"สมเดช"ตั้งทีมเฉพาะกิจด้านไอที แกะรอยจับขบวนการโพสต์ข้อความหมิ่นเบื้องสูงจ้องล้มล้างสถาบัน หลังพบต่อเดือนมีมากถึง 30 เว็บ ยอมรับเซิร์ฟเวอร์อยู่ต่างแดนยากต่อการตรวจสอบ วอนทุกคนรักชาติ สถาบันไม่ควรกระทำการมิบังควร ด้านกอบปราบ เตรียมสรุปออกหมายจับเพิ่ม"น.ช.แม้ว"โฟนอินจาบจ้วงอีกหลายคดี
วานนี้(9 ส.ค.)พล.ต.ท.สมเดช ขาวขำ ผู้บัญชาการสำนักงานเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ผบช. สทส.)เปิดเผยถึงกรณีการเผยแพร่ข้อความหมิ่นสถาบันเบื้องสูงผ่านเว็บไซต์ ว่ารัฐบาลและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ(สตช.)ได้กำชับให้เข้มงวดตรวจสอบดำเนินการขั้นเด็ดขาดกับผู้กระทำการดังกล่าวเป็นพิเศษ โดยเจ้าหน้าที่จะเฝ้าระวังตลอดเวลา ซึ่งพบว่าต่อ 1 เดือนจะมีประมาณ 20-30 เว็บไซต์ ที่มีการโพสต์คำพูด เผยแพร่ภาพที่หมิ่นสถาบัน
จากการตรวจสอบเบื้องต้นในแต่ละเว็บจะมีเครือข่ายเซริฟเวอร์อยู่ในต่างประเทศ ซึ่งเจ้าหน้าที่จะตรวจดูเซริฟเวอร์ดังกล่าวในต่างประเทศยากลำบาก เนื่องจากไม่ค่อยได้รับความร่วมมือ จึงทำให้ตามเอาผิดกับผู้กระทำการดังกล่าวยาก แต่ก็มีเว็บที่เปิดให้โพสต์ข้อความเข้าข่ายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ที่มีเซริฟเวอร์ในไทยไม่น้อยเช่นกัน ซึ่งตรงนี้ได้ประสานไปที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) ให้ปิดเว็บดังกล่าวพร้อมดำเนินคดีกับเจ้าของเว็บไปแล้ว
พล.ต.ท.สมเดช กล่าวต่อว่า ได้ตั้งทีมคณะทำงานชุดเฉพาะกิจเกี่ยวกับด้านไอที ขึ้นมาใหม่ 1 ชุด ซึ่งทีมงานจะมีเว็บมาสเตอร์ มีเจ้าหน้าที่ผู้ที่มีความสามารถ มีความเก่งในด้านเทคโนโลยีโดยเฉพาะ มีความชำนาญงานด้านคอมพิวเตอร์ต้องศึกษาเครื่องมือทั้งหมดให้ทันเทคโนโลยี ซึ่งเราได้ซื้อเครื่องมือให้ทันสมัยตลอดเวลา เพื่อสืบเจาะแหล่งเซริฟเวอร์ที่พวกหมิ่นเบื้องสูงโพสต์รูปภาพ และข้อความผ่านเว็บซึ่งทำกันเป็นขบวนการต่อเนื่องมานานเป็นปีๆ โดยเจ้าหน้าที่ด้านไอทีจะได้ใช้เทคนิคด้านคอมพิวเตอร์แกะข้อมูลติดตามจับกุมต่อไป
"เดือน ๆ หนึ่งเราเจอเว็บหมิ่นสถาบัน 20-30 เว็บ แต่เราตามตรวจดูยากเพราะส่วนใหญ่เซริฟเวอร์อยู่ต่างประเทศ ทำเป็นขบวนการใหญ่โต กระทำการจงใจที่จะล้มล้างสถาบัน ซึ่งตั้งแต่มีสีโน้น สีนี่เกิดขึ้นยิ่งทวีคูณมากขึ้น เราก็เลยตั้งทีมงานเฉพาะกิจ ทำเรื่องนี้โดยเฉพาะ ทีมงานต้องเก่งคอมพิวเตอร์ ถอดรหัสตามแกะรอยมาให้ได้ ยอมรับนะมันตามกันยากคงต้องให้เจ้าหน้าที่ ที่เก่งคอมฯเข้าตรวจสอบให้ได้ ยิ่งไอที มันเจริญขึ้นมีความซิกแซกมากขึ้น เราต้องมีทีมงานที่เก่งไอที"พล.ต.ท.สมเดช กล่าว
