xs
xsm
sm
md
lg

รัฐบาลทำสงครามข่าวสู้"แม้ว" ตำรวจประสานUAEขอตัวนช.

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่นายจักรภพ เพ็ญแข แกนนำนปช. หลบหนีหมายจับออกนอกประเทศ แล้วเตรียมแผนการต่อสู้ใต้ดินให้กับกลุ่มคนเสื้อแดง ว่าเมื่อออกหมายจับนายจักรภพแล้ว ก็ต้องดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมายถึงที่สุด เพราะได้เห็นเจตนาชัดเจนว่า เป็นแกนนำคนหนึ่งที่ยุยง ปลุกปั่นให้ใช้ความรุนแรงมาโดยตลอด และเป็นเงื่อนไขหนึ่งให้การชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง มีความรุนแรงและทำผิดกฎหมาย
นายสาทิตย์ กล่าวด้วยว่า เมื่อนายจักรภพประกาศตัวว่าจะไปต่อสู้ใต้ดิน ฝ่ายรัฐบาลก็ต้องมีการเตรียมรับมือในเรื่องนี้ เพราะเราเข้าใจดีว่านายจักรภพ มีการติดต่อกับพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ในการพยายามที่จะใช้สื่อต่างประเทศ
ทั้งนี้ ตั้งแต่ช่วงที่มีสถานการณ์ความไม่สงบ ทางรัฐบาลได้จัดตั้งวอร์รูม เพื่อพิจารณาเกี่ยวกับเรื่องต่างประเทศ โดยมีนายปณิธาน วัฒนายากร รองเลขาธิการนายกฯ และกระทรวงการต่างประเทศ รับผิดชอบ ส่วนนี้ก็คงต้องทำงานหนัก เพราะทั้ง พ.ต.ท.ทักษิณ และนายจักรภพ ก็อยู่นอกประเทศ และพยายามใช้สื่อต่างชาติตลอด
"ความจริงมีสื่อต่างชาติบางคน ที่อยู่ในประเทศ และนอกประเทศที่ทำงานรับใช้ พ.ต.ท.ทักษิณใกล้ชิด เมื่อคืนวันที่ 20 เม.ย. ก็มีการเปิดเผยโดยรายการโทรทัศน์บางช่องอยู่แล้ว และในที่ประชุมพรรคประชาธิปัตย์ที่ผ่านมา ก็มีสมาชิกเสนอเรื่องนี้ นายกฯจึงได้มอบให้ผมประสานกับผู้เกี่ยวข้องหลายฝ่ายช่วยกันติดตามว่าเป็นใคร มีความเคลื่อนไหวอย่างไรในทางที่จะทำให้เกิดความเสียหายกับประเทศ ซึ่งคงต้องทำงานหนักในการชี้แจงตลอดระยะเวลาที่มีการตอบโต้ให้ร้ายประเทศไทย โดยต้องใช้เครือข่ายและสื่อทุกชนิดที่เรามีอยู่ทั้งหมด คิดว่าหลังจากนี้ไปสงครามข่าวสารข้อมูล คงสู้กันเต็มรูปแบบ ทั้งเชิงรับและเชิงรุก นายกฯให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก และคงมีหลายทีมขึ้นมาช่วยกัน เป้าหมายหลักคือเพื่อชี้แจงทำความเข้าใจกับคนในประเทศ และชี้แจงกับสื่อมวลชนและบุคคลที่อยู่ภายนอกประเทศ" นายสาทิตย์กล่าว
ส่วนการผลิตซีดีล้านแผ่น เพื่อชี้แจงเหตุการณ์การชุมนุมที่ผ่านมา คงดำเนินการเสร็จภายในสัปดาห์นี้ เพื่อแจกจ่ายให้ประชาชนทั่วประเทศ โดยจะจัดทำเป็นชุดๆ
