คดีที่นายจักรภพ เพ็ญแข แกนนำนปช. อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ตกเป็นผู้ต้องหา ในคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ภายหลังจากที่นายจักรภพ ไปปาฐกถาเป็นภาษาอังกฤษที่สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศแห่งประเทศไทย (เอฟทีทีซี) เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2550 โดยมีเนื้อหาเข้าข่ายหมิ่นเบื้องสูงนั้น บัดนี้ คดีดังกล่าว อยู่ในความดูแลของพนักงานอัยการ แต่เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา เริ่มมีกลิ่นตุๆ โชยมาจากสำนักงานอัยการ โดยมีแนวโน้มว่า คดีนี้ พนักงานอัยการอาจจะสั่งไม่ฟ้อง !
หากคดีดังกล่าว พนักงานอัยการสั่งไม่ฟ้องจริง จะต้องมีคำตอบที่แจ่มชัด และโปร่งใสให้กับสังคม แต่เท่าที่ผ่านมา การดำเนินคดีทั้งในขั้นตอนของพนักงานสอบสวนหรือตำรวจ และพนักงานอัยการเอง กลับไม่ได้ทำให้สังคมไว้วางใจในการทำคดีนี้ ซึ่งหากต้นธารแห่งความยุติธรรมขุ่นมัน ปลายธารแห่งขบวนการดังกล่าวสะอาดใสได้อย่างไร
ย้อนกลับไปดุตั้งแต่เมื่อวันที่ 24 มี.ค.2551 อันเป็นจุดเริ่มต้นของคดีนี้ พ.ต.ท.วัฒนศักดิ์ มุ่งกิจการดี พนักงานสอบสวน (สบ 2) สน.บางมด ช่วยราชการ สน.พหลโยธิน (ในขณะนั้น) เดินทางเข้าพบ พ.ต.ท.จตุพร งามสุวิชชากุล พนักงานสอบสวน (สบ 2) กลุ่มงานสอบสวนกองปราบปราม เพื่อร้องทุกข์กล่าวโทษให้ดำเนินคดีกับ นายจักรภพ เพ็ญแข ขณะดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 โดยพ.ต.ท.วัฒนศักดิ์ระบุว่า คำปาถกของนายจักรภพที่เอฟทีทีซีนั้น มีเนื้อหาเข้าข่ายหมิ่นเบื้องสูง มีการกล่าวถึงระบบราชาธิปไตยเปรียบเทียบกับประชาธิปไตย ระบบอุปถัมภ์กับสังคมไทย พร้อมทั้งนำแผ่นดีวีดีบันทึกการปาถก และเอกสารคำแปลภาษาจากอังกฤษเป็นภาษาไทยตามเนื้อหาในแผ่นดีวีดี มอบให้กับพนักงานสอบสวนไว้เป็นหลักฐานด้วย
หลังจากพ.ต.ท.วัฒนศักดิ์ จุดประเด็นความสามานย์ของบุคคลนี้ออกมา คดีนี้ กลายเป็นประเด็นการเมืองไปอย่างเหลีกเลี่ยงไม่ได้ นั่นเป็นเพราะ ขณะนั้น นายจักรภพ ยังดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรับมนตรีอยู่ และแม้เรื่องนี้กลายเป็นประเด็นขึ้นมาแล้ว ตัวนายจักรภพเอง ก็ยังไม่ได้ลาออกจากการเป็นรัฐมนตรีในทันที จนมีการกดดันอย่างหนักอีกนาน นายจักรภพจึงยอมลาออก
จากวันที่ 24 มี.ค.2551 ถึงปัจจุบัน เหลือเวลาอีกเพียงไม่กี่วัน ก็จะครบขวบปี ทว่าคดีนี้ ถูกยื้อกันไปยื้อกันมาตั้งแต่ชั้นพนักงานสอบสวนจนถึงชั้นพนักงานอันการกินเวลาเป็นปี สำนวนคดียังไม่ถึงมือศาลสถิตย์ยุติธรรม ลองกลับไปย้อนดูวันเวลาของการยื้อคดี ด้วยวิชามารของทั้งตำรวจและอัยการดู
