xs
xsm
sm
md
lg

ฮือฮาคลิปคนหน้าคล้ายสมชายรบ.โจรตีกินเกาะ ‘ป๋า’ร้องขอสมานฉันท์

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ฮือฮาคลิปลับคนหน้าคล้าย ‘สมชาย’ นักสืบแอบถ่ายตามจับบ้านเล็ก ควงคู่สาวไม่ซ้ำหน้าพากินข้าว ชอปปิงตู้เย็น กระทั่งขับรถเข้าโรงแรมม่านรูด เผยมือดีแพร่ผ่านเน็ตขึ้นอันดับฮิตชั่วข้ามวัน ตอกย้ำยุค ‘หน้าเนื้อใจเสือ’ จริยธรรมสังคมเสื่อมทราม ด้าน “สมชาย” ตัวจริงสวมบท ‘ตีกิน’ เกาะกระแสกลางกลวง สร้างภาพหนุนแนวคิด “สุเมธ-ป๋าเปรม ”หาทางออกและลดความแตกแยก บอกพร้อมหนุนทุกเวที ขณะที่ "อภิสิทธิ์" ซัดเป็นผู้นำประเทศที่นิ่งเฉยต่อวิกฤติการเมืองทำสถานการณ์ยืดเยื้อจนพาประเทศตกต่ำสุด ปชป.ทนไม่ได้รัฐบาล เจ้าหน้าที่รับเฉื่อยโยนกันไปมาจัดการขบวนการหมิ่นเบื้องสูง เสนอแก้กม.เล่นงาน ส่วนตำรวจเพิ่งตื่นลุยขบวนการหมิ่นสถาบัน แต่คดี “จักรภพ” กลับยังอืดเช่นเดิม
ปรากฎการณ์คลิปวิดีโอลับของบุคคลที่มีชื่อเสียงในวงสังคมถูกเผยแพร่ผ่านอินเตอร์เน็ต หรือมือถือซึ่งต่อมากลายเป็นข่าวอื้อฉาวยังเกิดขึ้นเป็นระยะ ล่าสุดผู้สื่อข่าวรายงานว่า มีคลิปวีดีโอของบุคคลที่แม้ไม่ใช่ดารา นักร้อง แต่กลับสร้างกระแสในหมู่นักท่องอินเตอร์เน็ตให้ได้ฮือฮาถูกถามหาและส่งต่อๆกันมากจนแพร่ระบาดไปทั่วไม่แพ้คลิปดังๆที่ผ่านมาชั่วข้ามวัน
คลิปวีดีโอดังกล่าวมีความยาวประมาณ 25 นาที 26 วินาทีเป็นภาพของคนที่หน้าตาคล้ายกับนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี กับ หญิงสาวที่ถูกกล้องตามถ่ายพร้อมกับมีคำบรรยายเป็นเสียงพูดเหมือนกับการทำงานของนักสืบเอกชนที่รับจ้างจากผู้หญิงที่ไม่ไว้วางใจสามีตนให้ตามถ่าย ‘เป้าหมาย’ เพื่อติดตามดูพฤติกรรมของฝ่ายชายในลักษณะการอยู่ร่วมกับหญิงสาวคนอื่น
“สาวแรก”- สวีทรสสะตอ
จากการตรวจสอบพบว่า จากตัวเลขเวลาที่ขึ้นอยู่ข้างจอ อันเป็นวันที่และเวลาขณะแอบถ่ายนั้น เริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2549 เวลา 17.58 น. ที่บริเวณหน้าร้านสะดวกซื้อแห่งหนึ่ง สังเกตได้ว่า จากการแอบถ่ายนี้ เป็นการถ่ายผ่านกระจกหน้ารถ ที่ขับตามรถของเป้าหมาย ซึ่งในไฟล์แรกที่ถูกตัดต่อมานั้น รถของเป้าหมาย เป็นรถเบนซ์สปอร์ตสองประตู สีแดง เลขทะเบียน ศฐ-1119 กรุงเทพมหานคร ที่กำลังแล่นไปบนถนน