เมื่อถามถึง กลุ่มคนเสื้อแดงจะจัดพิธีทำบุญบริเวณสามเหลี่ยมดินแดงในวันที่ 23 เม.ย. มองว่าจะเป็นการปลุกระดม เพื่อปลุกม็อบขึ้นมาอีกครั้งหรือไม่ นายสาทิตย์ กล่าวว่า ขึ้นอยู่กับเจตนาในการเคลื่อนไหว เท่าที่ดู ที่เขาประกาศสู้เต็มที่ และลงใต้ดิน คงมีหลายวิธีที่จะต้องเตรียมการรับมือ การจัดทำบุญที่ดินแดง อาจจะเป็นการอ้างเหตุการณ์ขึ้นมา แล้วดำเนินการ แต่เบื้องลึกต้องดูว่าเจตนาเขาต้องการอะไร
"ที่ยังไม่เลิกบังคับใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ก็เพราะเรื่องนี้ เพราะมีข่าวตลอดเวลาว่าจะมีการเคลื่อนไหว และความจริงวันนี้ก็พูดชัดว่าจะเคลื่อนไหวให้ครบ10 จังหวัด แล้วบุกกรุงเทพฯอีก ถือว่านี่เป็นข่าวร้ายประเทศไทย ซึ่งไม่ควรจะมีแล้ว"
นายสาทิตย์ กล่าวว่า ต้องไม่ลืมว่า ข้อเรียกร้องหนึ่งของคนเสื้อแดง หรือคนที่ถูกแบนทางการเมืองคือการแก้รัฐธรรมนูญ แต่ขณะนี้รัฐบาลเปิดทางแล้วก็ควรกลับมาสู่ระบบการแก้ไขตามข้อเรียกร้องของตนเอง และควรกลับเข้าสู่ระบบรัฐสภา ถ้าไปจัดชุมนุมอีก นอกจากจะซ้ำรอยแล้วยังจะซ้ำเติมสถานการณ์ภายในประเทศด้วย และถ้ามีเจตนาให้เกิดความวุ่นวาย ก็มีผลต่อการใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ต่อไปอีก
เมื่อถามถึง กรณีเสียงวิจารณ์เหตุผลการที่ ผบ.ตร. ไปออกทีวี ชี้แจงการดำเนินคดีกับม็อบเสื้อแดงกับเสื้อเหลือง ไม่ได้เป็นสองมาตรฐาน นายสาทิตย์ กล่าวว่า ความจริงการชี้แจงของตำรวจเป็นไปตามที่นายกฯ ขอให้มีการชี้แจง เพราะมีการวิจารณ์กันมากว่า ฝ่ายหนึ่งทำเร็ว อีกฝ่ายทำช้า คดีไม่คืบหน้า ซึ่งเป็นการชี้แจงข้อเท็จจริง เชื่อว่าทำให้สังคมเข้าใจมากขึ้นว่า ตำรวจทำอะไร แต่ต้องดูปฏิกิริยาต่อว่า กลุ่มพันธมิตรฯ และ คนเสื้อแดง จะว่าอย่างไร เชื่อว่าสิ่งที่ตำรวจแถลงไปนั้น ในการประชุมร่วมรัฐสภา คงจะมีการพูดกัน อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ที่ทางตำรวจยืนดูเฉยๆ แล้วปล่อยให้ม็อบบุกเข้าไปในสถานที่ต่างๆ นั้นไม่ควรจะเกิดขึ้นอีก เพราะทุกฝ่ายก็เห็นจุดอ่อน ช่องโหว่แล้ว
เมื่อถามว่า พรรคประชาธิปัตย์ยังติดใจเรื่องการเสนอให้ปรับเปลี่ยนตัว ผบ.เหล่าทัพ หรือ ผบ.ตร.อีกหรือไม่ เพราะมองว่าผู้ดูแลงานความมั่นคงอ่อนเกินไป นายสาทิตย์ กล่าวว่า เป็นเรื่องตัวบุคคลที่ติดใจอยู่ อาจมีเสียงวิจารณ์อยู่บ้าง คนที่ยังติดใจอยู่ ก็คงต้องขอคำชี้แจงจากคนที่เกี่ยวข้อง