21 พ.ค. 2551 เกือบ 2 เดือนที่คดีอยู่ในความรับผิดชอบของพนักงานสอบสวน วันนั้น พล.ต.ท.วัชรพล ประสารราชกิจ ผู้ช่วยผบ.ตร. และโฆษกตร. ออกมาระบุว่า คดียังไม่มีความคืบหน้า กองการต่างประเทศ ตร.ยังแปลความหมายของคำกล่าวของนายจักรภพไม่เรียบร้อย ยังอยู่ระหว่างดำเนินการ
29 พ.ค.2551 คณะกรรมการพิจารณาคดีการสอบสวนเกี่ยวกับการดูหมิ่นพระมหากษัตริย์ของคดีนี้ ที่มีพล.ต.ท.อดิศร นนทรีย์ ผบช.ก.ในขณะนั้นเป็นประธาน ประชุมร่วมกับพนักงานสอบสวนแล้วออกมาระบุว่า คำพูดของนายจักรภพ มีพฤติการณ์เป็นความผิดตามมาตรา 112 และพนักงานสอบสวนจะดำเนินการสอบพยานซึ่งมีไม่มาก เพื่อให้คดีรัดกุมมากยิงขึ้น
5 มิ.ย.2551 พล.ต.ต.สุรพล ทวนทอง รองโฆษกตร. ระบุว่า หลังจากทางบชก.สรุปคดีว่า นายจักรภพมีความผิดตามที่ถูกกล่าวหาแล้ว ทางนายจักรภพ ได้ส่งทนายเดินทางมาพบตำรวจ และเจรจาเป็นที่เรียบร้อย โดยขั้นตอนต่อไป พนักงานสอบสวน จะรวบรวมพยานหลักฐานส่งให้คณะกรรมการระดับบช.ก.ลงความเห็น และเสนอให้ระดับตร.พิจารณา เพื่อส่งให้พนักงานอัยการดำเนินคดีต่อ
12 มิ.ย. นายจักรภพ เพิ่งเดินทางไปพบพนักงานสอบสวนที่กองปราบปราม โดยที่ตำรวจยังไม่ได้มรการออกหมายเรียกให้มาพบ เพื่อไปรับทราบข้อกล่าวหาก่อน จากนั้นก็ต้องปล่อยตัวไป ตามกฎหมายใหม่
24 ก.ค.2551 พล.ต.ท.สมยศ พันธุ์ม่วง ผบช.ก. เรียกประชุมพนักงานสอบสวนอีกครั้ง พร้อมระบุว่า พนักงานสอบสวนได้รวบรวมพยานหลักฐานคดีดังกล่าวเรียบร้อยแล้ว โดยมีการสอบพยานไปทั้งหมด 12 ปาก แฟ้มสำนวนหนากว่า 400 หน้า คาดว่า ในวันจันทร์ที่ 28 ก.ค. สำนวนการสอบสวนจะส่งถึง กองบัญชาการสอบสวนกลางพิจารณาว่าจะสั่งฟ้องหรือไม่ จากนั้นจะมีความเห็นส่งต่อให้ คณะกรรมการระดับ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่มี พล.ต.อ.วงกต มณีรินทร์ รอง ผบ.ตร.เป็นหัวหน้าคณะกรรมการสอบสวน พิจารณาอีกครั้งว่าเห็นด้วยกับ บช.ก.หรือมีความเห็นเป็นอย่างอื่น ซึ่งได้กำชับให้พนักงานสอบสวนดำเนินการตรวจทานสำนวนอย่างละเอียดอีกครั้งเพื่อป้องกันการผิดพลาด
21 ส.ค. 2551 พล.ต.ต.สุรพล ทวนทอง รองโฆษกตร. ระบุว่า คณะกรรมการคดีหมิ่นพระบรมราชานุภาพ ระดับกองบัญชาการสอบสวนกลาง (บช.ก.) ได้ประชุมสรุปผลเมื่อวันศุกร์ที่ 15 สิงหาคมที่ผ่านมา โดยคณะกรรมการมีความเห็นสั่งฟ้องนายจักรภพ และได้ส่งเรื่องดังกล่าวไปยัง พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร. เมื่อประมาณวันที่ 18-19 สิงหาคมที่ผ่านมาแล้ว
9 ก.ย.2551 พล.ต.อ.เพรียวพันธุ์ ดามาพงษ์ รองผบ.ตร. เรียกประชุมคณะกรรมการระดับตร. พิจารณาคดีนายจักรภพ แล้วเปิดเผยว่า คณะกรรมการมีมติเห็นชอบตามที่คณะกรรมการของกองบัญชาการตรวจสอบสวนกลาง เสนอขึ้นมา แต่คงเปิดเผยรายละเอียดไม่ได้ ซึ่งเมื่อเสนอมาอย่างไรก็เห็นด้วยหมด ไม่มีการเปลี่ยนแปลงในประเด็นใด ซึ่งหลังจากนี้ในวันที่ 10 ก.ย. จะนำสำนวนพร้อมความเห็นเสนอให้ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร.พิจารณาก่อนส่งให้อัยการต่อไป
