือขอบคุณรัฐบาลทหารดีที่ยึดทรัพย์สินของผมในประเทศไทย ไม่เช่นนั้น ผมอาจจะเอาเงินจำนวนมากไปลงทุนในตลาดหุ้นและก็สูญเสียมันไป" พ.ต.ท.ทักษิณระบุและว่า ขณะนี้ตัวเองกำลังขาดเงิน โดยแค่มีเพียงพอสำหรับค่าใช้จ่ายในการเดินทาง และใช้ในการดำเนินชีวิตตามไลฟ์สไตล์ของตน อย่างไรก็ตาม กำลังพิจารณาการลงทุนในด้านโทรคมนาคม
***ปชป.ทนไม่ไหวรุมสวด
นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณกล่าวเรื่องการขอพระราชทานอภัยโทษถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง การเอาความลับเรื่องนี้มาเปิดเผยถือว่าเป็นการกดดันพระราชอำนาจ การจะอภัยโทษหรือไม่เป็นเรื่องของพระราชอำนาจโดยแท้ว่าจะมีพระมหากรุณาธิคุณต่อเรื่องดังกล่าวหรือไม่ การเคลื่อนไหวดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าพ.ต.ท.ทักษิณไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง ไม่รู้ว่าอะไรควรไม่ควร หากพ.ต.ท.ทักษิณยังมีฐานะเป็นคนไทยคนหนึ่งก็ควรจะรู้ว่าสถาบันพระมหากษัตริย์ อยู่เหนือสิ่งอื่นใด ไม่มีใครล่วงละเมิดต่อสถาบันได้ การสัมภาษณ์พาดพิงโดยเอาความต้องการหรือประโยชน์ของตนเองมาต่อรองกับพระราชอำนาจเป็นเรื่องที่สังคมไทยรับไม่ได้ การที่บอกว่าหากมีการพระราชทานอภัยโทษ ก็จะยุติความเคลื่อนไหวทางการเมือง และกลุ่มคนที่สนับสนุนตนเองก็จะมีความสุขด้วยนั้น เป็นการแสดงให้เห็นชัดเจนว่า พ.ต.ท.ทักษิณ นำเอามวลชนที่สนับสนุนตนเองมาต่อรองกับการอภัยโทษ
การเคลื่อนไหวของกลุ่มเสื้อแดงที่ผ่านมาก็แสดงให้เห็นว่าพ.ต.ท.ทักษิณอยู่เบื้องหลังและมีเป้าหมายในการเคลื่อนไหวเพื่อผลประโยชน์ของพ.ต.ท.ทักษิณเพียงผู้เดียว และเงื่อนไขดังกล่าวก็ไม่มีความน่าเชื่อถือเพราะพ.ต.ท.ทักษิณได้มีแนวความคิดเรื่องการแสดงบทบาททางการเมืองกลับไปกลับมาหลายครั้งแล้ว ขาดความน่าเชื่อถือ
“พ.ต.ท.ทักษิณจะเอาความเคลื่อนไหวทางการเมืองมาต่อรองกับสถาบันเบื้องสูงได้อย่างไร ในวันที่ตัวเองได้ประโยชน์ก็บอกว่าจะยุติบทบาททางการเมืองแล้ว แต่ในวันที่ตัวเองจนตรอกก็ประกาศว่าจะเล่นการเมืองต่อ และจะต่อสู้จนถึงที่สุด ไม่ว่าในนรก หรือบทสวรรค์ ดังนั้นคำพูดใดๆของพ.ต.ท.ทักษิณไม่มีใครเชื่อถืออีกต่อไปแล้ว เพราะอยู่ในฐานะโมฆะบุรุษ” นายเทพไทกล่าวและว่าการที่ผู้ใดได้รับอภัยโทษในอดีตที่ผ่านมาบุคคลผู้นั้นต้องอยู่ในฐานะที่เป็นนักโทษที่ถูกจองจำตามคำพิพากษาของศาล ซึ่งต่างกับกรณีของพ.ต.ท.ทักษิณที่หนีคำพิพากษาไม่ยอมถูกจองจำ แต่กลับใช้สื่อโจมตีกระบวนยุติธรรมตลอดเวลา ทุกครั้งที่พ.ต.ท.ทักษิณแสดงความเห็นที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์การเมืองในประเทศไทยก็จะพาดพิงถึงกระบวนการยุติธรรมและสถาบันเบื้องสูงตลอดเวลา อย่างนี้จะมีหน้ามาขอพระราชทานอภัยโทษได้อย่างไร และเชื่อว่าการขอพระราชทานอภัยโทษครั้งนี้เป็นการดิ้นรนสุดชีวิตอีกครั้งหนึ่ง หลังจากที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้ประกาศปิดประตูตายเรื่องการออกกฎหมายนิรโทษกรรม
