กลายเป็นดินพอกหางหมู ดองเค็มข้ามปี คดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ คดีแรกที่สามัญชนคนธรรมดาได้กล่าวจาบจ้วงหมิ่นเบื้องสูง ตกเป็นผู้ต้องหาในความผิดฐานหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงอาฆาตมาดร้ายพระหากษัตริย์ และพระราชินี ตามประมวลกฎหมายอาญา ม.112 กรณีที่ พ.ต.ท.วัฒนศักดิ์ มุ่งกิจการดี พนักงานสอบสวน สน.บางมด ช่วยราชการ สน.พหลโยธิน เข้าแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนกองบังคับการกองปราบปราม ให้ดำเนินคดีต่อนายจักรภพ เพ็ญแข รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ในการปาฐกถาที่สโมสรผู้สื่อข่าวต่างประเทศ (FCCT) เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2550
โดยก่อนหน้านี้ตำรวจทำขึงขังกะเอาคนที่พูดไม่รู้จักคิด จาบจ้วงสถาบันมาดำเนินคดีให้ได้ มีขั้นตอนการสอบสวนตรวจสรุปสำนวนตั้งแต่ระดับ บช.ก. พิจารณาเห็นชอบส่งผ่านไปยัง ตร. และ ตร.อนุมัติส่งให้อัยการสั่งฟ้องเพราะสิ้นสุดขบวนการของพนักงานสอบสวนแล้ว แต่เรื่องกับไม่ง่ายและไม่หมูอย่างที่คิด "เจ๊เพ็ญ" งัดไม้ตายไพ่ใบสุดท้ายยื่นขอให้อัยการพิจาณาขอสอบพยานเพิ่มอีก 18 ปาก ซึ่งจนขณะนี้เปลี่ยนรัฐบาลใหม่ เปลี่ยนพ.ศ.ใหม่แล้ว
คดีก็ยังไม่มีความคืบหน้า แถมอัยการสั่งม้วนเสื่อยูเทริ์นกลับไปเริ่มสอบพยานหลักฐานเพิ่มตามที่ "เจ๊เพ็ญ" ร้องขอ โดยเริ่มใหม่ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ให้พนักงานสอบสวนกองปราบปราบสอบพยานเพิ่มตามที่ผู้ต้องหาร้องขอ ตามสิทธิของผู้ต้องหา โดยย้ำว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาตไม่ได้ขัดข้อง ซึ่งพนักงานสอบสวนกองปราบปรามก็รับผิดชอบสอบพยานเพิ่มเติม เมื่อสอบพยานเสร็จก็มีประเด็นว่าการให้การของพยานอาจมีผลต่อความเห็นทางคดีที่คณะกรรมการคดีหมิ่นเบื้องสูง บชก.เรียกสอบพยานเพิ่มตามเห็นสมควร ซึ่งวันที่ 28 ตุลาคม "พล.ต.ท.วัชรพล ประสารราชกิจ" โฆษก ตร. ออกมายืนยันตำรวจไม่เคยใส่เกียร์ว่าง กับการดำเนินคดีคนจาบจ้วงหมิ่นเบื้องสูง แต่คดี “เจ๊เพ็ญ” ต้องให้คณะกรรมการ บช.ก.-ระดับ ตร.พิจารณาอีกครั้ง เพราะการสอบพยานเพิ่มมีประเด็นในการให้การของพยาน อาจมีผลต่อความเห็นทางคดีที่ บช.ก. และ ตร.เคยเห็นชอบเสนออัยการ ว่ากันภาษาชาวบ้านก็ให้ กองบัญชาการตำรวจสอบกลาง (บช.ก.)บช.ก. และ คณะกรรมการระดับ ตร. ตรวจดูสำนวนการให้ปากคำของพยานที่ผู้ต้องหาให้สอบเพิ่มอีกถ้ามีข้อมูลใดเป็นประโยชน์ หรือน่าสงสัยก็ให้พิจารณาเห็นชอบลำเลียงส่งเรื่องสำนวนสรุปมาให้อัยการดูใหม่ ก่อนจะสั่งฟ้องหรือไม่อีกที