**"แม้ว"ต้องหยุดจาบจ้วงในหลวง
นพ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงผลการประชุมคณะทำงานติดตามสถานการณ์ทางการเมือง (วอร์รูม) ว่าพรรคได้ประเมินสถานการณ์ทางการเมือง และทางออกของวิกฤตการเมือง โดยเบื้องต้นที่ประชุมห่วงใยกับเหตุการณ์ที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้วางแนวทางที่จะสร้างความสมานฉันท์ โดยให้ทุกภาคส่วนเข้ามามีส่วนร่วม เพื่อปฏิรูปการเมือง และหาทางออกไปพร้อมๆ กัน แต่พรรคมีความวิตกว่า ทั้งพ.ต.ท.ทักษิณ และนายจักรภพ ยังส่งสัญญาณว่าจะไม่ยุติ การสร้างความเสียหาย แก่ภาพลักษณ์ของประเทศชาติ และทำลายความน่าเชื่อถือของสถาบันต่างๆ ในประเทศ ไทย และยังคงให้สัมภาษณ์กับสื่อต่างประเทศ ในทิศทางที่บ่งชี้ว่าจะยุยง ก่อกวน สร้างความไม่สงบในประเทศต่อไป
โดยเฉพาะพ.ต.ท.ทักษิณ ที่ให้สัมภาษณ์กับสื่อต่างชาติหลายแขนง พูดในลักษณะถึงความรับรู้ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ต่อการปฏิวัติรัฐประหาร ในวันที่ 19 ก.ย. 49 แต่ทางพรรคประชาธิปัตย์ได้มีการเรียกร้องหลายครั้งแล้วว่า หากจะหนีความผิดไปกี่ประเทศก็ตาม และหากจะปลุกระดมมวลชนด้วย วิธีใดก็ตาม แต่ขอให้หยุดการกระทำที่จาบจ้วง พาดพิงสถาบันสูงสุดของชาติ โดยเฉพาะในลักษณะการจงใจใส่ร้ายเรื่องที่ไม่บังควร
นพ.บุรณัชย์ กล่าวว่า ขณะนี้ทางพรรค ได้รับเชิญจากสมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศ โดยตนจะไปให้สัมภาษณ์ กับสื่อทุกแขนง ในเวลา19.30 น. ที่อาคารมณียา ถึงเหตุผลข้อเท็จจริงต่อกรณีคำกล่าวหาของพ.ต.ท.ทักษิณ ต่อสถาบันสูงสุดของประเทศ
ส่วนกรณีของนายจักรภพ ที่ได้มีการพูดชัดว่า มีความพร้อมในการต่อสู้ และมีการปฏิบัติการมากขึ้นกว่าแต่ก่อน โดยอาศัยฐานปฏิบัติการในต่างประเทศ เพื่อขับเคลื่อนทางการเมือง อย่างที่พรรคเคยบอกไว้ว่า เป็นการขับเคลื่อนลงสู่ใต้ดินโดยการบิดเบือนความจริง และกล่าวหา กระทำการหลายประการ ที่จะนำไปสู่ชนวนความขัดแย้ง หรือนำไปสู่ความรุนแรงในรูปแบบใหม่ ที่อาจจะส่งผลไปสู่ความวิตกกังวลในวงกว้าง และพรรคมองว่า ในเรื่องดังกล่าวจะเป็นอุปสรรคที่สุดในการสร้างความสงบและความสมานฉันท์ หลังจากที่ประเทศชาติได้เผชิญกับวิกฤตที่ผ่านมา