“พยานหลักฐานที่มี ถือว่าเพียงพอ แต่ก็ขึ้นกับดุลพินิจของศาล ถามว่า ตำรวจมั่นใจหรือไม่คงตอบไม่ได้ บางอย่างเราคิดว่าพอ แต่เมื่อถึงชั้นศาลท่านอาจคิดว่าไม่พอก็ได้ ซึ่งพรุ่งนี้จะเสนอท่าน ผบ.ตร.แล้ว” พล.ต.อ.เพรียวพันธุ์ว่าไว้
11 ก.ย.2551 พล.ต.ท.วัชรพล ประสารราชกิจ โฆษกตร. กล่าวว่า คดีนี้ เมื่อเสนอผบ.ตร.พิจารณาแล้ว คาดว่าจะสามารถส่งให้อัยการสั่งฟ้องด้ภายในสัปดาห์หน้า ซึ่งคดีที่เกี่ยวกับการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพนั้นต้องยอมรับว่าพนักงานสอบสวนต้องรวบรวมพยานหลักฐานด้วยความละเอียดอ่อน ด้วยความยุติธรรม คดีบางคดีจำเป็นต้องใช้บุคคลภายนอกมาเป็นพยานในการพิจารณาดำเนินคดีด้วย ซึ่งจำเป็นต้องใช้ระยะเวลา
16 ก.ย.2551 ทนายความนายจักรภพ ส่งหนังสือร้องขอความเป็นธรรมไปยังกองคดี สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อขอให้มีการสอบสวนพยานเพิ่มเติมอีก 18 ปาก ทำให้พนักงานสอบสวนต้องชะลอการส่งสำนวนพร้อมผู้ต้องหาต่ออัยการออกไปก่อน เนื่องจากต้องรอการพิจารณาจากทางกองคดี สำนักงานตำรวจแห่งชาติอีกครั้งว่าจะมีคำสั่งในเรื่องนี้อย่างไรต่อไป
25 ก.ย. 2551 พล.ต.อ.เพรียวพันธุ์ ดามาพงษ์ รองผบ.ตร. เรียกประชุมพนักงานสอบสวนระดับตรงอีกครั้ง และมีมติเห็นตามที่นายจักรภพร้องขอให้สอบพยานเพิ่มอีก 18 ปาก หลังจากผบ.ตรงมีความเห็นให้สั่งฟ้องไปแล้ว แต่ยังไม่ส่งสำนวนให้อัยการ
23 ธ.ค. พล.ต.ท.วรพงษ์ ชิวปรีชา ผบช.ก. ระบุว่า พนักงานสอบสวนจะสอบพยานของนายจักภพเพิ่มเติมเพียง 10 ปากเท่านั้น โดยจะตัดทิ้งไป 8 ปาก เนื่องจากไม่สามารถติดตามตัวมาได้
13 ม.ค.2552 พนักงานสอบสวนกองปราบ ถึงได้ฤกษ์ หอบพยานหลักฐาน 2 แฟ้ม รวม 980 หน้า แผ่นบันทึกภาพและเสียง ดีวีดี 4 แผ่น พร้อมความเห็นสมควรสั่งฟ้องนายจักรภพ เพ็ญแข อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ผู้ต้องหาในความผิดฐานหมิ่นประมาทดูหมิ่นอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ตามประมวลกฎหมายอาญา ม.112 มีโทษจำคุกตั้งแต่ 3 – 15 ปี ส่งมอบให้กับนายกายสิทธิ์ พิศวงปราการ อธิบดีอัยการฝ่ายคดีอาญา พิจารณาสั่งคดี โดยนำตัวนายจักรภพไปมอบให้กับอัยการด้วย
3 มี.ค.2552 นายคำนูณ สิทธิสมาน ส.ว.สรรหา ในฐานะเลขานุการคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาติดตามการบังคับใช้กฎหมายและมาตรการเกี่ยวกับการพิทักษ์สถาบันพระมหากษัตริย์ วุฒิสภา ได้ทำหนังสือถึงประธานวุฒิสภา เพื่อยื่นกระทู้ถามด่วนนายกรัฐมนตรี เรื่องการกระทำอันเป็นการให้ร้ายประเทศไทยและสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งนายคำนูญ ระบุว่า ที่ประชุมให้ตั้งข้อสังเกตให้จับตาการตัดสินสั่งคดีของเจ้าพนักงานอัยการในคดีที่นายจักรภพ เพ็ญแข ในวันที่ 5 มี.ค. นี้ เนื่องจากมีอนุกรรมาธิการบางท่านเชื่อว่าเจ้าพนักงานอัยการจะสั่งไม่ฟ้อง หลังจากได้พูดคุยกับเจ้าพนักงานอัยการระดับสูงหลายคน