รถสปอร์ตคันดังกล่าว มุ่งหน้าไปทางอรุณอัมรินทร์-บรมราชชนนี ออกไปเส้นเพชรเกษม-พุทธมณฑล-ท่าพระ มีการจอดที่หน้าปากซอยเพชรเกษมซอย7/2 เพื่อมารับผู้หญิงรูปร่างสูงเพรียวผิวสองสีสวมเสื้อสีขาว กางเกงสีขาวขึ้นรถ จากนั้นรถได้แล่นไปบนถนนจรัญสนิทวงศ์ ก่อนจะเลี้ยวเข้าไปจอดในร้านอาหาร “ปักษ์ใต้” แล้วประตูฝั่งคนขับก็ถูกเปิดออก คนที่ก้าวลงจากรถเป็นชายวัยราว 60 เศษรูปร่างเล็ก สวมเสื้อเชิร์ตสีขาวแขนยาว ผูกไทด์เรียบร้อยท่าทางและหน้าตาคล้ายนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ขณะที่ด้านคู่คนขับที่ลงมาคือสาวชุดขาวที่แวะรับมานั่นเอง
และภายหลังการรับประทานอาหารกันอย่างชื่นมื่น รถคันดังกล่าวก็แล่นกลับไปยังย่านท่าพระอีกครั้ง เลี้ยวเข้าถนนเพชรเกษม มีการจอดให้ผู้หญิงชุดขาวลงบริเวณถนนเพชรเกษม 7/2 ซึ่งเป็นที่เดียวกับที่ถูกรับไปก่อนหน้านี้ ผู้หญิงคนดังกล่าวแวะซื้อผลไม้ข้างทาง กล้องพยายามซูมเข้าไปและสังเกตได้ว่า หญิงคนดังกล่าวอายุราว 20 ต้นๆ รูปร่างหน้าตาดี
รถปริศนาในโรงแรมม่านรูด
จากนั้นภาพได้ถูกตัดออกไปและปรากฏเป็นภาพป้าย “คานาแมนชั่น” โดยมีเสียงหญิงผู้ตามสืบพฤติกรรมคนเดิมระบุว่า “นี่คือคานาแมนชั่น ที่พักของเป้าหมาย” และจากตัวเลขการบันทึกภาพ ระบุว่าเป็นการบันทึกในวันที่ 24 มีนาคม 2549 คือ 2 วันถัดมาจากวันที่คนหน้าคล้ายนายกรัฐมนตรีรายนี้ไปรับสาววัยรุ่นคราวลูกไปรับประทานอาหารร้านปักษ์ใต้
สำหรับคราวนี้ รถที่ถูกติดตามแอบถ่ายเปลี่ยนเป็นรถเก๋งบีเอ็มดับบลิวสีดำ หมายเลขทะเบียน 2ณ-8198 กรุงเทพฯ รถคันดังกล่าวเลี้ยวเข้าโรงแรมม่านรูดที่ชื่อ “เวสตอิน” โดยเสียงหญิงผู้บรรยายคนเดิมกล่าวว่า “รถคันที่แล่นออกจากบ้านของเป้าหมาย แล่นเข้าไปในโรงแรมเวสตอิน หลังจากแวะรับหญิงสาวหนึ่งคนจากหมู่บ้านซื่อตรง”
รถของผู้เฝ้าติดตามพฤติกรรมได้ตามเข้าไปในม่านรูด และภาพสุดท้ายที่ถ่ายได้ในวันนั้นคือรถบีเอ็มดับบลิวคันหรู เลี้ยวเข้าซองม่านรูด...ซึ่งชวนให้คิดต่อว่า คนทั้งคู่เข้าไปทำอะไรในสถานที่แห่งนั้น...