ทั้งนี้ ภายหลังที่ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ได้กลับนั่งเก้าอี้ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติอีกครั้งหลังจากถูกโยกย้ายให้ไปช่วยราชการสำนักนายรัฐมนตรี สมัย "สมชาย วงษ์สวัสดิ์" เป็นนายกรัฐมนตรี โดยเมื่อวันที่ 23 ธ.ค.51 พล.ต.ท.วรพงษ์ ชิวปรีชา ผบช.ก. บอกว่าคณะกรรมการพิจารณาคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพระดับ บช.ก. ได้พิจารณาสำนวนที่พนักงานสอบสวนได้ทำการสอบปากคำพยานไปจำนวน 10 ปาก โดยตัดอีก 8 ปากทิ้งไปเนื่องจากไม่สามารถติดตามตัวมาได้ และพบว่าไม่มีผลเปลี่ยนแปลงความเห็นจากการพิจารณาของคณะกรรมการชุดก่อนหน้านี้ จึงมีความเห็นสั่งฟ้องเช่นเดียวกัน ซึ่งได้ส่งความเห็นสำนวนดังกล่าวไปให้คณะกรรมการระดับ ตร. พิจารณาต่อไป
คดีถัดมา "ไข่แม้วดำ" นายวีระ มุสิกพงษ์ กรณีปราศรัยที่ท้องสนามหลวง เข้าข่ายหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี และองค์รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ล่าสุด 15 ธ.ค. 51 พ.ต.ท.สุเมธ จิตต์พานิชย์ รอง ผกก.สส.สน.ชนะสงคราม บอกว่าเจ้าหน้าที่จะเร่งสรุปสำนวนการสอบสวนทั้งหมด ส่งให้คณะกรรมการหมิ่นเบื้องสูง ระดับ บช.น. พิจารณาก่อนปีใหม่ เพื่อจะได้ส่งให้คณะกรรมการหมิ่นเบื้องสูงระดับ ตร. พิจารณาต่อไป ซึ่งคดีนี้อัยการจะสั่งฟ้องหรือไม่ต้องรอปี 2552 ว่าอัยการจะพิจารณาสรุปชี้ขาดประเด็นไปในทิศทางใด
ส่วนคดี "นายสุชาติ นาคบางไทร" แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช. ที่กว่าจะออกหมายจับได้ก็ต้องใช้เวลารวบรวมหลักฐานเป็นนานสองนาน และได้ออกหมายจับไปเมื่อวันที่ 17 ต.ค. 51 ในข้อหาหมิ่นประมาท ดูหมิ่นหรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายต่อพระมหากษัตริย์ ราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 กรณีกล่าวปราศรัยที่เวที นปช.ท้องสนามหลวง เมื่อคืนวันที่ 14 ต.ค.ที่ผ่านมา มีเนื้อหาจาบจ้วงสถาบันเบื้องสูง จนถึงขณะนี้ตำรวจยังไม่สามารถจับกุมตัวมาดำเนินคดีได้
โดยทุกครั้งที่ผู้สื่อข่าวการสอบถามเกี่ยวกับความคืบหน้า ตำรวจตอบได้เพียงว่าพนักงานสอบสวนก็เร่งตามตัวอยู่ไม่ได้เตะถ่วงคดี รู้แล้วว่าผู้ต้องหาหนีไปกบดานที่สาธารณะรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว โดยได้หลบหนีไปก่อนตำรวจออกหมายจับ 1 วัน ผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดหนองคาย ซึ่งตำรวจก็ได้ประสานกับสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองแล้ว และได้ประสานกระทรวงการต่างประเทศให้เพิกถอน หรืออายัดพาสปอร์ตผู้ต้องหา ถ้าเจอตัวซึ่งหน้าก็จะจับกุมมาดำเนินคดี ซึ่งก็ต้องใช้เวลาสักระยะ เพราะเจ้าหน้าที่ต้องสืบเสาะหาที่อยู่ชัดเจนภายในอายุความของคดี 10 ปี ประกอบกับคดีของนายสุชาติ พูดจาหมิ่นเบื้องสูงที่สนามหลวง ยังไม่มีใครกล้ามาเป็นพยาน จึงยังไม่เคยสอบสวนพยาน มีเพียงเทปปราศรัยที่ตำรวจอัดไว้เป็นหลักฐานเท่านั้น