**วอนประชาชนช่วยแจ้งเบาะแสะ
พล.ต.ท.สมเดช กล่าวย้ำว่า ประชาชนคนไทยทุกคนควรตระหนักเสมอต้องเคารพรักสถาบัน ประเทศไทยมีการปกครองเช่นนี้ มีพระมหากษัตริย์อยู่เหนือหัว คนที่คิดหมิ่นเบื้องสูงต้องคิดรักประเทศ ไม่ควรกระทำการใดที่เป็นสิ่งมิบังควร ยิ่งข้าราชการที่เป็นข้าแผ่นดินยิ่งไม่ควรทำอย่างยิ่ง ซึ่งพระองค์ทรงเหนื่อยมีภารกิจในประเทศมากมาย ที่ผ่านมามีการตรวจพบว่ามีขบวนการจ้องล้มล้างสถาบันที่เกิดขึ้นมานานแล้ว ได้มีการโพสต์ข้อความใส่ร้ายป้ายสี ซึ่งเป็นสิ่งไม่น่าจะเกิดขึ้นในประเทศชาติ และการหมิ่นเบื้องสูงด้วยถ้อยคำต่าง ๆ มันก็ไม่ใช่เรื่องจริง ทั้งนี้หากใครรู้เห็นกับการทำดังกล่าวมีโทษอาญา ดังนั้นถ้าใครทราบเบาะแสให้แจ้งมายังเจ้าหน้าที่เพื่อจะได้ติดตามตรวจสอบจับกุมมาดำเนินคดีต่อไป
**จ่อหมายจับเพิ่ม"ทักษิณ"จาบจ้วง
นอกจากนี้ พล.ต.ท.สมเดช กล่าวถึงความคืบหน้าการติดตามดำเนินคดีเอาผิดกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่มีการโฟนอินสร้างความปั่นป่วน และมีการกล่าวพาดพิงหมิ่นเหม่เบื้องสูงผ่านการชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดง ว่า คณะกรรมการจากกองบัญชาการตำรวจสันติบาล กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ส.) กองปราบปราม และสำนักงานเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (สทส.) ร่วมประชุมได้พิจารณาแล้วว่า เข้าองค์ประกอบที่ควรพิจารณา โดยได้ให้กองบังคับการสอบสวนกลางดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป และให้กองปราบปราบไปดำเนินการเตรียมออกหมายจับ ส่วนจะมีกี่คดีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ โฟนอินพูดเข้าข่ายหมิ่นเบื้องสูง และจะมีการออกหมายจับกี่คดี ตนไม่ทราบรายละเอียดต้องไปถามกองปราบฯ เพราะได้มอบหมายให้ พ.ต.อ.สาธิต ต ชยภพ รอง ผบก.ป. เป็นผู้รวบรวมยอดคดี และให้รวบรวมมีกี่คดีที่เสร็จสมบูรณ์แล้ว ดังนั้นตนไม่แม่นในข้อมูลเกรงจะผิดพลาดได้เพราะเป็นเรื่องสำคัญขอไม่ให้รายละเอียด
ทางด้าน พล.ต.ต.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ ผู้บังคับการกองปราบปราม(ผบก.ป )กล่าวว่า ได้สั่งตั้งคณะกรรมการชุดพนักงานสอบสวนเพื่อพิจารณาคดีดังกล่าวแล้ว โดยเบื้องต้นได้ให้ พ.ต.อ.สาธิต ต ชยภพ รอง ผบก.ป.ไปดำเนินการให้แล้วเสร็จ
ขณะที่ พ.ต.อ.สุพิศาล ภักดีนฤนาถ รอง ผบก.ป ในฐานะดูแลคดีหมิ่นเบื้องสูงในภาพรวมต่าง ๆ กล่าวว่า พล.ต.ท.ไถง ปราศจากศัตรู ผบช.ก. ได้ส่งเรื่องคดี พ.ต.ท.ทักษิณ หมิ่นพระบรมเดชานุภาพมาให้กองปราบปราม ซึ่งกองปราบฯได้ตั้งคณะกรรมการร่วมกับกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง โดยมีรองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เป็นประธาน โดยจะพิจารณาการหมิ่นในประเทศ ส่วนการหมิ่นในต่างประเทศ จะต้องดูด้วยว่าการโฟนอินเข้ามาทำในเมืองไทย หรือโฟนอินจากต่างประเทศผ่านเครือข่ายประเทศใด ถ้าหากคดีเกิดขึ้นในต่างประเทศในทางกฎหมายจะต้องให้อัยการเป็นหัวหน้าพนักงานสอบสวนตาม ม.20