เบรกฟาสต์รสซาลาเปา
ไฟล์ที่สามที่ถูกตัดต่อมานั้น เป็นการบันทึกเหตุการณ์ที่ระบุว่า เป็นวันที่ 26 มีนาคม 2549 หลังจากเหตุการณ์บีเอ็มดับบลิวปริศนาในโรงแรมม่านรูดแล้วภาพจากการติดตามฉายให้เห็นวิวเดิมบริเวณบ้านของเป้าหมาย เรื่อยมาจนถึงซอยชลลดา 23 ออกไปยังถนนกาญจนาภิเษก เข้าเส้นบรมราชชนนี มุ่งหน้านครปฐมสำหรับรถที่ถูกติดตามในวันดังกล่าว เป็นรถเอสยูวี ยี่ห้อเล็กซัส รุ่น LX 470 สีขาว ทะเบียน กบ-8888 เชียงใหม่
โดยรถทะเบียนสวยคันดังกล่าวเลี้ยวเข้าไปในร้านอาหาร “ส้มแก้ว” จากนั้นหนุ่มใหญ่-สาวใหญ่คู่หนึ่งก็ลงมาจากรถ โดยหนุ่มใหญ่ปริศนายังเป็นคนหน้าคล้ายนายสมชายคนเดียวกับที่ไปรับสาวแรกรุ่นจากซอยเพชรเกษม7/2ไปกินอาหารปักษ์ใต้ แต่คราวนี้สาวใหญ่ที่ปรากฎควงคู่เขากับเป็นภาพของผู้หญิงที่หน้าตาคล้าย นางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ ภรรยาของนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อย่างน่าอัศจรรย์!! ขณะที่เสียงผู้ติดตามหญิงคนเดิมก็ระบุว่า “เป้าหมายมารับประทานอาหารกับภรรยา”

“หรอยรสใต้” กับสาวร่างท้วมอีกคน
ไฟล์ต่อมา ระบุว่าเป็นการบันทึกในวันที่ 27 มีนาคม 2549 เวลา 09.24โดยเสียงบันทึกของนักสืบกล่าวว่า “เป้าหมายนั่งรถบีเอ็มดับบลิวออกมากับคนในบ้าน” โดยภาพที่แอบถ่ายได้แสดงให้เห็นว่ารถบีเอ็มดับบลิวสีน้ำตาลอ่อน ทะเบียน ศฐ -9995 กรุงเทพฯคันดังกล่าวแล่นไปตามถนน จากนั้นไฟล์ก็ตัดไปเห็นภาพรถเบนซ์สีดำทะเบียน 777 ในภาพระบุว่าบันทึกในวันเดียวกัน เวลา 11.03 น. เสียงผู้ติดตามหญิงคนเดียวระบุว่า สถานที่ดังกล่าวคือ “กระทรวงแรงงาน เป้าหมายนำรถเบนซ์ตองเจ็ดเข้ามาจอดที่ทำงาน” ก่อนจะจับภาพบอร์ดประชาสัมพันธ์ที่มีการติดชื่อกระทรวงหรา
จากนั้น 12.10 รถเบนซ์สีดำคันดังกล่าวแล่นไปบนถนนพร้อมเสียงผู้ติดตามหญิงระบุว่า “เป้าหมายนั่งรถเบนซ์ออกจากที่ทำงาน ขึ้นทางด่วนดินแดง..ลงทางด่วนที่ถนนแจ้งวัฒนะ” จากนั้นรถคันดังกล่าวเลี้ยวเข้าไปในกระทรวงยุติธรรม โดยมีการบรรยายตรงตามเส้นทางที่เลี้ยวไปว่า “รถเลี้ยวเข้ากระทรวงยุติธรรม” แต่เข้าไปได้ครู่เดียว รถคันดังกล่าวก็แล่นออกจากกระทรวงยุติธรรม ขณะนั้น เวลาบนกล้องแอบถ่ายบันทึกไว้ว่าเป็นเวลา 12.29 น. รถของชายที่ถูกเรียกว่า “เป้าหมาย” ก็เลี้ยวเข้าไปในเมืองทองธานี และจอดที่ร้านอาหาร “เก็จแก้ว” ในเมืองทองธานี เสียงผู้ติดตามหญิงระบุว่า “ฝ่ายชายแวะรับผู้หญิงที่กระทรวงยุติธรรมและพาไปรับประทานอาหารที่เมืองทองธานี”
จากการแอบถ่ายของผู้ติดตามภายในร้านอาหาร ทำให้เห็นใบหน้าของฝ่ายชายชัดเจนมาก และยิ่งตอกย้ำความคล้ายกับนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ส่วนฝ่ายหญิงนั้น มีลักษณะกลางคน รูปร่างอวบท้วม หลังจากรับประทานอาหารเสร็จ ทั้งคู่ออกจากร้านเก็จแก้ว กล้องจับภาพใบหน้าชายและหญิงลึกลับชัดเจน ฝ่ายหญิงห้อยบัตรเจ้าหน้าที่และปลดออกเมื่อออกจากร้าน