อย่างไรก็ตามล่าสุด 15 ธ.ค. 51 วันที่รู้ผลโหวต "นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ได้คะแนนอันดับหนึ่งนั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรีคนที่ 27 เท่านั้น ทาง พ.ต.ท.สุเมธ จิตต์พานิชย์ รองผกก.สส.สน.ชนะสงคราม ก็ให้ข่าวกลับลำว่าอีก 2 -3 วัน พนักงานสอบสวนจะสรุปสำนวนส่งคณะกรรมการระดับ บช.น.แล้ว ทั้งนี้ จากที่ต้องใช้เวลานานมากกับการที่จะสรุปสำนวน พอได้นายกรัฐมนตรีขั้วพรรคประชาธิปัตย์ทุกอย่างก็สามารถสรุปสำนวนส่งคณะกรรมการระดับสูงได้ แต่เรื่องก็ยังคาราคาซังค้างปีจะต้องดำเนินการข้ามปีอยู่ดีเพราะยังไม่รู้ว่าอัยการจะส่งฟ้องในคดีนี้หรือไม่ และสำนวนหลักฐานที่ตำรวจมีทั้งหมดพร้อมสรุปส่ง บช.น. และ ตร.จะมีหลักฐานหนาแน่นมีน้ำหนักพอเอาผิดลากคอคนที่พูดจาจาบจ้วงสถาบันเข้าคุกเข้าตารางได้หรือไม่ ยังไม่มีใครรู้ล่วงหน้า คงต้องรอเวลาอีกนานกับการดำเนินคดีคนเหล่านี้
หากจะตรวจสอบดูความใส่ใจกระตือรือร้นกับการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจมีคดีที่ส่งสรุปสำนวนให้อัยการสั่งฟ้อง และคดีอยู่ระหว่างต่อสู้กันในชั้นศาลยังไม่ตัดสินให้ "พวกเดนสังคม" พูดจาจาบจ้วง ดูหมิ่นสถาบัน ต้องจองจำในคุกว่ากี่ปี กี่ชาติ แต่ผลกรรมก็ได้สั่งสอน "ดารณี ชาญเชิงศิลปกุล หรือ ดา ตอร์ปิโด" แล้วเช่นกัน เมื่อตำรวจออกหมายจับและลากตัวมาฝากขังต่อศาลอาญา แต่ศาลก็เลื่อนเปิดคดีไปหลายนัด แถมยังไม่อนุญาติให้ประกันตัว "ดา ตอร์ปิโด" ด้วยเนื่องจากศาลให้เหตุผลกับการไม่ให้ประกันโดยยกคำร้องไม่ควรปล่อยตัวชั่วคราว ชี้ ผู้ต้องหามีพฤติการณ์ร้ายแรงมีอัตราโทษสูงเกรงหลบหนี และกระทำผิดซ้ำซาก
ส่วนเพื่อน "ดา ตอร์ปิโด" พวกแก๊งจงรักภักดีต่อ "น.ช.แม้ว" แต่หมิ่นองค์รัชทายาท และถูกตำรวจออกหมายจับพร้อมจับกุมขังคุกรอศาลพิจารณาคดีอยู่ขณะนี้จนเวลาข้ามปีอีกคดี คือ คคี "นางบุญยืน ประเสริฐยิ่ง" แกนนำกลุ่มประชาธิปไตยก้าวหน้า ขึ้นปราศรัยที่เวทีท้องสนามหลวง ซึ่งในการปราศรัยได้มีบางช่วงกล่าวพาดพิงถึงองค์รัชทายาท เข้าข่ายความผิดฐานหมิ่นเบื้องสูง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112
การเมืองเปลี่ยนขั้วจาก "นอมินีแม้ว" มาเป็นพรรคประชาธิปัตย์เป็นแกนนำขับเคลื่อนนาวาโดย "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" นั่งกุมบังเหียนตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 27 จะทำให้เกมเตะถ่วงดำเนินคดีหมิ่นเบื้องสูงต้องล่าช้า ทำให้คดีที่ประชาชนให้ความสนใจต้องรอคอยไปอีกนานเพียงใดหรือไม่ ขอฝากความหวังกับรัฐบาลชุดใหม่ ภายใต้การทำงานของความจงรักภักดี ต่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ให้ได้เห็นคนจาบจ้วงสถาบันเข้าซังเตเร็ววัน โปรดอย่าปล่อยให้คนชั่วลอยนวล!