วานนี้(9 ส.ค.)พล.ต.ท.สมเดช ขาวขำ ผู้บัญชาการสำนักงานเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ผบช. สทส.)เปิดเผยถึงกรณีการเผยแพร่ข้อความหมิ่นสถาบันเบื้องสูงผ่านเว็บไซต์ ว่ารัฐบาลและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ(สตช.)ได้กำชับให้เข้มงวดตรวจสอบดำเนินการขั้นเด็ดขาดกับผู้กระทำการดังกล่าวเป็นพิเศษ โดยเจ้าหน้าที่จะเฝ้าระวังตลอดเวลา ซึ่งพบว่าต่อ 1 เดือนจะมีประมาณ 20-30 เว็บไซต์ ที่มีการโพสต์คำพูด เผยแพร่ภาพที่หมิ่นสถาบัน
จากการตรวจสอบเบื้องต้นในแต่ละเว็บจะมีเครือข่ายเซริฟเวอร์อยู่ในต่างประเทศ ซึ่งเจ้าหน้าที่จะตรวจดูเซริฟเวอร์ดังกล่าวในต่างประเทศยากลำบาก เนื่องจากไม่ค่อยได้รับความร่วมมือ จึงทำให้ตามเอาผิดกับผู้กระทำการดังกล่าวยาก แต่ก็มีเว็บที่เปิดให้โพสต์ข้อความเข้าข่ายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ที่มีเซริฟเวอร์ในไทยไม่น้อยเช่นกัน ซึ่งตรงนี้ได้ประสานไปที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) ให้ปิดเว็บดังกล่าวพร้อมดำเนินคดีกับเจ้าของเว็บไปแล้ว
พล.ต.ท.สมเดช กล่าวต่อว่า ได้ตั้งทีมคณะทำงานชุดเฉพาะกิจเกี่ยวกับด้านไอที ขึ้นมาใหม่ 1 ชุด ซึ่งทีมงานจะมีเว็บมาสเตอร์ มีเจ้าหน้าที่ผู้ที่มีความสามารถ มีความเก่งในด้านเทคโนโลยีโดยเฉพาะ มีความชำนาญงานด้านคอมพิวเตอร์ต้องศึกษาเครื่องมือทั้งหมดให้ทันเทคโนโลยี ซึ่งเราได้ซื้อเครื่องมือให้ทันสมัยตลอดเวลา เพื่อสืบเจาะแหล่งเซริฟเวอร์ที่พวกหมิ่นเบื้องสูงโพสต์รูปภาพ และข้อความผ่านเว็บซึ่งทำกันเป็นขบวนการต่อเนื่องมานานเป็นปีๆ โดยเจ้าหน้าที่ด้านไอทีจะได้ใช้เทคนิคด้านคอมพิวเตอร์แกะข้อมูลติดตามจับกุมต่อไป
"เดือน ๆ หนึ่งเราเจอเว็บหมิ่นสถาบัน 20-30 เว็บ แต่เราตามตรวจดูยากเพราะส่วนใหญ่เซริฟเวอร์อยู่ต่างประเทศ ทำเป็นขบวนการใหญ่โต กระทำการจงใจที่จะล้มล้างสถาบัน ซึ่งตั้งแต่มีสีโน้น สีนี่เกิดขึ้นยิ่งทวีคูณมากขึ้น เราก็เลยตั้งทีมงานเฉพาะกิจ ทำเรื่องนี้โดยเฉพาะ ทีมงานต้องเก่งคอมพิวเตอร์ ถอดรหัสตามแกะรอยมาให้ได้ ยอมรับนะมันตามกันยากคงต้องให้เจ้าหน้าที่ ที่เก่งคอมฯเข้าตรวจสอบให้ได้ ยิ่งไอที มันเจริญขึ้นมีความซิกแซกมากขึ้น เราต้องมีทีมงานที่เก่งไอที"พล.ต.ท.สมเดช กล่าว