จากนั้นทั้งคู่ขึ้นรถเบนซ์สีดำคันเดิม แล่นออกไปจากร้าน และแล่นไปตามถนน ก่อนจะเลี้ยวเข้าจอดที่คาร์ฟูร์สาขาแจ้งวัฒนะ และทั้งคู่ได้ลงไปเลือกซื้อตู้เย็นที่โฮมโปรลักษณะที่แสดงออกคล้ายกับคนเป็นคู่รักกัน หลังจากตกลงใจซื้อตู้เย็นได้ ก็ขึ้นรถและขับออกไปทางถนนติวานนท์ โดยผู้ติดตามหญิงได้บรรยายสถานการณ์ที่เกิดขึ้นว่า
“เป้าหมายชายพาผู้หญิงไปซื้อตู้เย็นที่โฮมโปร และกำลังพากลับเข้ากระทรวงยุติธรรม ที่ได้แวะรับหญิงคนดังกล่าวไปรับประทานอาหารที่เมืองทองธานี”
ต่อมา 16.25 น. ของวันเดียวกัน ผู้ชายคนที่เป็น “เป้าหมาย” ก็ขึ้นรถคันเดิมออกจากกระทรวงยุติธรรม ถนนแจ้งวัฒนะ ขับรถเลี้ยวเข้าวัดพระศรี และจอด ชายคนดังกล่าวในชุดสูทสีดำดูภูมิฐาน ลงจากรถ โดยมีบุคคลในชุดสูทและเจ้าหน้าที่ตำรวจในเครื่องแบบมารอรับด้วยท่าทีนอบน้อม ลักษณะงานที่ไปร่วม เป็นงานศพ
จากนั้นภาพตัดไปที่การแอบถ่ายที่ตัวเลขในกล้องระบุว่าเป็นวันที่ 28 มีนาคม 2549 เป็นภาพรถบีเอ็มดับบลิวสีน้ำตาลอ่อน ทะเบียน ศฐ -9995 บนถนนติวานนท์ ที่กำลังมุ่งหน้าแยกแคราย ขึ้นทางด่วนประชาชื่น ไปยังกระทรวงแรงงาน เป็นอันสิ้นสุดคลิปแอบถ่ายขนาดยาวที่กำลังฮิตในหมู่นักท่องอินเตอร์เน็ตขณะนี้
ทั้งนี้ หลังจากภาพชุดดังกล่าวเผยแพร่อย่างแพร่หลายก่อให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่า เป็นภาพสะท้อนถึงความเสื่อมทรามของสังคมที่ชายที่ไม่ยึดมั่นในสถาบันครอบครัว คนเราไม่สามารถดูจากหน้าตาและพฤติกรรมที่ดูซื่อใสได้

สมชายตีกินกระแสกลางกลวงบ้าง
ด้านนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม กล่าวภายหลังการ แถลงผลการประชุมเชิงปฏิบัติการการบูรณาการกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง แห่งชาติ (กทบ.) หนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์(โอท๊อป) และเอสเอ็มแอล วานนี้ (29 ต.ค.) โดยหยิบเอกสารออกจากกระเป๋าเสื้อสูท 1 แผ่นขึ้นมาอ่านว่า จากการรับฟังโทรทัศน์ 2-3 วันมานี้คิดว่า บ้านเมืองเราตอนนี้มีปัญหาเรื่องความขัดแย้ง อยู่พอสมควร แต่โชคดีที่เรามีผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมืองออกมาช่วยแสดงความคิดเห็น ต่างๆ อย่างเช่น พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ได้ออกมาพูดให้เรา สมัคสมานท์สามัคคีให้มีความอดทนอดกลั้นและเสียสละ ตรงนี้ตนคิดว่าน่าจะถือปฏิบัติได้ และจะทำให้สังคมของเราไม่ต้องมีปัญหาทะเลาะเบาะแว้งกัน ไม่ต้องมีปัญหาขัดแย้งกัน คำว่าเสียสละเป็นการเสียสละในบ้านเมืองเพื่อส่วนรวมทุกคน ตนเข้าใจว่า ท่านหมายความว่าอย่างนั้น
นายสมชายกล่าวว่า ถัดมาได้ฟังดร.สุเมธ ตันติเวชกุล เลขามูลนิธิชัยพัฒนา ออกมาให้ความเห็นที่ดี การที่เราจะมีการสานเสวนาและหาทางที่จะปรองดองกัน ให้มีการพูดเจรจามีสันติวิธีต่อกันลดการเผชิญหน้าคิดว่าอันนั้นคือทางออกที่เราจะไปสู่ความสงบสุขด้วยกัน