4 มี.ค.2552 นายกายสิทธิ์ พิศวงปราการ อธิบดีอัยการฝ่ายคดีอาญาคณะทำงานอัยการพิจารณาสำนวนการสอบแล้วยังพบข้อบกพร่องบางประการเกี่ยวกับการแปลความถ้อยคำ จึงมีคำสั่งให้พนักงานสอบสวนกองปราบปรามไปทำการสอบสวนเพิ่มเติมในประเด็นดังกล่าว
อธิบดีอัยการฝ่ายคดีอาญา กล่าวว่า เมื่อคณะทำงานพิจารณาแล้วเห็นว่าข้อเท็จจริงในสำนวนการสอบสวนยังไม่ครบถ้วนเพียงพอที่จะพิจารณาสั่งคดีได้ และให้ทำการสอบสวนเพิ่มเติม ดังนั้นจึงจำเป็นต้องเลื่อนนัดฟังคำสั่งคดีดังกล่าว ซึ่งเดิมครบกำหนดนัดในวันพรุ่งนี้ 5 มี.ค. ออกไปเป็นเวลาอีก 30 วัน
มีรายงานจากแหล่งข่าวระดับสูง ระบุว่า คดีนี้ส่อแววว่าอัยการจะสั่งไม่ฟ้อง เนื่องจากมีคนระดับสูงสุดของสำนักงานอัยการสูงสุด 2 คนที่เป็นพรรคพวกและได้รับการแต่งตั้งขึ้นตำแหน่งใหญ่ ในสมัย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี เข้ามาทำการชี้นำและแทรกแซงคดีนี้โดยตลอด จึงอาจทำให้นายจักรภพ หลุดจากคดีได้ ประกอบกับที่ผ่านมาตัวนายจักรภพ เองก็ได้แสดงท่าทีที่มั่นใจตนเองว่าไม่ต้องรับผิดชอบกับการกล่าวจาบจ้วงหมิ่นเบื้องสูงมาอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งกลุ่มเสื้อแดง ก็ออกมาประโคมข่าวบอกคนทั่วบ้านทั่วเมืองว่านายจักรภพ จะหลุดจากคดีนี้ ทั้งที่ผลการตัดสินยังไม่ออกมา ซึ่งหากตรวจสอบสำนวนภาษาอังกฤษที่นายจักรภพ พูดแล้ว และหลายต่อหลายครั้งที่นายจักรภพ ได้พูดต่อที่สาธารณะจะเห็นว่าได้พูดจาบจ้วงพาดพิงเข้าข่ายหมิ่นเบื้องสูงอย่างชัดเจน
นอกจากนี้ รายงานข่าวยังแจ้งด้วยว่า สาเหตุที่จะทำให้คดีหมิ่นเบื้องสูงของนายจักรภพ จะเป็นมวยล้มต้มคนดู คือสาเหตุหลักสำคัญมาจากการทำสำนวนของพนักงานสอบสวนที่อ่อน และอัยการก็จะอ้างว่าสำนวนขาดพยานหลักฐานขาดน้ำหนัก เห็นควรสั่งไม่ฟ้อง
"เรื่องนี้อัยการไม่ควรเข้ามาก้าวก่ายเข้ามายุ่งวุ่นวายมากขนาดนั้นก็ได้ ซึ่งน่าจะให้เป็นหน้าที่ของกระบวนการศาลพิจารณาตัดสินจะดีกว่าว่าจะถูกหรือผิด เนื่องจากระบบศาลจะมีความละเอียดรอบคอบมากกว่าอัยการ แต่ที่ผ่านมามีอัยการบางคนเข้าไปกดดันทีมสอบสวน ประกอบกับนายจักรภพ ก็พยายามอ้างให้มีการสอบพยานเพิ่ม ยิ่งทำให้มองเห็นภาพชัดเจนคดีนี้ส่อแววไปในทางที่ไม่น่าจะสั่งฟ้อง เนื่องจากอัยการอาจอ้างได้ว่าสำนวนบกพร่องหลายประเด็น โดยเฉพาะการแปลภาษาอังกฤษเป็นไทย อาจทำให้ตีความได้หลายทาง ที่สำคัญตัวอัยการสูงสุดไม่น่าจะเข้ามายุ่มย่ามกับเรื่องนี้มากเกินไป เพราะทำให้มองถึงความไม่งดงามของอัยการ ควรปล่อยให้ศาลดูแล"แหล่งข่าวระบุ