**ตร.ประสานยูเออีขอตัวทักษิณ
พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในฐานะโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยความคืบหน้าล่าสุดการติดตามตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ผู้ต้องหาตามหมายจับหลายคดีว่า กองการต่างประเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ได้มีการประสานข้อมูลไปยังตำรวจสากล สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี) หลังพบว่าเป็นประเทศล่าสุดที่ พ.ต.ท.ทักษิณ เดินทางไปพำนัก และจากการตรวจสอบเอกสารการเดินทางต่างๆ ยังไม่พบข้อมูลการเดินทางออกนอกประเทศแต่อย่างใด ซึ่งในขณะนี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำลังตรวจสอบรายละเอียดหาข้อมูลดำเนินการ
ส่วนการดำเนินการในเรื่องถอดยศ พ.ต.ท.ทักษิณ นั้น โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ยืนยันว่า กองกำลังพลกำลังเร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จโดยเร็วที่สุด ซึ่งในรอบนี้มีตำรวจต้องถูกถอดยศรวมอยู่ด้วย 15 นาย ก่อนเสนอให้ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติลงนาม และนำความกราบบังคมทูลฯ

**จ่อหมายจับ"เพ็ญ"หนีคดี
นายกายสิทธิ์ พิศวงปราการ อธิบดีอัยการฝ่ายคดีอาญา กล่าวถึงกรณีที่อัยการนัดสั่งคดีที่ นายจักรภพ เพ็ญแข แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการแห่งชาติ ( นปช.) ผู้ต้องหาคดีหมิ่นเบื้องสูงในวันที่ 29 เม.ย.นี้ แต่นายจักรภพ ได้หลบหนีไปอยู่ต่างประเทศ หลังแกนนำประกาศยุติการชุมนุมที่หน้าทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันที่ 14 เม.ย. ที่ผ่านมาว่า คงต้องรอดูว่าในวันดังกล่าว นายจักรภพ จะเดินทางมารายตัวเพื่อฟังคำสั่งคดีตามที่อัยการนัดไว้หรือไม่ ซึ่งหากไม่เดินทางมาก็จะต้องดำเนินการ คือ ถ้านายจักรภพ ทำสัญญาประกันตัวไว้กับอัยการ ก็จะเรียกนายประกันให้ติดตามตัวนายจักรภพมา แต่ถ้าไม่สามารถติดตามตัวมาได้ อัยการก็จะมีคำสั่งปรับนายประกัน และขออนุมัติศาลออกหมายจับ แต่หากนายจักรภพ ไม่ได้ทำสัญญาประกันไว้ อัยการก็จะแจ้งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจติดตามจับกุมตัว และขอศาลอนุมัติหมายจับต่อไป

**ตร.ยันหนีไปต่างประเทศแล้ว
พล.ต.ท.เจตน์ มงคลหัตถี ผู้บัญชาการประจำสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และกรรมการคณะสอบสวนคดีหมิ่นสถาบันเบื้องสูง เปิดเผยว่า ได้ตรวจสอบข้อมูลจากสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองแล้วพบว่า นายจักรภพ เพ็ญแข แกนนำ นปช.ซึ่งตกเป็นผู้ต้องหาคดีหมิ่นสถาบันเบื้องสูง เดินทางออกนอกประเทศไปแล้ว แต่ว่าตอนนี้ยังไม่ทราบว่า พำนักอยู่ในประเทศใด แต่วันที่ 29 เมษายนนี้ อัยการนัดฟังคำสั่งว่า จะพิจารณาสั่งฟ้องคดีหรือไม่ หากนายจักรภพไม่มาฟังคำสั่ง อัยการก็อาจจะมีความเห็นเลื่อนนัดฟังคำสั่งไปก่อน เพราะตำรวจมีสิทธิที่จะพิจารณาเสนอศาลขอหมายจับ เพื่อให้มาฟังคำสั่งคดี และหากพบว่านายจักรภพ อยู่ในต่างประเทศ ก็จะต้องประสานกับอธิบดีอัยการฝ่ายคดีต่างประเทศ ขอความร่วมมือในเรื่องของการส่งผู้ร้ายข้ามแดน