ด้านนายชำนิ ศักดิ์เศรษฐ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะหัวหน้าทีมวอร์รูมพรรคประชาธิปัตย์กล่าวว่า พ.ต.ท.ทักษิณพยายามที่จะทำให้ตัวเองกลับมามีบทบาทในเวทีโลกอีกครั้ง เสมือนหนึ่งเป็นมิตรประเทศกับ จีน และสหรัฐอเมริกา ทั้งที่ตนเองหมดสภาพความน่าเชื่อถือในเวทีนานาชาติแล้ว และการขอพระราชทานอภัยโทษเป็นความพยายามของพ.ต.ท.ทักษิณที่ทำมาอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ไม่เคยประสบผลสำเร็จ ตนเชื่อว่าจะมีการใช้เกมแบบนี้ต่อไปในเวทีต่างๆ และขอให้จับตาการอภิปรายไม่ไว้วางใจ เพราะประเด็นในการอภิปรายไม่มีอะไรน่าสนใจ แต่พยายามที่จะสร้างความวุ่นวายให้เกิดขึ้นในสภาซึ่งเป็นเป้าหมายที่พรรคเพื่อไทยตั้งใจให้เป็น
ขณะที่นายทิวา เงินยวง ส.ส.กทม . คณะทำงานที่ปรึกษาด้านกฎหมายนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การขอพระราชทานอภัยโทษผู้ที่จะขอต้องมารับโทษก่อน ไม่ใช่หลบหนีในต่างประเทศแล้วมาขอ ซึ่งตามหลังของกฎหมายและประเพณีปฏิบัติไม่เคยมีใครขอในระหว่างที่ยังไม่ได้รับโทษ และหลบหนีคดีแบบที่พ.ต.ท.ทักษิณกลังทำอยู่ในขณะนี้ หรือแม้แต่กรณีนักเขียนชาวออสเตเลีย ที่ถูกพิพากษาจำคุก กรณีเขียนหนังสือหมิ่นเบื้องสูงก็ยังต้องรับโทษติดคุกก่อน จึงจะมีการพระราชทานอภัยโทษให้ ดังนั้นจึงไม่เชื่อว่าการออกมาพูดออกพ.ต.ท.ทักษิณจะได้รับการอภัยโทษ เพราะถือเป็นกรณีกัน
***กษิตอัดเหมือนเด็กขี้แยขี้แพ้ชวนตี
นายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ กล่าวว่า พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นผู้ที่หนีศาล และพรรคถูกยุบไปแล้ว 5 ปี ซึ่งจะต้องไม่มีกิจกรรมทางเมืองใดๆ ทั้งสิ้น พ.ต.ท.ทักษิณ ต้องถามตัวเองว่าสิ่งที่ได้ทำอยู่ตอนนี้นั้น เป็นการบ่อนทำลายประเทศไทยอยู่หรือเปล่า แต่ตัวเองกลับเป็นนักโทษหนีคุกจะทำอย่างไร เคยคิดบ้างหรือไม่ จากคนที่เคยเป็นผู้นำประเทศเป็นนักเรียนทุน เป็นนายตำรวจ แต่กลับทำอะไรที่ละเมิดกฎหมาย สิ่งที่ดีที่ควรกลับไม่ค่อยจะทำ อย่างนี้มันถูกแล้วหรือ
"พ.ต.ท.ทักษิณจะต้องถามและตอบตัวเองให้มาก ถ้าเป็นผม ผมจะไม่ด่าทออยู่อย่างนี้ เหมือนคนขี้แพ้ชวนตี เป็นเด็กขี้แย เอาแต่ร้องไห้อย่างเดียว ไม่เคยทำตัวให้เป็นผู้ใหญ่" นายกษิตกล่าว