บัดนี้ การดำเนินคดีในชั้นพนักงานสอบสวน และพนักงานอัยการ เกือบจะครบ 1 ปีบริบูรณ์แล้ว แต่ผลที่ออกมา กลับมีแนวโน้มว่า จะไม่มีการนำคดีความของนายจักรภพขึ้นสู่ศาล ด้วยการตัดตอนอย่างแยลยลของพนักงานสอบสวน และตัดตอนซ้ำด้วยมือชั้นเซียนอย่างพนักงานอัยการ ดังนั้น เรื่องนี้ จึงไม่ใช่เรื่อง”งานเข้า”ของพนักงานสอบสวนและอัยการ แต่เชื่อว่าน่าจะเป็นเรื่อง”รับงาน”มากกว่า หรือใครว่าไม่จริง
หากคดีดังกล่าว พนักงานอัยการสั่งไม่ฟ้องจริง จะต้องมีคำตอบที่แจ่มชัด และโปร่งใสให้กับสังคม แต่เท่าที่ผ่านมา การดำเนินคดีทั้งในขั้นตอนของพนักงานสอบสวนหรือตำรวจ และพนักงานอัยการเอง กลับไม่ได้ทำให้สังคมไว้วางใจในการทำคดีนี้ ซึ่งหากต้นธารแห่งความยุติธรรมขุ่นมัน ปลายธารแห่งขบวนการดังกล่าวสะอาดใสได้อย่างไร
ย้อนกลับไปดุตั้งแต่เมื่อวันที่ 24 มี.ค.2551 อันเป็นจุดเริ่มต้นของคดีนี้ พ.ต.ท.วัฒนศักดิ์ มุ่งกิจการดี พนักงานสอบสวน (สบ 2) สน.บางมด ช่วยราชการ สน.พหลโยธิน (ในขณะนั้น) เดินทางเข้าพบ พ.ต.ท.จตุพร งามสุวิชชากุล พนักงานสอบสวน (สบ 2) กลุ่มงานสอบสวนกองปราบปราม เพื่อร้องทุกข์กล่าวโทษให้ดำเนินคดีกับ นายจักรภพ เพ็ญแข ขณะดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 โดยพ.ต.ท.วัฒนศักดิ์ระบุว่า คำปาถกของนายจักรภพที่เอฟทีทีซีนั้น มีเนื้อหาเข้าข่ายหมิ่นเบื้องสูง มีการกล่าวถึงระบบราชาธิปไตยเปรียบเทียบกับประชาธิปไตย ระบบอุปถัมภ์กับสังคมไทย พร้อมทั้งนำแผ่นดีวีดีบันทึกการปาถก และเอกสารคำแปลภาษาจากอังกฤษเป็นภาษาไทยตามเนื้อหาในแผ่นดีวีดี มอบให้กับพนักงานสอบสวนไว้เป็นหลักฐานด้วย
หลังจากพ.ต.ท.วัฒนศักดิ์ จุดประเด็นความสามานย์ของบุคคลนี้ออกมา คดีนี้ กลายเป็นประเด็นการเมืองไปอย่างเหลีกเลี่ยงไม่ได้ นั่นเป็นเพราะ ขณะนั้น นายจักรภพ ยังดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรับมนตรีอยู่ และแม้เรื่องนี้กลายเป็นประเด็นขึ้นมาแล้ว ตัวนายจักรภพเอง ก็ยังไม่ได้ลาออกจากการเป็นรัฐมนตรีในทันที จนมีการกดดันอย่างหนักอีกนาน นายจักรภพจึงยอมลาออก
จากวันที่ 24 มี.ค.2551 ถึงปัจจุบัน เหลือเวลาอีกเพียงไม่กี่วัน ก็จะครบขวบปี ทว่าคดีนี้ ถูกยื้อกันไปยื้อกันมาตั้งแต่ชั้นพนักงานสอบสวนจนถึงชั้นพนักงานอันการกินเวลาเป็นปี สำนวนคดียังไม่ถึงมือศาลสถิตย์ยุติธรรม ลองกลับไปย้อนดูวันเวลาของการยื้อคดี ด้วยวิชามารของทั้งตำรวจและอัยการดู
21 พ.ค. 2551 เกือบ 2 เดือนที่คดีอยู่ในความรับผิดชอบของพนักงานสอบสวน วันนั้น พล.ต.ท.วัชรพล ประสารราชกิจ ผู้ช่วยผบ.ตร. และโฆษกตร. ออกมาระบุว่า คดียังไม่มีความคืบหน้า กองการต่างประเทศ ตร.ยังแปลความหมายของคำกล่าวของนายจักรภพไม่เรียบร้อย ยังอยู่ระหว่างดำเนินการ