“การที่ผู้หลักผู้ใหญ่ออกมาแสดงความเป็นห่วง เพราะต้องการให้เราได้อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข ซึ่งรัฐบาลเองคิดว่าตรงนี้เป็นแนวทางที่เราอยากถือปฏิบัติและเมื่อมีความสงบแล้ว เราจะได้มาช่วยกันดูแลให้พ่อแม่พี่น้องมีสติ สมาธิ ในการช่วยกัน ทำมาหากินและช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกัน ให้สังคมไทยเราเดินไปได้” นายสมชายกล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า แนวทางรัฐบาลในการสนับสนุนแนวคิดของผู้ใหญ่ในบ้านเมือง ที่ออกมาพูดเป็นอย่างไร นายสมชายกล่าวว่า เห็นด้วยในวิธีการ ซึ่งเขากำลังทำกันอยู่ เมื่อถามย้ำว่า รัฐบาลจะต่อยอดอย่างไร นายสมชายกล่าวว่า เราก็ให้การสนับสนุน เวทีไหน ใครทำ เราก็ให้การสนับสนุน อะไรออกมาเราทำได้ก็ทำ
"รัฐบาลและทุกๆคน ก็พร้อมสนับสนุนแนวทางดังกล่าว เพราะเป็นทางออก ที่เราจะได้พูดจาปราศรัยกัน แล้วจะเกิดความสงบ"
ส่วนรัฐบาลจะเป็นขั้นหนึ่งในการเชื่อมต่อเพื่อให้เกิดทางออกของสังคมหรือไม่นั้น นายสมชาย กล่าวว่า ไม่จำเป็นต้องเป็นรัฐบาลที่จะเสนอไป อย่างวันก่อนทางสถาบันพระปกเกล้าก็เป็นผู้จัด เพราะฉะนั้นถ้าเชิญรัฐบาลไปร่วม เราก็ไปได้ หรือจะเป็นองค์กรอื่นๆ โดยเฉพาะองค์กรเอกชน หากจะเป็นคนจัด รัฐบาลก็ไปร่วมได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นวาระของรัฐบาลอย่างเดียว เพราะเรื่องเหล่านี้ถือเป็นวาระของคนไทยทุกคน และเห็นว่าเป็นแนวทางที่เป็นเรื่องดีและจะทำให้เกิดความสงบเรียกร้อย

ปชป.ชี้ปัญหาเกิดจากผู้นำไม่รู้ร้อนรู้หนาว
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่าการที่บริษัทที่ปรึกษา ความเสี่ยงทางเศรษฐกิจและการเมือง หรือเพิร์ค จัดให้ประเทศไทย อยู่อันดับที่ 2 ของประเทศที่มีความเสี่ยงสูงสุดในเอเชีย-แปซิฟิกนั้น เป็นผลมาจากความยืดเยื้อ ของสถานการณ์ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ซึ่งแม้แต่คนไทยยังไม่มีความมั่นใจว่าอะไรจะเกิดขึ้น เหตุการณ์ต่าง ๆ จะจบได้อย่างไร ตัวผู้นำไม่รู้ร้อนรู้หนาว ปฏิบัติหน้าที่ไปวัน ๆ ไม่มีความชัดเจนว่าจะหาทางออกให้กับบ้านเมืองได้อย่างไร
ผู้สื่อข่าวถามว่าจะมีทางออกอะไรที่ดีกว่าการยุบสภาหรือไม่ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า การยุบสภาเป็นทางออกที่ดีที่สุด แต่หากรัฐบาลจะแสดงความรับผิดชอบด้วยวิธีอื่น หรือจะหากระบวนการที่ทำให้ประชาชนมองเห็นว่าที่สุดแล้ว บ้านเมืองมีหลักธรรมาภิบาล ก็สามารถเดินต่อไปได้ แต่กลับไม่มีข้อเสนออะไรเลย

พปช.กลั้นใจโผล่เชียร์"ป๋า"เป็นคนกลาง
วันเดียวกัน ส.ส.พรรคพลังประชาชน นำโดย นายอำนวย คลังผา นายสุชาติ ลายน้ำเงิน ส.ส.ลพบุรี นายสุรชัย เบ้าจรรยา ส.ส.สัดส่วน นายสาธิต เทพวงศ์ศิริรัตน์ ส.ส.สุรินทร์ และนายพีระเพชร ศิริกุล ส.ส.กาฬสินธุ์ ที่อ้างว่าเป็น กลุ่มผู้แทนปวงชนชาวไทย ได้ร่วมกันออกแถลงการณ์ เรียกร้องให้ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี และรัฐบุรุษ เป็นคนกลาง ประสานทุกฝ่ายในสังคม มาร่วมเสวนาหาทางออกความขัดแย้งร่วมกัน