**ฝ่ายค้านนิคารากัวไล่บี้กรณีแม้ว
วานนี้ (21เม.ย.) รัฐบาลของประธานาธิบดีแดเนียล ออร์เตก้า ที่สื่อสารกับเจ้าหน้าที่ที่ดูแลเว็บไซต์ ข่าวในอินเตอร์เน็ตอย่างน้อย 4 แห่ง ยังคงนิ่งเฉย ต่อประเด็นใหม่ที่จุดชนวนความขัดแย้งระหว่างไทย กับนิคารากัว และกรณีที่มีรายงานว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ผู้ต้องหาหลบหนีคดีจากประเทศไทย ไปโผล่ที่กรุงมานากัว เมืองหลวงของนิคารากัว หลังเดินทางออกจากสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เพราะได้หนังสือเดินทางทางการทูต ที่นิคารากัวออกให้
เจ้าหน้าที่ของกองตรวจคนเข้าเมือง ในสังกัดกระทรวงต่างประเทศ และเจ้าหน้าที่สนามบินนานาชาติ ซานดิโน่ เปิดเผยว่า ยังไม่เห็นแม้แต่เงาของ พ.ต.ท.ทักษิณ เดินทางเข้าประเทศ เมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ตามที่สื่อมวลชนไทยรายงานข่าว เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
ด้านสำนักงานโฆษกของประธานาธิบดีออร์เตก้า ในกรุงมานากัว ได้เปิดเผยว่า พ.ต.ท.ทักษิณได้รับหนังสือเดินทางทางการทูต และมีตำแหน่งเป็นทูตพิเศษ เพื่อส่งเสริมการลงทุนจากต่างชาติ การเปิดเผยเรื่องนี้ ก่อให้เกิดกระแสวิพากวิจารณ์จากฝ่ายค้าน ที่เตือนว่า จะเป็นการละเมิดกฎหมายอย่างร้ายแรง ที่เอาตำแหน่งสำคัญนี้ไปให้กับต่างชาติ พร้อมกับเรียกร้องให้รัฐบาล อธิบายให้ชัดเจนว่า ทำแบบนี้แล้วจะก่อให้เกิดประโยชน์อันใดบ้าง
แม้จะไม่มีการทำข้อตกลงส่งผู้ร้ายข้ามแดน แต่รัฐบาลไทยพยายามขอร้องให้ทางการนิคารากัวส่งตัว พ.ต.ท.ทักษิณให้ แต่แม้จะมีการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง "ทูตพิเศษ " แต่รองประธานาธิบดี ไฆเม่ โมราเลส คาราโซ่ ที่รับผิดชอบด้านความสัมพันธ์กับนักธุรกิจต่างชาติ กลับกล่าวว่า ไม่รู้จัก พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นการส่วนตัว และกล่าวด้วยว่า เท่าที่จำได้ ประธานาธิบดีออร์เตก้า ก็ไม่รู้จัก พ.ต.ท.ทักษิณ เช่นกัน คิดว่าอาจจะมีที่ปรึกษาแนะนำให้รู้จัก