***ส.ว.ย้ำต้องรับโทษก่อนขอพระราชทาน
นายคำนูณ สิทธิสมาน ส.ว.สรรหา ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณพูดว่าอยากขอพระราชทานอภัยโทษจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในข้อกล่าวหาทุจริตขายชาติ ว่า ถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องอย่างยิ่ง เพราะโดยปกตินั้นการขอพระราชทานอภัยโทษต้องเป็นเรื่องที่ผู้ขอพระราชทานฯ รับโทษอยู่และได้สำนึกในความผิดนั้นแล้ว เช่นกรณีของนายแฮร์รี่ นิโคไลเดส นักเขียนออสเตรเลียวัย 41 ปี ผู้ต้องโทษจำคุก 3 ปีข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพและต่อมาได้รับพระราชทานอภัยโทษ ซึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณต้องกลับมารับโทษตามกระบวนการยุติธรรมเสียก่อนให้ถูกขั้นตอนจึงจะขอพระราชทานอภัยโทษได้
นายคำนูณ กล่าวอีกว่าที่ผ่านแนวทางการต่อสู้ของ พ.ต.ท.ทักษิณนั้นก็ไม่ถูกต้อง เพราะถ้าต่อสู้อย่างถูกต้องต้องกลับมารับโทษตามคำสั่งของศาลก่อน เป็นการขัดกันระหว่างกับคำพูดและการกระทำของ พ.ต.ท.ทักษิณ อีกทั้งพรรคพวกของเขาบางส่วนก็ทำการเคลื่อนไหวให้ออกกฏหมายนิรโทษกรรม ซึ่งถือว่าเป็นคนละเรื่องกับการขอพระราชทานอภัยโทษ ซึ่งการขอพระราชทานอภัยโทษ ถือเป็นพระราชอำนาจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว การออกมาให้สัมภาษณเช่นนี้ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ถือเป็นการก้าวล่วงพระราชอำนาจ
นายไพศาล พืชมงคล กล่าวว่า ตามข้อกฏหมายที่บัญญัติไว้ชัดเจนถึงกระบวนการที่จะมีสิทธิ์ขอพระราชทานอภัยโทษคือ 1.ต้องโทษตามคำพิพากษาถึงที่สุด (ติดคุกอยู่) 2.ได้สำนึกในความผิดนั้นแล้ว 3. หน่วยงานคือกระทรวงยุติธรรมจะพิจารณาความเห็นและถวายฎีกาพระราชทานอภัยโทษซึ่งอยู่ในพระราชอำนาจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งถ้าไม่อยู่ในกระบวนการ 3 ข้อนี้แล้วถือว่าผิดกระบวนการขั้นตอนของการขอพระราชทานอภัยโทษ
***สันติบาลแกะคำปาฐกถาแม้วรู้ผลวันนี้
พล.ต.ท.ธีระเดช รอดโพธิ์ทอง ผู้บัญชาการตำรวจสันติบาล (ผบช.ส.) กล่าวถึงกรณี พ.ต.ท.ทักษิณกล่าวปาฐกถาที่สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศ ที่ฮ่องกง ว่า ไดัมีการจัดทีมงานมาตรวจสอบเรื่องนี้แล้วโดยได้มีการบันทึกเทปที่มีการถ่ายทอดสดไว้ทั้งหมด นอกจากนี้ได้เชิญผู้เชี่ยวชาญด้านภาษาอังกฤษ มาแปลถ้อยคำที่มีการโฟนอินว่าเข้าข่ายผิดกฎหมายหรือไม่ หรือมีข้อความหมิ่นพระบรมราชานุภาพหรือไม่ ซึ่งขณะนี้ทีมงานอยู่ระหว่างดำเนินการตรวจสอบแปลถ้อยคำอยู่ ซึ่งยังไม่พบว่ามีข้อความใดผิดกฎหมาย โดยคาดว่าในวันนี้ (13 มี.ค.) จะแล้วเสร็จ ส่วนที่สถานีโทรทัศน์ ดีทีวี นำคำปาฐกถาของพ.ต.ท.ทักษิณ มาถ่ายทอดสดนั้นไม่ถือว่าผิดกฎหมายสามารถกระทำได้ แต่หากมีความใดผิดกฎหมาย หรือหมิ่นประมาท สถานีโทรทัศน์ ดีทีวี ก็จะมีความผิดร่วมด้วยเช่นกัน.