นายอำนวย กล่าวว่าที่ผ่านมา ผู้ใหญ่ในบ้านเมืองหลายคนพูดแต่ในเชิง นามธรรมว่าสังคมจะต้องไม่แตกแยกกัน มีความสามัคคี เสียสละ อดกลั้นและอดทนต่อกัน ดังนั้นกลุ่มผู้แทนปวงชนชาวไทย จึงขอเสนอให้ พล.อ.เปรม ซึ่งเป็นที่เคารพ และมีประสบการณ์ทางการเมืองที่ยาวนาน เชิญกลุ่มต่าง ๆ อาทิ พันธมิตรฯ นปช. รัฐบาล ฝ่ายค้าน องค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ และกองทัพ มาร่วมเสวนา เพื่อแก้ไขปมขัดแย้งในสังคม หากกลุ่มใดไม่มาตามคำเชิญ ขอให้ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ สื่อมวลชน และนักวิชาการ ร่วมกันประณามกลุ่มดังกล่าว ให้ย้ายทะเบียนบ้านออกนอกประเทศไทย พร้อมย้ำว่า ข้อเรียกร้องดังกล่าวนี้ ถือว่าเป็นความเห็นของ ส.ส.พรรคพลังประชาชนทั้งหมด

ไม่สนนปช.ในพปช.เห็นด้วยหรือไม่
ผู้สื่อข่าวถามว่า ได้หารือกับ ส.ส.พรรคพลังประชาชน ในสาย นปช. ที่เคยมีข้อ พิพาทกับ พล.อ.เปรม หรือไม่ นายอำนวย กล่าวว่า เรื่องนี้ถือเป็นเอกสิทธิ์ เชื่อว่า ส.ส.ทุกคนต้องการเห็นทางออกของบ้านเมือง เพราะขณะนี้เศรษฐกิจของประเทศได้รับความเสียหายเป็นอย่างมาก อย่างไรก็ตาม ยังไม่ได้ประสานไปยัง พล.อ.เปรม แต่จะขอเรียนเชิญผ่านสื่อฯ เพราะเชื่อว่า หาก พล.อ.เปรม รับทำหน้าที่นี้ จะช่วยทำให้ สถานการณ์ต่าง ๆ คลี่คลายได้
ผู้สื่อข่าวถามว่ากลุ่มผู้แทนปวงชนชาวไทยจะเรียกร้องไปยัง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ให้ยุติการโทรศัพท์ทางไกลข้ามประเทศ เข้าในงาน "ความจริงวันนี้สัญจร ต้านรัฐประหาร" ที่จะจัดขึ้นในวันที่ 1 พฤศจิกายนนี้ ด้วยหรือไม่ เพื่อยุติความขัดแย้ง นายอำนวย กล่าวว่า ส่วนตัวมีความเชื่อมั่นว่า พ.ต.ท.ทักษิณ จะไม่โทรศัพท์เข้างานดังกล่าว เพราะ พ.ต.ท.ทักษิณ มีดุลพินิจ รู้ว่าอะไรควร อะไรไม่ควร

ปชป.ยื่นแก้กม.เอาผิดคนหมิ่นเบื้องสูง
นายพีระพันธ์ สาลีรัฐวิภาค ส.ส.กทม. พรรคประชาธิปัตย์ในฐานะประธานอนุกรรมาธิการกำกับติดตามป้องกันและปรามปราบการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ กล่าวว่า ตนได้ยื่นร่างพ.รงบ.แก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 เข้าสู่สภาเพื่อให้บรรจุระเบียบวาระ เนื่องจากที่คณะอนุกรรมาธิการต่อปัญหาการกระทำการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพตั้งแต่เดือน ก.ย.ที่ผ่านมาพบว่า ปัญหาสำคัญเกิดจากการทำงานที่ไม่เอาจริงเอาจังและการประสานงานของเจ้าหน้าที่และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยทางกระทรวง ไอซีที ได้พยายามปัดความรับผิดโดยอ้างว่าไม่มีอำนาจหน้าที่ทางกฎหมายที่ชัดเจน ทำให้ไม่สามารถ หาข้อมูลได้ ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจได้โดยนความรับผิดชอบไปมาทำให้การดำเนิน คดีล่าช้า รวมถึงคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติซึ่งเป็นผู้อนุญาตให้บริษัทผู้ประกอบการเว็ปไซด์ ไม่เอาจริงเอาจัง