รองประธานาธิบดีนิคารากัว กล่าวว่า อาจเป็นที่ปรึกษาคนเดิมของประธานาธิบดี ออร์เตก้า ที่แนะนำเรื่องนี้ โดยไม่ได้รู้เรื่องราวที่ลึกซึ้ง เชื่อใจในทุกอย่างที่เกิดขึ้นด้วยความสุจริตใจ ปราศจากเจตนามุ่งร้ายที่ไตร่ตรองไว้ล่วงหน้า และจะไม่ให้การสนับสนุนกรณีที่มาเป็นตัวแทนของประเทศ ในสภาพที่เผชิญข้อกล่าวหาตั้งมากมายในบ้านของตัวเอง

**ม็อบหางแดงทำCCTV เจ๊ง 59 ตัว
กทม.เผยผลสำรวจด้านสุขภาพจิตชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบจากม็อบเสื้อแดงก่อจลาจล พบ ชาวดินแดง-นางเลิ้ง-เพชรบุรีซ.7 เครียด ขณะที่ภาพรวมเครียดเพิ่มขึ้น 15 % ชี้หากไม่มีเหตุวุ่นวายเกิดอีก 1 ปี คนกรุงสุขภาพจิตดีขึ้น เผยเตรียมเปิดคลินิกคลายเครียดที่ศาลาว่าการ กทม.1-2 “สุขุมพันธุ์” เผยการชุมนุมม็อบเสื้อแดงทำกล้อง CCTV เสีย 59 ตัวจากไฟไหม้ ถูกตัดสัญญาณ ทำลายระบบควบคุมสัญญาณ มีการปรับเปลี่ยนมุมกล้อง สรุปเตรียมเพิ่มกล้อง CCTV เป็น 20,000 ตัวใน 4 ปี
ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าราชกากรุงเทพมหานคร (กทม.) เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะผู้บริหาร กทม.เกี่ยวกับการฟื้นฟูสภาพจิตของคนกรุงเทพฯ หลังเกิดเหตุวุ่นวายทางการเมือง เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า ทางสำนักการแพทย์ และสำนักอนามัยของ กทม. ได้ลงพื้นที่ชุมชนที่ได้รับผลกระทบจากการชุมนุมเพื่อประเมินด้านสุขภาพจิต โดยชุมชนนางเลิ้ง พบว่ามีความเครียดจากสถานการณ์การเมืองร้อยละ 25 ชุมชนเพชรบุรีซอย 7 มีความเครียดจากสถานการณ์การเมืองร้อยละ 15 ชุมชนชาวแฟลตดินแดง 1-8 มีความเครียดจากสถานการณ์การเมืองร้อยละ 20 แต่เมื่อดูภาพรวมทั้ง กทม.มีความเครียดเพิ่มขึ้นร้อยละ 15
ทั้งนี้ กทม.ได้ส่งทีมแพทย์ พยาบาล ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตเวชจากวิทยาลัยแพทยศาสตร์กรุงเทพมหานครและวชิรพยาบาล นักพัฒนาสังคมลงพื้นที่ให้คำปรึกษา แนะนำแล้ว และหากประชาชนที่ต้องการคำปรึกษาด้านสุขภาพจิตหรือความเครียดให้โทรศัพท์มาปรึกษาได้ที่ 1646 สายด่วนคู่ใจ ซึ่งจะมีพยาบาลที่ได้รับการอบรมให้คำปรึกษาตลอด 24 ชั่วโมง นอกจากนี้มีโครงการที่จะเปิดคลินิกคลายเครียดที่ศาลาว่าการกทม. 1 เสาชิงช้า และ ศาลาว่าการกทม. 2 ดินแดงอีกด้วย