โดยก่อนหน้านี้ตำรวจทำขึงขังกะเอาคนที่พูดไม่รู้จักคิด จาบจ้วงสถาบันมาดำเนินคดีให้ได้ มีขั้นตอนการสอบสวนตรวจสรุปสำนวนตั้งแต่ระดับ บช.ก. พิจารณาเห็นชอบส่งผ่านไปยัง ตร. และ ตร.อนุมัติส่งให้อัยการสั่งฟ้องเพราะสิ้นสุดขบวนการของพนักงานสอบสวนแล้ว แต่เรื่องกับไม่ง่ายและไม่หมูอย่างที่คิด "เจ๊เพ็ญ" งัดไม้ตายไพ่ใบสุดท้ายยื่นขอให้อัยการพิจาณาขอสอบพยานเพิ่มอีก 18 ปาก ซึ่งจนขณะนี้เปลี่ยนรัฐบาลใหม่ เปลี่ยนพ.ศ.ใหม่แล้ว
คดีก็ยังไม่มีความคืบหน้า แถมอัยการสั่งม้วนเสื่อยูเทริ์นกลับไปเริ่มสอบพยานหลักฐานเพิ่มตามที่ "เจ๊เพ็ญ" ร้องขอ โดยเริ่มใหม่ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ให้พนักงานสอบสวนกองปราบปราบสอบพยานเพิ่มตามที่ผู้ต้องหาร้องขอ ตามสิทธิของผู้ต้องหา โดยย้ำว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาตไม่ได้ขัดข้อง ซึ่งพนักงานสอบสวนกองปราบปรามก็รับผิดชอบสอบพยานเพิ่มเติม เมื่อสอบพยานเสร็จก็มีประเด็นว่าการให้การของพยานอาจมีผลต่อความเห็นทางคดีที่คณะกรรมการคดีหมิ่นเบื้องสูง บชก.เรียกสอบพยานเพิ่มตามเห็นสมควร ซึ่งวันที่ 28 ตุลาคม "พล.ต.ท.วัชรพล ประสารราชกิจ" โฆษก ตร. ออกมายืนยันตำรวจไม่เคยใส่เกียร์ว่าง กับการดำเนินคดีคนจาบจ้วงหมิ่นเบื้องสูง แต่คดี “เจ๊เพ็ญ” ต้องให้คณะกรรมการ บช.ก.-ระดับ ตร.พิจารณาอีกครั้ง เพราะการสอบพยานเพิ่มมีประเด็นในการให้การของพยาน อาจมีผลต่อความเห็นทางคดีที่ บช.ก. และ ตร.เคยเห็นชอบเสนออัยการ ว่ากันภาษาชาวบ้านก็ให้ กองบัญชาการตำรวจสอบกลาง (บช.ก.)บช.ก. และ คณะกรรมการระดับ ตร. ตรวจดูสำนวนการให้ปากคำของพยานที่ผู้ต้องหาให้สอบเพิ่มอีกถ้ามีข้อมูลใดเป็นประโยชน์ หรือน่าสงสัยก็ให้พิจารณาเห็นชอบลำเลียงส่งเรื่องสำนวนสรุปมาให้อัยการดูใหม่ ก่อนจะสั่งฟ้องหรือไม่อีกที
ทั้งนี้ ภายหลังที่ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ได้กลับนั่งเก้าอี้ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติอีกครั้งหลังจากถูกโยกย้ายให้ไปช่วยราชการสำนักนายรัฐมนตรี สมัย "สมชาย วงษ์สวัสดิ์" เป็นนายกรัฐมนตรี โดยเมื่อวันที่ 23 ธ.ค.51 พล.ต.ท.วรพงษ์ ชิวปรีชา ผบช.ก. บอกว่าคณะกรรมการพิจารณาคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพระดับ บช.ก. ได้พิจารณาสำนวนที่พนักงานสอบสวนได้ทำการสอบปากคำพยานไปจำนวน 10 ปาก โดยตัดอีก 8 ปากทิ้งไปเนื่องจากไม่สามารถติดตามตัวมาได้ และพบว่าไม่มีผลเปลี่ยนแปลงความเห็นจากการพิจารณาของคณะกรรมการชุดก่อนหน้านี้ จึงมีความเห็นสั่งฟ้องเช่นเดียวกัน ซึ่งได้ส่งความเห็นสำนวนดังกล่าวไปให้คณะกรรมการระดับ ตร. พิจารณาต่อไป
คดีถัดมา "ไข่แม้วดำ" นายวีระ มุสิกพงษ์ กรณีปราศรัยที่ท้องสนามหลวง เข้าข่ายหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี และองค์รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ล่าสุด 15 ธ.ค. 51 พ.ต.ท.สุเมธ จิตต์พานิชย์ รอง ผกก.สส.สน.ชนะสงคราม บอกว่าเจ้าหน้าที่จะเร่งสรุปสำนวนการสอบสวนทั้งหมด ส่งให้คณะกรรมการหมิ่นเบื้องสูง ระดับ บช.น. พิจารณาก่อนปีใหม่ เพื่อจะได้ส่งให้คณะกรรมการหมิ่นเบื้องสูงระดับ ตร. พิจารณาต่อไป ซึ่งคดีนี้อัยการจะสั่งฟ้องหรือไม่ต้องรอปี 2552 ว่าอัยการจะพิจารณาสรุปชี้ขาดประเด็นไปในทิศทางใด
ส่วนคดี "นายสุชาติ นาคบางไทร" แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช. ที่กว่าจะออกหมายจับได้ก็ต้องใช้เวลารวบรวมหลักฐานเป็นนานสองนาน และได้ออกหมายจับไปเมื่อวันที่ 17 ต.ค. 51 ในข้อหาหมิ่นประมาท ดูหมิ่นหรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายต่อพระมหากษัตริย์ ราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 กรณีกล่าวปราศรัยที่เวที นปช.ท้องสนามหลวง เมื่อคืนวันที่ 14 ต.ค.ที่ผ่านมา มีเนื้อหาจาบจ้วงสถาบันเบื้องสูง จนถึงขณะนี้ตำรวจยังไม่สามารถจับกุมตัวมาดำเนินคดีได้
โดยทุกครั้งที่ผู้สื่อข่าวการสอบถามเกี่ยวกับความคืบหน้า ตำรวจตอบได้เพียงว่าพนักงานสอบสวนก็เร่งตามตัวอยู่ไม่ได้เตะถ่วงคดี รู้แล้วว่าผู้ต้องหาหนีไปกบดานที่สาธารณะรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว โดยได้หลบหนีไปก่อนตำรวจออกหมายจับ 1 วัน ผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดหนองคาย ซึ่งตำรวจก็ได้ประสานกับสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองแล้ว และได้ประสานกระทรวงการต่างประเทศให้เพิกถอน หรืออายัดพาสปอร์ตผู้ต้องหา ถ้าเจอตัวซึ่งหน้าก็จะจับกุมมาดำเนินคดี ซึ่งก็ต้องใช้เวลาสักระยะ เพราะเจ้าหน้าที่ต้องสืบเสาะหาที่อยู่ชัดเจนภายในอายุความของคดี 10 ปี ประกอบกับคดีของนายสุชาติ พูดจาหมิ่นเบื้องสูงที่สนามหลวง ยังไม่มีใครกล้ามาเป็นพยาน จึงยังไม่เคยสอบสวนพยาน มีเพียงเทปปราศรัยที่ตำรวจอัดไว้เป็นหลักฐานเท่านั้น