29 พ.ค.2551 คณะกรรมการพิจารณาคดีการสอบสวนเกี่ยวกับการดูหมิ่นพระมหากษัตริย์ของคดีนี้ ที่มีพล.ต.ท.อดิศร นนทรีย์ ผบช.ก.ในขณะนั้นเป็นประธาน ประชุมร่วมกับพนักงานสอบสวนแล้วออกมาระบุว่า คำพูดของนายจักรภพ มีพฤติการณ์เป็นความผิดตามมาตรา 112 และพนักงานสอบสวนจะดำเนินการสอบพยานซึ่งมีไม่มาก เพื่อให้คดีรัดกุมมากยิงขึ้น
5 มิ.ย.2551 พล.ต.ต.สุรพล ทวนทอง รองโฆษกตร. ระบุว่า หลังจากทางบชก.สรุปคดีว่า นายจักรภพมีความผิดตามที่ถูกกล่าวหาแล้ว ทางนายจักรภพ ได้ส่งทนายเดินทางมาพบตำรวจ และเจรจาเป็นที่เรียบร้อย โดยขั้นตอนต่อไป พนักงานสอบสวน จะรวบรวมพยานหลักฐานส่งให้คณะกรรมการระดับบช.ก.ลงความเห็น และเสนอให้ระดับตร.พิจารณา เพื่อส่งให้พนักงานอัยการดำเนินคดีต่อ
12 มิ.ย. นายจักรภพ เพิ่งเดินทางไปพบพนักงานสอบสวนที่กองปราบปราม โดยที่ตำรวจยังไม่ได้มรการออกหมายเรียกให้มาพบ เพื่อไปรับทราบข้อกล่าวหาก่อน จากนั้นก็ต้องปล่อยตัวไป ตามกฎหมายใหม่
24 ก.ค.2551 พล.ต.ท.สมยศ พันธุ์ม่วง ผบช.ก. เรียกประชุมพนักงานสอบสวนอีกครั้ง พร้อมระบุว่า พนักงานสอบสวนได้รวบรวมพยานหลักฐานคดีดังกล่าวเรียบร้อยแล้ว โดยมีการสอบพยานไปทั้งหมด 12 ปาก แฟ้มสำนวนหนากว่า 400 หน้า คาดว่า ในวันจันทร์ที่ 28 ก.ค. สำนวนการสอบสวนจะส่งถึง กองบัญชาการสอบสวนกลางพิจารณาว่าจะสั่งฟ้องหรือไม่ จากนั้นจะมีความเห็นส่งต่อให้ คณะกรรมการระดับ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่มี พล.ต.อ.วงกต มณีรินทร์ รอง ผบ.ตร.เป็นหัวหน้าคณะกรรมการสอบสวน พิจารณาอีกครั้งว่าเห็นด้วยกับ บช.ก.หรือมีความเห็นเป็นอย่างอื่น ซึ่งได้กำชับให้พนักงานสอบสวนดำเนินการตรวจทานสำนวนอย่างละเอียดอีกครั้งเพื่อป้องกันการผิดพลาด
21 ส.ค. 2551 พล.ต.ต.สุรพล ทวนทอง รองโฆษกตร. ระบุว่า คณะกรรมการคดีหมิ่นพระบรมราชานุภาพ ระดับกองบัญชาการสอบสวนกลาง (บช.ก.) ได้ประชุมสรุปผลเมื่อวันศุกร์ที่ 15 สิงหาคมที่ผ่านมา โดยคณะกรรมการมีความเห็นสั่งฟ้องนายจักรภพ และได้ส่งเรื่องดังกล่าวไปยัง พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร. เมื่อประมาณวันที่ 18-19 สิงหาคมที่ผ่านมาแล้ว
9 ก.ย.2551 พล.ต.อ.เพรียวพันธุ์ ดามาพงษ์ รองผบ.ตร. เรียกประชุมคณะกรรมการระดับตร. พิจารณาคดีนายจักรภพ แล้วเปิดเผยว่า คณะกรรมการมีมติเห็นชอบตามที่คณะกรรมการของกองบัญชาการตรวจสอบสวนกลาง เสนอขึ้นมา แต่คงเปิดเผยรายละเอียดไม่ได้ ซึ่งเมื่อเสนอมาอย่างไรก็เห็นด้วยหมด ไม่มีการเปลี่ยนแปลงในประเด็นใด ซึ่งหลังจากนี้ในวันที่ 10 ก.ย. จะนำสำนวนพร้อมความเห็นเสนอให้ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร.พิจารณาก่อนส่งให้อัยการต่อไป
“พยานหลักฐานที่มี ถือว่าเพียงพอ แต่ก็ขึ้นกับดุลพินิจของศาล ถามว่า ตำรวจมั่นใจหรือไม่คงตอบไม่ได้ บางอย่างเราคิดว่าพอ แต่เมื่อถึงชั้นศาลท่านอาจคิดว่าไม่พอก็ได้ ซึ่งพรุ่งนี้จะเสนอท่าน ผบ.ตร.แล้ว” พล.ต.อ.เพรียวพันธุ์ว่าไว้