**วอนประชาชนช่วยแจ้งเบาะแสะ
พล.ต.ท.สมเดช กล่าวย้ำว่า ประชาชนคนไทยทุกคนควรตระหนักเสมอต้องเคารพรักสถาบัน ประเทศไทยมีการปกครองเช่นนี้ มีพระมหากษัตริย์อยู่เหนือหัว คนที่คิดหมิ่นเบื้องสูงต้องคิดรักประเทศ ไม่ควรกระทำการใดที่เป็นสิ่งมิบังควร ยิ่งข้าราชการที่เป็นข้าแผ่นดินยิ่งไม่ควรทำอย่างยิ่ง ซึ่งพระองค์ทรงเหนื่อยมีภารกิจในประเทศมากมาย ที่ผ่านมามีการตรวจพบว่ามีขบวนการจ้องล้มล้างสถาบันที่เกิดขึ้นมานานแล้ว ได้มีการโพสต์ข้อความใส่ร้ายป้ายสี ซึ่งเป็นสิ่งไม่น่าจะเกิดขึ้นในประเทศชาติ และการหมิ่นเบื้องสูงด้วยถ้อยคำต่าง ๆ มันก็ไม่ใช่เรื่องจริง ทั้งนี้หากใครรู้เห็นกับการทำดังกล่าวมีโทษอาญา ดังนั้นถ้าใครทราบเบาะแสให้แจ้งมายังเจ้าหน้าที่เพื่อจะได้ติดตามตรวจสอบจับกุมมาดำเนินคดีต่อไป
**จ่อหมายจับเพิ่ม"ทักษิณ"จาบจ้วง
นอกจากนี้ พล.ต.ท.สมเดช กล่าวถึงความคืบหน้าการติดตามดำเนินคดีเอาผิดกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่มีการโฟนอินสร้างความปั่นป่วน และมีการกล่าวพาดพิงหมิ่นเหม่เบื้องสูงผ่านการชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดง ว่า คณะกรรมการจากกองบัญชาการตำรวจสันติบาล กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ส.) กองปราบปราม และสำนักงานเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (สทส.) ร่วมประชุมได้พิจารณาแล้วว่า เข้าองค์ประกอบที่ควรพิจารณา โดยได้ให้กองบังคับการสอบสวนกลางดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป และให้กองปราบปราบไปดำเนินการเตรียมออกหมายจับ ส่วนจะมีกี่คดีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ โฟนอินพูดเข้าข่ายหมิ่นเบื้องสูง และจะมีการออกหมายจับกี่คดี ตนไม่ทราบรายละเอียดต้องไปถามกองปราบฯ เพราะได้มอบหมายให้ พ.ต.อ.สาธิต ต ชยภพ รอง ผบก.ป. เป็นผู้รวบรวมยอดคดี และให้รวบรวมมีกี่คดีที่เสร็จสมบูรณ์แล้ว ดังนั้นตนไม่แม่นในข้อมูลเกรงจะผิดพลาดได้เพราะเป็นเรื่องสำคัญขอไม่ให้รายละเอียด
ทางด้าน พล.ต.ต.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ ผู้บังคับการกองปราบปราม(ผบก.ป )กล่าวว่า ได้สั่งตั้งคณะกรรมการชุดพนักงานสอบสวนเพื่อพิจารณาคดีดังกล่าวแล้ว โดยเบื้องต้นได้ให้ พ.ต.อ.สาธิต ต ชยภพ รอง ผบก.ป.ไปดำเนินการให้แล้วเสร็จ
ขณะที่ พ.ต.อ.สุพิศาล ภักดีนฤนาถ รอง ผบก.ป ในฐานะดูแลคดีหมิ่นเบื้องสูงในภาพรวมต่าง ๆ กล่าวว่า พล.ต.ท.ไถง ปราศจากศัตรู ผบช.ก. ได้ส่งเรื่องคดี พ.ต.ท.ทักษิณ หมิ่นพระบรมเดชานุภาพมาให้กองปราบปราม ซึ่งกองปราบฯได้ตั้งคณะกรรมการร่วมกับกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง โดยมีรองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เป็นประธาน โดยจะพิจารณาการหมิ่นในประเทศ ส่วนการหมิ่นในต่างประเทศ จะต้องดูด้วยว่าการโฟนอินเข้ามาทำในเมืองไทย หรือโฟนอินจากต่างประเทศผ่านเครือข่ายประเทศใด ถ้าหากคดีเกิดขึ้นในต่างประเทศในทางกฎหมายจะต้องให้อัยการเป็นหัวหน้าพนักงานสอบสวนตาม ม.20