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งกำลังอยู่ระหว่างหลบหนีความผิดคดีทุจริตที่ถูกศาลตัดสินจำคุก 2 ปี ได้ให้สัมภาษณ์แก่หนังสือพิมพ์แจแปนไทมส์ อันเป็นหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษของญี่ปุ่น ที่นำออกเผยแพร่วานนี้ (12 มี.ค.) ว่า "ผมเคยเขียนหนังสือถึงพระองค์ 3 ฉบับแล้ว เพราะผมเชื่อในพระมหากรุณาธิคุณ และพระปรีชาญาณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว"
"หากผมได้รับการอภัยโทษ ผมรู้ว่าผู้สนับสนุนผมจะมีความสุข และเราก็ไม่จำเป็นต้องต่อสู้ตอบโต้กลับอะไรอีกต่อไป เพื่อพิสูจน์อะไรอีกต่อไป ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับพระองค์ และพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์"
พ.ต.ท.ทักษิณอ้างว่าตนเองบริสุทธิ์ และพูดอธิบายแบบตั้งคำถามต่อระบบศาลยุติธรรมของไทยว่า "ผมไม่สามารถแก้ต่างให้ตัวเอง และไม่ได้รับความยุติธรรม เนื่องจากขณะนี้ผมถูกตัดสินว่ามีความผิดแล้ว .. และพวกปรปักษ์ทางการเมืองของผมก็เป็นผู้หนุนหลังคณะกรรมการที่สอบสวนผม
"ประเทศไทยในขณะนี้ไร้ซึ่งหลักนิติธรรมในกรอบของประชาธิปไตยที่ถูกต้องเหมาะสม" เขากล่าว
นอกจากนี้ เขายังปฏิเสธข้อกล่าวหาต่างๆ ที่ระบุว่าเขาไม่จงรักภักดีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยเขายืนยันว่า "มีความจงรักภักดี และเคารพเทิดทูนต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว"
"พวกเขา (กลุ่มพันธมิตรฯ) บอกว่า ผมต้องการเป็นประธานาธิบดี และเปลี่ยนแปลงระบบกษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ" เขากล่าว "มันไม่เป็นความจริง ผมไม่เคยมีความทะเยอทะยานอะไรอย่างนั้น พวกศัตรูของผมเปลี่ยนแปลงอำนาจเพื่อให้เป็นที่พอใจของพวกเขา ด้วยการบอกว่าผมไม่จงรักภักดีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว"
ยิ่งไปกว่านั้น ทักษิณยังออกปากว่าอยากกลับมาเล่นการเมืองในไทยด้วย
"ผมต้องกลับไป ผมมีความผูกพันกับผู้สนับสนุนผม และขวัญกำลังใจของพวกเขา" นช.ทักษิณกล่าวทิ้งท้ายอย่างมั่นใจว่า "หากมีการเลือกตั้งในวันนี้ ผมจะชนะอย่างแน่นอน"