11 ก.ย.2551 พล.ต.ท.วัชรพล ประสารราชกิจ โฆษกตร. กล่าวว่า คดีนี้ เมื่อเสนอผบ.ตร.พิจารณาแล้ว คาดว่าจะสามารถส่งให้อัยการสั่งฟ้องด้ภายในสัปดาห์หน้า ซึ่งคดีที่เกี่ยวกับการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพนั้นต้องยอมรับว่าพนักงานสอบสวนต้องรวบรวมพยานหลักฐานด้วยความละเอียดอ่อน ด้วยความยุติธรรม คดีบางคดีจำเป็นต้องใช้บุคคลภายนอกมาเป็นพยานในการพิจารณาดำเนินคดีด้วย ซึ่งจำเป็นต้องใช้ระยะเวลา
16 ก.ย.2551 ทนายความนายจักรภพ ส่งหนังสือร้องขอความเป็นธรรมไปยังกองคดี สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อขอให้มีการสอบสวนพยานเพิ่มเติมอีก 18 ปาก ทำให้พนักงานสอบสวนต้องชะลอการส่งสำนวนพร้อมผู้ต้องหาต่ออัยการออกไปก่อน เนื่องจากต้องรอการพิจารณาจากทางกองคดี สำนักงานตำรวจแห่งชาติอีกครั้งว่าจะมีคำสั่งในเรื่องนี้อย่างไรต่อไป
25 ก.ย. 2551 พล.ต.อ.เพรียวพันธุ์ ดามาพงษ์ รองผบ.ตร. เรียกประชุมพนักงานสอบสวนระดับตรงอีกครั้ง และมีมติเห็นตามที่นายจักรภพร้องขอให้สอบพยานเพิ่มอีก 18 ปาก หลังจากผบ.ตรงมีความเห็นให้สั่งฟ้องไปแล้ว แต่ยังไม่ส่งสำนวนให้อัยการ
23 ธ.ค. พล.ต.ท.วรพงษ์ ชิวปรีชา ผบช.ก. ระบุว่า พนักงานสอบสวนจะสอบพยานของนายจักภพเพิ่มเติมเพียง 10 ปากเท่านั้น โดยจะตัดทิ้งไป 8 ปาก เนื่องจากไม่สามารถติดตามตัวมาได้
13 ม.ค.2552 พนักงานสอบสวนกองปราบ ถึงได้ฤกษ์ หอบพยานหลักฐาน 2 แฟ้ม รวม 980 หน้า แผ่นบันทึกภาพและเสียง ดีวีดี 4 แผ่น พร้อมความเห็นสมควรสั่งฟ้องนายจักรภพ เพ็ญแข อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ผู้ต้องหาในความผิดฐานหมิ่นประมาทดูหมิ่นอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ตามประมวลกฎหมายอาญา ม.112 มีโทษจำคุกตั้งแต่ 3 – 15 ปี ส่งมอบให้กับนายกายสิทธิ์ พิศวงปราการ อธิบดีอัยการฝ่ายคดีอาญา พิจารณาสั่งคดี โดยนำตัวนายจักรภพไปมอบให้กับอัยการด้วย
3 มี.ค.2552 นายคำนูณ สิทธิสมาน ส.ว.สรรหา ในฐานะเลขานุการคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาติดตามการบังคับใช้กฎหมายและมาตรการเกี่ยวกับการพิทักษ์สถาบันพระมหากษัตริย์ วุฒิสภา ได้ทำหนังสือถึงประธานวุฒิสภา เพื่อยื่นกระทู้ถามด่วนนายกรัฐมนตรี เรื่องการกระทำอันเป็นการให้ร้ายประเทศไทยและสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งนายคำนูญ ระบุว่า ที่ประชุมให้ตั้งข้อสังเกตให้จับตาการตัดสินสั่งคดีของเจ้าพนักงานอัยการในคดีที่นายจักรภพ เพ็ญแข ในวันที่ 5 มี.ค. นี้ เนื่องจากมีอนุกรรมาธิการบางท่านเชื่อว่าเจ้าพนักงานอัยการจะสั่งไม่ฟ้อง หลังจากได้พูดคุยกับเจ้าพนักงานอัยการระดับสูงหลายคน
4 มี.ค.2552 นายกายสิทธิ์ พิศวงปราการ อธิบดีอัยการฝ่ายคดีอาญาคณะทำงานอัยการพิจารณาสำนวนการสอบแล้วยังพบข้อบกพร่องบางประการเกี่ยวกับการแปลความถ้อยคำ จึงมีคำสั่งให้พนักงานสอบสวนกองปราบปรามไปทำการสอบสวนเพิ่มเติมในประเด็นดังกล่าว