อย่างไรก็ตามล่าสุด 15 ธ.ค. 51 วันที่รู้ผลโหวต "นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ได้คะแนนอันดับหนึ่งนั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรีคนที่ 27 เท่านั้น ทาง พ.ต.ท.สุเมธ จิตต์พานิชย์ รองผกก.สส.สน.ชนะสงคราม ก็ให้ข่าวกลับลำว่าอีก 2 -3 วัน พนักงานสอบสวนจะสรุปสำนวนส่งคณะกรรมการระดับ บช.น.แล้ว ทั้งนี้ จากที่ต้องใช้เวลานานมากกับการที่จะสรุปสำนวน พอได้นายกรัฐมนตรีขั้วพรรคประชาธิปัตย์ทุกอย่างก็สามารถสรุปสำนวนส่งคณะกรรมการระดับสูงได้ แต่เรื่องก็ยังคาราคาซังค้างปีจะต้องดำเนินการข้ามปีอยู่ดีเพราะยังไม่รู้ว่าอัยการจะส่งฟ้องในคดีนี้หรือไม่ และสำนวนหลักฐานที่ตำรวจมีทั้งหมดพร้อมสรุปส่ง บช.น. และ ตร.จะมีหลักฐานหนาแน่นมีน้ำหนักพอเอาผิดลากคอคนที่พูดจาจาบจ้วงสถาบันเข้าคุกเข้าตารางได้หรือไม่ ยังไม่มีใครรู้ล่วงหน้า คงต้องรอเวลาอีกนานกับการดำเนินคดีคนเหล่านี้
หากจะตรวจสอบดูความใส่ใจกระตือรือร้นกับการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจมีคดีที่ส่งสรุปสำนวนให้อัยการสั่งฟ้อง และคดีอยู่ระหว่างต่อสู้กันในชั้นศาลยังไม่ตัดสินให้ "พวกเดนสังคม" พูดจาจาบจ้วง ดูหมิ่นสถาบัน ต้องจองจำในคุกว่ากี่ปี กี่ชาติ แต่ผลกรรมก็ได้สั่งสอน "ดารณี ชาญเชิงศิลปกุล หรือ ดา ตอร์ปิโด" แล้วเช่นกัน เมื่อตำรวจออกหมายจับและลากตัวมาฝากขังต่อศาลอาญา แต่ศาลก็เลื่อนเปิดคดีไปหลายนัด แถมยังไม่อนุญาติให้ประกันตัว "ดา ตอร์ปิโด" ด้วยเนื่องจากศาลให้เหตุผลกับการไม่ให้ประกันโดยยกคำร้องไม่ควรปล่อยตัวชั่วคราว ชี้ ผู้ต้องหามีพฤติการณ์ร้ายแรงมีอัตราโทษสูงเกรงหลบหนี และกระทำผิดซ้ำซาก
ส่วนเพื่อน "ดา ตอร์ปิโด" พวกแก๊งจงรักภักดีต่อ "น.ช.แม้ว" แต่หมิ่นองค์รัชทายาท และถูกตำรวจออกหมายจับพร้อมจับกุมขังคุกรอศาลพิจารณาคดีอยู่ขณะนี้จนเวลาข้ามปีอีกคดี คือ คคี "นางบุญยืน ประเสริฐยิ่ง" แกนนำกลุ่มประชาธิปไตยก้าวหน้า ขึ้นปราศรัยที่เวทีท้องสนามหลวง ซึ่งในการปราศรัยได้มีบางช่วงกล่าวพาดพิงถึงองค์รัชทายาท เข้าข่ายความผิดฐานหมิ่นเบื้องสูง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112
การเมืองเปลี่ยนขั้วจาก "นอมินีแม้ว" มาเป็นพรรคประชาธิปัตย์เป็นแกนนำขับเคลื่อนนาวาโดย "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" นั่งกุมบังเหียนตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 27 จะทำให้เกมเตะถ่วงดำเนินคดีหมิ่นเบื้องสูงต้องล่าช้า ทำให้คดีที่ประชาชนให้ความสนใจต้องรอคอยไปอีกนานเพียงใดหรือไม่ ขอฝากความหวังกับรัฐบาลชุดใหม่ ภายใต้การทำงานของความจงรักภักดี ต่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ให้ได้เห็นคนจาบจ้วงสถาบันเข้าซังเตเร็ววัน โปรดอย่าปล่อยให้คนชั่วลอยนวล!