ผู้ว่าฯกทม.กล่าวด้วยว่า ในส่วนของกล้องโทรทัศน์วงจรปิด หรือกล้อง CCTV มีรายงานความเสียหาย ระหว่างวันที่ 8-16 เม.ย ที่ผ่านมาว่ามีกล้อง CCTV เสียหายจำนวน 59 ตัว ที่แยกจปร. ยมราช สะพานมัฆวานฯ นางเลิ้ง แยกสวนรื่น บางขุนพรหม โดยมีสาเหตุมาจากไฟไหม้ ถูกตัดสัญญาณ ทำลายระบบควบคุมสัญญาณ มีการปรับเปลี่ยนมุมกล้อง อย่างไรก็ตาม กทม.จะดำเนินการซ่อมแซมให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 24 เม.ย.นี้
นอกจากนี้ จะมีการติดตั้งกล้อง CCTV ให้ครอบคลุมพื้นที่กทม.ให้มากขึ้น ทั้งพื้นที่ชั้นใน ถนนสายหลัก อีก 1,700 ตัว คาดจะแล้วเสร็จเดือน ส.ค.นี้ ซึ่งจะทำให้กทม.มีกล้อง CCTV มากกว่า 3,000 ตัว ทั้งนี้ ในระยะยาว จากเดิมที่ตั้งเป้า 4 ปีจะต้องติดตั้งกล้อง CCTV ให้ได้ 10,000 ตัวนั้นตนมีนโยบายจะเพิ่มการติดตั้งอีก 10,000 ตัว รวมเป็น 20,000 ตัว ใน 4 ปี

**แก๊งเสื้อแดงภาคเหนือมอบตัว
วานนี้ (21 เม.ย.) นายสถาพร มณีรัตน์ ส.ส.ลำพูน พรรคเพื่อไทย และนายเพชรวรรต วัฒนพงศศิริกุล แกนนำกลุ่มรักเชียงใหม่ 51 พร้อมพวกรวม 6 คนที่ถูกหมายจับ ในความผิดเกี่ยวกับความสงบสุขของประชาชน มาตรา 215 และมาตรา 216 ตามประมวลกฏหมายอาญา รวมทั้งข้อหาตาม พ.ร.บ.จราจร จากกรณีนำมวลชนปิดถนนซุปเปอร์ไฮเวย์ เชียงใหม่-ลำปาง บริเวณแยกดอยติ อ.เมืองฯ จ.ลำพูน ได้เข้ามอบตัวที่ สภ.เมืองลำพูนแล้ว และได้ใช้เงินสด 1.6 ล้านบาท เป็นหลักทรัพย์ประกันตัวออกมา
ทั้งนี้ นายเพชรวรรต นอกจากจะเข้ามอบตัวต่อตำรวจ สภ.ลำพูน แล้ว ในวันนี้ (22 เม.ย.) จะเข้ามอบตัวที่ สภ.สารภี อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ตามหมายจับในความผิดตาม พ.ร.บ.ทางหลวง จากการนำมวลชนปิดถนนซุปเปอร์ไฮเวย์ เชียงใหม่-ลำปาง ในพื้นที่ อ.สารภี
สำหรับแกนนำกลุ่มเสื้อแดงในพื้นที่ จ.เชียงใหม่ ที่ถูกออกหมายจับจากกรณีก่อความวุ่นวายในช่วงที่ผ่านมา จากกรณีปลุกระดมมวลชนปิดถนนนั้นมีด้วยกัน 3 คน ได้แก่ นายเพชรวรรต วัฒนพงศ์ศิริกุล น.ส.กัญญาภัค มณีจักร หรือ "ดีเจอ้อม" และ นายภูมิใจ ไชยยา หรือ"ดีเจต้อม"

**แดงเชียงราย ขู่เคลื่อนไหวต่อ
ส่วนแกนนำกลุ่มเสื้อแดง จ.เชียงราย ที่ถูกออกหมายจับหลังเคลื่อนไหวต่อต้านรัฐบาลด้วยการปิดถนนพหลโยธิน ระหว่างวันที่ 12-14 เม.ย.ที่ผ่านมา ได้เข้ามอบตัวเช่นกันรวม 9 คน นำโดย นายวิสาร เตชะธีราวัฒน์ อดีต ส.ส.เชียงราย อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย ที่ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง 5 ปี ซึ่งเดินทางมาพร้อมกับน.ส.วิสาระดี เตชะธีราวัฒน์ ส.ส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย บุตรสาว โดยมีน.ส.ละออง ติยะไพรัช ส.ส.เชียงราย เขต 3 น้องสาวนายยงยุทธ ติยะไพรัช และนายสฤษฎ์ อึ้งอภินันท์ ส.ส. เขต.1 ได้เตรียมหลักทรัพย์ มาประกันตัวทั้งหมดออกไป