อธิบดีอัยการฝ่ายคดีอาญา กล่าวว่า เมื่อคณะทำงานพิจารณาแล้วเห็นว่าข้อเท็จจริงในสำนวนการสอบสวนยังไม่ครบถ้วนเพียงพอที่จะพิจารณาสั่งคดีได้ และให้ทำการสอบสวนเพิ่มเติม ดังนั้นจึงจำเป็นต้องเลื่อนนัดฟังคำสั่งคดีดังกล่าว ซึ่งเดิมครบกำหนดนัดในวันพรุ่งนี้ 5 มี.ค. ออกไปเป็นเวลาอีก 30 วัน
มีรายงานจากแหล่งข่าวระดับสูง ระบุว่า คดีนี้ส่อแววว่าอัยการจะสั่งไม่ฟ้อง เนื่องจากมีคนระดับสูงสุดของสำนักงานอัยการสูงสุด 2 คนที่เป็นพรรคพวกและได้รับการแต่งตั้งขึ้นตำแหน่งใหญ่ ในสมัย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี เข้ามาทำการชี้นำและแทรกแซงคดีนี้โดยตลอด จึงอาจทำให้นายจักรภพ หลุดจากคดีได้ ประกอบกับที่ผ่านมาตัวนายจักรภพ เองก็ได้แสดงท่าทีที่มั่นใจตนเองว่าไม่ต้องรับผิดชอบกับการกล่าวจาบจ้วงหมิ่นเบื้องสูงมาอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งกลุ่มเสื้อแดง ก็ออกมาประโคมข่าวบอกคนทั่วบ้านทั่วเมืองว่านายจักรภพ จะหลุดจากคดีนี้ ทั้งที่ผลการตัดสินยังไม่ออกมา ซึ่งหากตรวจสอบสำนวนภาษาอังกฤษที่นายจักรภพ พูดแล้ว และหลายต่อหลายครั้งที่นายจักรภพ ได้พูดต่อที่สาธารณะจะเห็นว่าได้พูดจาบจ้วงพาดพิงเข้าข่ายหมิ่นเบื้องสูงอย่างชัดเจน
นอกจากนี้ รายงานข่าวยังแจ้งด้วยว่า สาเหตุที่จะทำให้คดีหมิ่นเบื้องสูงของนายจักรภพ จะเป็นมวยล้มต้มคนดู คือสาเหตุหลักสำคัญมาจากการทำสำนวนของพนักงานสอบสวนที่อ่อน และอัยการก็จะอ้างว่าสำนวนขาดพยานหลักฐานขาดน้ำหนัก เห็นควรสั่งไม่ฟ้อง
"เรื่องนี้อัยการไม่ควรเข้ามาก้าวก่ายเข้ามายุ่งวุ่นวายมากขนาดนั้นก็ได้ ซึ่งน่าจะให้เป็นหน้าที่ของกระบวนการศาลพิจารณาตัดสินจะดีกว่าว่าจะถูกหรือผิด เนื่องจากระบบศาลจะมีความละเอียดรอบคอบมากกว่าอัยการ แต่ที่ผ่านมามีอัยการบางคนเข้าไปกดดันทีมสอบสวน ประกอบกับนายจักรภพ ก็พยายามอ้างให้มีการสอบพยานเพิ่ม ยิ่งทำให้มองเห็นภาพชัดเจนคดีนี้ส่อแววไปในทางที่ไม่น่าจะสั่งฟ้อง เนื่องจากอัยการอาจอ้างได้ว่าสำนวนบกพร่องหลายประเด็น โดยเฉพาะการแปลภาษาอังกฤษเป็นไทย อาจทำให้ตีความได้หลายทาง ที่สำคัญตัวอัยการสูงสุดไม่น่าจะเข้ามายุ่มย่ามกับเรื่องนี้มากเกินไป เพราะทำให้มองถึงความไม่งดงามของอัยการ ควรปล่อยให้ศาลดูแล"แหล่งข่าวระบุ
บัดนี้ การดำเนินคดีในชั้นพนักงานสอบสวน และพนักงานอัยการ เกือบจะครบ 1 ปีบริบูรณ์แล้ว แต่ผลที่ออกมา กลับมีแนวโน้มว่า จะไม่มีการนำคดีความของนายจักรภพขึ้นสู่ศาล ด้วยการตัดตอนอย่างแยลยลของพนักงานสอบสวน และตัดตอนซ้ำด้วยมือชั้นเซียนอย่างพนักงานอัยการ ดังนั้น เรื่องนี้ จึงไม่ใช่เรื่อง”งานเข้า”ของพนักงานสอบสวนและอัยการ แต่เชื่อว่าน่าจะเป็นเรื่อง”รับงาน”มากกว่า หรือใครว่าไม่จริง