นายพีระพันธ์ กล่าวว่า การที่นายมั่น พัฒโนทัย รมว.ไอซีที อ้างว่าการป้องกันจะต้องใช้งบประมาณมากถึง 100-500 ล้านบาทนั้น ไม่เป็นความจริงเพราะการปัญหาไม่ได้เกิดจากการขาดแคลนอุปกรณ์แต่เกิดจากการประสานงานและความร่วมมือ อย่างจริงจัง ซึ่งจากการสอบถามนายสิทธิชัย โพธิคัยอุดม อดีต รมว.ไอซีที ก็ยืนยันว่า การดำเนินการเรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องใช้เงินมากขนาดนั้น
อีกทั้ง องค์การโทรศัพท์ กศท. ต่างก็มีอุปกรณ์พร้อมอยู่แล้วสามารถทำได้ ดังนั้น ตนจึงได้เสนอร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวเข้าสู่ที่ประชุมสภา เพื่อให้มีความชัดเจนเรื่อการกำหนดหลักเกณฑ์สืบสวนสอบสวนและการพิจารณาคดีที่ต้องดำเนินการ โดยเร็วและมีมาตรการป้องกันไม่ให้ผู้กระทำผิดหลบหนีการจับกุม จึงขอเรียกร้องให้รัฐบาลให้ความสนใจและดำเนินการแก้ปัญหาการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพอย่างจริงจัง และเร่งพิจารณาเรื่องดังกล่าวโดยด่วน

ตรเพิ่งตื่นเร่งคดีหมิ่นเบื้องสูง
วันเดียวกัน ที่กองบัญชาการตำรวจสอบกลาง (บช.ก.) พล.ต.ท.วรพงษ์ ชิวปรีชา ผบช.ก.ได้เรียกประชุมพนักงานสอบสวนคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ทุกคดีที่อยู่ในความรับผิดชอบในสังกัด บช.ก.เพื่อติดตามความคืบหน้าและแนวทางการทำงาน โดยใช้เวลาในการประชุมประมาณ 2 ชม.
พล.ต.ท.วรพงษ์ กล่าวภายหลังการประชุมว่า ขณะนี้ บช.ก.มีคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพค้างอยู่ 32 คดี โดยสรุปเสนอสั่งฟ้องให้อัยการไปแล้ว 4 คดี ที่เหลืออีก 28 คดี อยู่ระหว่างดำเนินการ ซึ่งแยกเป็นคดีหมิ่นทางเว็บไซต์ 15 คดี วิทยุชุมชน 2 คดี ที่เหลือก็เป็นคดีร้องทุกข์ทั่วไป วันนี้ก็ได้เรียกพนักงานสอบสวนในแต่ละคดีมาประชุมสอบถามความคืบหน้า ปัญหาอุปสรรคต่างๆ ในการทำงาน

อ้างเล่นงานเว็บไซตมีปัญหามาก
พล.ต.ท.วรพงษ์ กล่าวต่อว่า ในส่วนของคดีที่เกี่ยวกับการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพอื่นๆ พนักงานสอบสวนก็ให้ความสำคัญทั้งหมด แต่บางคดีดำเนินการยาก เช่น คดีที่เกิดในต่างประเทศ เป็นขั้นตอนของอัยการสูงสุดดำเนินการ ซึ่งอัยการสูงสุดมอบให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นพนักงานสอสวนร่วมในการติดตามพยาน เมื่อติดต่อพยาน บางรายพยานอยู่ต่างประเทศ เมื่อติดต่อได้ก็ไม่ยอมเดินทางมาให้ปากคำ ส่วนกรณี นายโจนาธาน เฮด นักข่าว BBC ที่ถูกแจ้งความดำเนินคดีหมิ่นพระบรมราชานุภาพขณะนี้ยังอยู่ในระหว่างการดำเนินการ
ผบช.ก.กล่าวว่า การดำเนินคดีหมิ่นทางเว็บไซต์นั้น ก็มีปัญหาพอสมควรเพราะปกติทางเว็บมาสเตอร์จะเก็บข้อมูลไว้ 90 วัน แต่กว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจจะรับเรื่องมาก ก็เกินเวลาแล้วทำให้รวบรวมพยานหลักฐานยาก บางคดีทราบไอพีแอ็ดเดรส ก็ปรากฏว่าเป็นเครื่องบริษัทเมื่อสอบถามพยานก็ไม่มีใครยอมรับปฏิเสธกันหมดก็ต้องมาไล่ดูว่าใครใช้เครื่องเวลาไหนอย่างไร ซึ่งก็ต้องใช้เวลาในการตรวจสอบ” ผบช.ก.กล่าว