วันเดียวกัน พ.ต.ท.ทักษิณได้แสดงปาฐกถาต่อสมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศของฮ่องกง ผ่านทางระบบวิดีโอลิงก์ ในหัวข้อ “ วิกฤตเศรษฐกิจโลก ทำไมจึงไม่ใช่เป็นเพียงแค่วิกฤตการเงิน แต่เป็นวิกฤตทางปัญญา ” โดยระบุว่า เวลานี้เขาอยู่ในดูไบ แถมคุยอวดว่า หลังจากที่ประเทศไทยคุกคามที่จะระงับหนังสือเดินทางของเขา ก็มีผู้นำของประเทศจำนวนมากเสนอที่จะออกหนังสือเดินทางของประเทศนั้นๆ ให้แก่เขา แต่เขาได้แต่ขอบคุณและไม่ขอรับ เพราะยังเชื่อในความเป็นพลเมืองไทยของตนเอง
พ.ต.ท.ทักษิณยังพูดถึงสถานการณ์บ้านเมืองไทยว่าต้องการให้ยุติการต่อสู้ทางการเมืองอย่างขมขื่นที่กำลังแบ่งแยกประเทศไทย เขาบอกว่าถึงเวลาแล้วที่ทั้งสองฝ่ายจะต้อง "สงบศึก และเข้ามาร่วมมือกัน" ทว่าสิ่งนี้จะไม่สามารถเกิดขึ้นได้ ถ้าหากประเทศไทยไม่ได้มีการนำเอา "ประชาธิปไตยที่แท้จริง" กลับคืนมา
"ผมปรารถนาที่จะเห็นประเทศของผมกลับคืนสู่ภาวะปกติ และไม่ต้องแบ่งแยกกันเช่นนี้" น.ช.ทักษิณบอก "ทั้งสองฝ่ายจะต้องเข้ามาทำความตกลงกัน"
อย่างไรก็ตาม เขาไม่ได้มองการณ์ในแง่ดีเลยว่า รัฐบาลชุดปัจจุบันจะช่วยยุติวงจรแห่งการประท้วงและต่อต้านการประท้วงที่ดูเหมือนไม่มีวันสิ้นสุดนี้ "ถ้าคุณต้องการจับมือของคุณ คุณจำเป็นต้องเอามือทั้งสองข้างเข้ามาหากัน ไม่ใช่แค่มือเดียว" และเชื่อว่าพวก "เสื้อแดง" จะยุติการชุมนุมประท้วง ถ้าพวกเขาได้รับการเสนอให้มีการลงคะแนนเสียงอย่างแท้จริง "ผมคิดว่า คน "เสื้อแดง" ... ความคิดของพวกเขาคือเพื่อประชาธิปไตยและหลักนิติธรรม" เขาคุย
อนึ่ง ในการพูดผ่านวิดีโอลิงก์สู่ฮ่องกงคราวนี้ เขายังทำเป็นปล่อยมุขว่า การที่เขาถูกยึดทรัพย์ระหว่างที่ไทยเกิดรัฐประหาร ช่วงปกป้องทรัพย์สมบัติของเขาให้รอดพ้นจากวิกฤตเศรษฐกิจโลก
"ผมไม่รู้ว่าจะประณาม หรือขอบคุณรัฐบาลทหารดีที่ยึดทรัพย์สินของผมในประเทศไทย ไม่เช่นนั้น ผมอาจจะเอาเงินจำนวนมากไปลงทุนในตลาดหุ้นและก็สูญเสียมันไป" พ.ต.ท.ทักษิณระบุและว่า ขณะนี้ตัวเองกำลังขาดเงิน โดยแค่มีเพียงพอสำหรับค่าใช้จ่ายในการเดินทาง และใช้ในการดำเนินชีวิตตามไลฟ์สไตล์ของตน อย่างไรก็ตาม กำลังพิจารณาการลงทุนในด้านโทรคมนาคม
***ปชป.ทนไม่ไหวรุมสวด
นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณกล่าวเรื่องการขอพระราชทานอภัยโทษถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง การเอาความลับเรื่องนี้มาเปิดเผยถือว่าเป็นการกดดันพระราชอำนาจ การจะอภัยโทษหรือไม่เป็นเรื่องของพระราชอำนาจโดยแท้ว่าจะมีพระมหากรุณาธิคุณต่อเรื่องดังกล่าวหรือไม่ การเคลื่อนไหวดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าพ.ต.ท.ทักษิณไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง ไม่รู้ว่าอะไรควรไม่ควร หากพ.ต.ท.ทักษิณยังมีฐานะเป็นคนไทยคนหนึ่งก็ควรจะรู้ว่าสถาบันพระมหากษัตริย์ อยู่เหนือสิ่งอื่นใด ไม่มีใครล่วงละเมิดต่อสถาบันได้ การสัมภาษณ์พาดพิงโดยเอาความต้องการหรือประโยชน์ของตนเองมาต่อรองกับพระราชอำนาจเป็นเรื่องที่สังคมไทยรับไม่ได้ การที่บอกว่าหากมีการพระราชทานอภัยโทษ ก็จะยุติความเคลื่อนไหวทางการเมือง และกลุ่มคนที่สนับสนุนตนเองก็จะมีความสุขด้วยนั้น เป็นการแสดงให้เห็นชัดเจนว่า พ.ต.ท.ทักษิณ นำเอามวลชนที่สนับสนุนตนเองมาต่อรองกับการอภัยโทษ
การเคลื่อนไหวของกลุ่มเสื้อแดงที่ผ่านมาก็แสดงให้เห็นว่าพ.ต.ท.ทักษิณอยู่เบื้องหลังและมีเป้าหมายในการเคลื่อนไหวเพื่อผลประโยชน์ของพ.ต.ท.ทักษิณเพียงผู้เดียว และเงื่อนไขดังกล่าวก็ไม่มีความน่าเชื่อถือเพราะพ.ต.ท.ทักษิณได้มีแนวความคิดเรื่องการแสดงบทบาททางการเมืองกลับไปกลับมาหลายครั้งแล้ว ขาดความน่าเชื่อถือ
“พ.ต.ท.ทักษิณจะเอาความเคลื่อนไหวทางการเมืองมาต่อรองกับสถาบันเบื้องสูงได้อย่างไร ในวันที่ตัวเองได้ประโยชน์ก็บอกว่าจะยุติบทบาททางการเมืองแล้ว แต่ในวันที่ตัวเองจนตรอกก็ประกาศว่าจะเล่นการเมืองต่อ และจะต่อสู้จนถึงที่สุด ไม่ว่าในนรก หรือบทสวรรค์ ดังนั้นคำพูดใดๆของพ.ต.ท.ทักษิณไม่มีใครเชื่อถืออีกต่อไปแล้ว เพราะอยู่ในฐานะโมฆะบุรุษ” นายเทพไทกล่าวและว่าการที่ผู้ใดได้รับอภัยโทษในอดีตที่ผ่านมาบุคคลผู้นั้นต้องอยู่ในฐานะที่เป็นนักโทษที่ถูกจองจำตามคำพิพากษาของศาล ซึ่งต่างกับกรณีของพ.ต.ท.ทักษิณที่หนีคำพิพากษาไม่ยอมถูกจองจำ แต่กลับใช้สื่อโจมตีกระบวนยุติธรรมตลอดเวลา ทุกครั้งที่พ.ต.ท.ทักษิณแสดงความเห็นที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์การเมืองในประเทศไทยก็จะพาดพิงถึงกระบวนการยุติธรรมและสถาบันเบื้องสูงตลอดเวลา อย่างนี้จะมีหน้ามาขอพระราชทานอภัยโทษได้อย่างไร และเชื่อว่าการขอพระราชทานอภัยโทษครั้งนี้เป็นการดิ้นรนสุดชีวิตอีกครั้งหนึ่ง หลังจากที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้ประกาศปิดประตูตายเรื่องการออกกฎหมายนิรโทษกรรม