นายอรรถกร กันทะไชย แกนนำจากกลุ่มคนเจียงฮายฮักประชาธิปไตย 1 ใน 9 ผู้ต้องหา ที่เข้ามอบตัว กล่าวว่า แม้ตนจะถูกดำเนินคดีครั้งนี้ แต่หลังจากได้ประกันตัวกันออกไปแล้ว ก็จะออกไปเคลื่อนไหวเหมือนเดิม ตามอุดมการณ์ของพวกเรา
ด้านนายวิสาร กล่าวว่า พวกเราทั้งหมดให้การปฏิเสธทั้ง 3 ข้อกล่าวหา เพราะยืนยันว่าพวกเราดำเนินการโดยอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ ส่วนเรื่องคดีก็ได้ปรึกษากับบรรดา ส.ส.เชียงราย และก็ได้รับการช่วยเหลือเป็นอย่างดี

**สั่งจับ 4 แดงถ่อยตื้บคนสองแคว
พ.ต.อ.พยูห์ ธนะศรีสืบวงศ์ ผกก.สภ.พิษณุโลก เปิดเผยว่าวานนี้ (21 เม.ย.) ศาลแขวงจังหวัดพิษณุโลกได้อนุมัติหมายจับ เลขที่ 233/2552 ให้จับตัวนายอภิชาต อินสอน เกิดเมื่อวันที่ 29 เม.ย.29 อยู่บ้านเลขที่ 70/6 หมู่ 1 ต.ช้างเผือก อ.เมือง จ.เชียงใหม่ ซึ่งตนได้ลงนามในหนังสือแจ้งต่อ สภ.ช้างเผือก เพื่อประสานขอให้ติดตามจับกุม เพื่อตัวส่งมายัง สภ.พิษณุโลก ในฐานความผิด ใช้กำลังทำร้ายนายอดิศร ธีรศานติพันธ์ และนางมธุรส ธีรศานติพันธ์ เมื่อวันที่ 28 ก.พ.52
นอกจากนี้ ยังมีหมายจับอีก 3 ฉบับ คือ หมายจับเลขที่ 234/2552 ศาลแขวงจังหวัดพิษณุโลก ให้จับตัวชายไทยไม่ทราบชื่อ อายุ 40-45 ปี สูง 170 ซม. ผิวดำแดง ผมดำ หน้ารูปไข่, หมายจับเลขที่ 235/2552 ให้จับตัวชายไทยไม่ทราบชื่อ อายุ 40-45 ปีสูง 170 ซม.ดำ หน้ารูปไข่ และหมายจับเลขที่ 236/2552 ให้จับตัวชายไทยไม่ทราบชื่อ อายุ 25-30 ปีสูง 165-170 ซม. ซึ่งผู้ที่ถูกออกหมายจับทั้ง 4 รายครั้งนี้เป็นกลุ่มเสื้อแดง หรือ กลุ่มรักเชียงใหม่ 51 ที่ก่อเหตุทำร้ายคนพิษณุโลกรับบาดเจ็บเมื่อวันที่ 28 ก.พ.51 ตามภาพปรากฏเป็นหลักฐานเสื้อแดง ขณะทำร้ายประชาชน
พ.ต.อ.พยูห์ บอกว่า ที่ผ่านมาได้ส่งหมายเรียก สภ.ช้างเผือก ให้มารายงานตัวที่ สภ.เมืองพิษณุโลก 2 ครั้ง แต่เพิกเฉยและสืบหาชื่อและที่อยู่ของผู้กระทำความผิดได้ 1 คน และอีก 3 คนไม่ทราบชื่อ แต่มีหลักฐานกระทืบ, ชก, ต่อย ทำร้ายคนพิษณุโลก ชัดเจน เหตุเกิดถนนสนามบิน จ.พิษณุโลก ทั้งนี้ กลุ่มเสื้อแดง(เชียงใหม่51) ได้รุมกระทืบคนพิษณุโลก หักหาญน้ำใจคนสองแคว เมื่อเดือนเศษๆ ที่ผ่านมา ครั้งที่พันธมิตรฯ จัดคอนเสิร์ตการเมือง ครั้งที่ 3 (28 ก.พ.52)
กำลังโหลดความคิดเห็น