ด้านนายชำนิ ศักดิ์เศรษฐ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะหัวหน้าทีมวอร์รูมพรรคประชาธิปัตย์กล่าวว่า พ.ต.ท.ทักษิณพยายามที่จะทำให้ตัวเองกลับมามีบทบาทในเวทีโลกอีกครั้ง เสมือนหนึ่งเป็นมิตรประเทศกับ จีน และสหรัฐอเมริกา ทั้งที่ตนเองหมดสภาพความน่าเชื่อถือในเวทีนานาชาติแล้ว และการขอพระราชทานอภัยโทษเป็นความพยายามของพ.ต.ท.ทักษิณที่ทำมาอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ไม่เคยประสบผลสำเร็จ ตนเชื่อว่าจะมีการใช้เกมแบบนี้ต่อไปในเวทีต่างๆ และขอให้จับตาการอภิปรายไม่ไว้วางใจ เพราะประเด็นในการอภิปรายไม่มีอะไรน่าสนใจ แต่พยายามที่จะสร้างความวุ่นวายให้เกิดขึ้นในสภาซึ่งเป็นเป้าหมายที่พรรคเพื่อไทยตั้งใจให้เป็น
ขณะที่นายทิวา เงินยวง ส.ส.กทม . คณะทำงานที่ปรึกษาด้านกฎหมายนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การขอพระราชทานอภัยโทษผู้ที่จะขอต้องมารับโทษก่อน ไม่ใช่หลบหนีในต่างประเทศแล้วมาขอ ซึ่งตามหลังของกฎหมายและประเพณีปฏิบัติไม่เคยมีใครขอในระหว่างที่ยังไม่ได้รับโทษ และหลบหนีคดีแบบที่พ.ต.ท.ทักษิณกลังทำอยู่ในขณะนี้ หรือแม้แต่กรณีนักเขียนชาวออสเตเลีย ที่ถูกพิพากษาจำคุก กรณีเขียนหนังสือหมิ่นเบื้องสูงก็ยังต้องรับโทษติดคุกก่อน จึงจะมีการพระราชทานอภัยโทษให้ ดังนั้นจึงไม่เชื่อว่าการออกมาพูดออกพ.ต.ท.ทักษิณจะได้รับการอภัยโทษ เพราะถือเป็นกรณีกัน
***กษิตอัดเหมือนเด็กขี้แยขี้แพ้ชวนตี
นายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ กล่าวว่า พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นผู้ที่หนีศาล และพรรคถูกยุบไปแล้ว 5 ปี ซึ่งจะต้องไม่มีกิจกรรมทางเมืองใดๆ ทั้งสิ้น พ.ต.ท.ทักษิณ ต้องถามตัวเองว่าสิ่งที่ได้ทำอยู่ตอนนี้นั้น เป็นการบ่อนทำลายประเทศไทยอยู่หรือเปล่า แต่ตัวเองกลับเป็นนักโทษหนีคุกจะทำอย่างไร เคยคิดบ้างหรือไม่ จากคนที่เคยเป็นผู้นำประเทศเป็นนักเรียนทุน เป็นนายตำรวจ แต่กลับทำอะไรที่ละเมิดกฎหมาย สิ่งที่ดีที่ควรกลับไม่ค่อยจะทำ อย่างนี้มันถูกแล้วหรือ
"พ.ต.ท.ทักษิณจะต้องถามและตอบตัวเองให้มาก ถ้าเป็นผม ผมจะไม่ด่าทออยู่อย่างนี้ เหมือนคนขี้แพ้ชวนตี เป็นเด็กขี้แย เอาแต่ร้องไห้อย่างเดียว ไม่เคยทำตัวให้เป็นผู้ใหญ่" นายกษิตกล่าว
***ส.ว.ย้ำต้องรับโทษก่อนขอพระราชทาน
นายคำนูณ สิทธิสมาน ส.ว.สรรหา ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณพูดว่าอยากขอพระราชทานอภัยโทษจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในข้อกล่าวหาทุจริตขายชาติ ว่า ถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องอย่างยิ่ง เพราะโดยปกตินั้นการขอพระราชทานอภัยโทษต้องเป็นเรื่องที่ผู้ขอพระราชทานฯ รับโทษอยู่และได้สำนึกในความผิดนั้นแล้ว เช่นกรณีของนายแฮร์รี่ นิโคไลเดส นักเขียนออสเตรเลียวัย 41 ปี ผู้ต้องโทษจำคุก 3 ปีข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพและต่อมาได้รับพระราชทานอภัยโทษ ซึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณต้องกลับมารับโทษตามกระบวนการยุติธรรมเสียก่อนให้ถูกขั้นตอนจึงจะขอพระราชทานอภัยโทษได้
นายคำนูณ กล่าวอีกว่าที่ผ่านแนวทางการต่อสู้ของ พ.ต.ท.ทักษิณนั้นก็ไม่ถูกต้อง เพราะถ้าต่อสู้อย่างถูกต้องต้องกลับมารับโทษตามคำสั่งของศาลก่อน เป็นการขัดกันระหว่างกับคำพูดและการกระทำของ พ.ต.ท.ทักษิณ อีกทั้งพรรคพวกของเขาบางส่วนก็ทำการเคลื่อนไหวให้ออกกฏหมายนิรโทษกรรม ซึ่งถือว่าเป็นคนละเรื่องกับการขอพระราชทานอภัยโทษ ซึ่งการขอพระราชทานอภัยโทษ ถือเป็นพระราชอำนาจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว การออกมาให้สัมภาษณเช่นนี้ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ถือเป็นการก้าวล่วงพระราชอำนาจ
นายไพศาล พืชมงคล กล่าวว่า ตามข้อกฏหมายที่บัญญัติไว้ชัดเจนถึงกระบวนการที่จะมีสิทธิ์ขอพระราชทานอภัยโทษคือ 1.ต้องโทษตามคำพิพากษาถึงที่สุด (ติดคุกอยู่) 2.ได้สำนึกในความผิดนั้นแล้ว 3. หน่วยงานคือกระทรวงยุติธรรมจะพิจารณาความเห็นและถวายฎีกาพระราชทานอภัยโทษซึ่งอยู่ในพระราชอำนาจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งถ้าไม่อยู่ในกระบวนการ 3 ข้อนี้แล้วถือว่าผิดกระบวนการขั้นตอนของการขอพระราชทานอภัยโทษ
***สันติบาลแกะคำปาฐกถาแม้วรู้ผลวันนี้
พล.ต.ท.ธีระเดช รอดโพธิ์ทอง ผู้บัญชาการตำรวจสันติบาล (ผบช.ส.) กล่าวถึงกรณี พ.ต.ท.ทักษิณกล่าวปาฐกถาที่สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศ ที่ฮ่องกง ว่า ไดัมีการจัดทีมงานมาตรวจสอบเรื่องนี้แล้วโดยได้มีการบันทึกเทปที่มีการถ่ายทอดสดไว้ทั้งหมด นอกจากนี้ได้เชิญผู้เชี่ยวชาญด้านภาษาอังกฤษ มาแปลถ้อยคำที่มีการโฟนอินว่าเข้าข่ายผิดกฎหมายหรือไม่ หรือมีข้อความหมิ่นพระบรมราชานุภาพหรือไม่ ซึ่งขณะนี้ทีมงานอยู่ระหว่างดำเนินการตรวจสอบแปลถ้อยคำอยู่ ซึ่งยังไม่พบว่ามีข้อความใดผิดกฎหมาย โดยคาดว่าในวันนี้ (13 มี.ค.) จะแล้วเสร็จ ส่วนที่สถานีโทรทัศน์ ดีทีวี นำคำปาฐกถาของพ.ต.ท.ทักษิณ มาถ่ายทอดสดนั้นไม่ถือว่าผิดกฎหมายสามารถกระทำได้ แต่หากมีความใดผิดกฎหมาย หรือหมิ่นประมาท สถานีโทรทัศน์ ดีทีวี ก็จะมีความผิดร่วมด้วยเช่นกัน.