อย่างไรก็ตาม ตนเองก็ได้เน้นย้ำให้พนักงานสอบสวน เพิ่มความเข้มในการ ปฏิบัติในการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดฐานหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ และมอบหมายให้ทุกกองบังคับการของกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เฝ้าระวังสื่อทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นเว็บไซต์บนอินเทอร์เน็ต สถานีวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ โดยเฉพาะสถานีวิทยุชุมชน รวมถึงสื่อสิ่งพิมพ์ต่างๆ การพูด หรือกล่าวปราศรัยต่อสาธารณชน ซึ่งส่งผลกระทบต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชนและความมั่นคงของประเทศ

คดี"จักรภพ"หมิ่นสถาบันยังอืด
พล.ต.ท.วรพงษ์ กล่าวต่อว่า ส่วนกรณีของ นายจักรภพ เพ็ญแข อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ ผู้ต้องหาคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ที่มีการร้องขอให้พนักงานสอบสวนทำการสอบพยานเพิ่มอีก 18 ปาก พนักงานสอบสวนสามารถติดต่อ พยานสอบปากคำเสร็จเรียบร้อยแล้ว 10 ปาก อีก 8 ปากไม่สามารถติดตามได้ ทางคณะกรรมการคดีหมิ่นระดับ บช.ก.จึงมีความเห็นให้ตัดพยานทั้ง 8 ปาก ไปเพราะใช้ระยะเวลาในการสอบสวนมาพอสมควรแล้ว คณะกรรมการคดีหมิ่นระดับ บช.ก.จึงได้มีความเห็นตามความเห็นเดิมสั่งฟ้องนายจักรภพในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 เสนอความเห็นไปยังคณะกรรมการคดีหมิ่นระดับ ตร.แล้วตั้งแต่เมื่อวันที่ 27 ต.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งขั้นตอนต่อไปคณะกรรมการคดีหมิ่นระดับตร.ก็จะมีความเห็น จากนั้นก็ให้พนักงานสอบสวนกองปราบปรามส่งสำนวน พร้อมผู้ต้องหาให้อัยการต่อไป

ไอซีทีเสนอแก้กม.คอมพ์

นายมั่น พัธโนทัย รมว.ไอซีที กล่าวว่าไอซีทีเตรียมเสนอครม. ภายในวันที่ 15 พ.ย.เพื่อพิจารณาแก้ไข พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550ในการเพิ่มอำนาจให้เจ้าหน้าที่สามารถดำเนินการกับเว็บไซต์ที่เข้าข่ายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพได้ทันที จากเดิมที่ ต้องรอการพิจารณาจากศาลเท่านั้น
นอกจากนี้ไอซีทียังขอความร่วมมือไปยังคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) เรียกประชุมผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต หรือไอเอสพี ที่ได้รับใบอนุญาตประมาณ 120 ราย ในวันที่ 5 พ.ย.เพื่อขอความร่วมมือให้ช่วยกันดูแลในเรื่องดังกล่าว โดยเฉพาะการเก็บข้อมูลการใช้งานคอมพิวเตอร์ (Log File) ที่จะเป็นประโยชน์ต่อการหาตัวผู้กระทำผิด
‘ที่ผ่านมาพบว่าเว็บไซต์หมิ่นสถาบัน80% เป็นเว็บไซต์จากต่างประเทศ ถูกยื่นดำเนินคดีต่อศาลกว่า 1,000 เว็บไซต์ และถูกดำเนินคดีเป็นหลักหลายร้อยเว็บไซต์ ขณะที่เว็บที่ถูกตัดสินดำเนินคดีแล้วมีจำนวน 40-50 เว็บไซต์ ซึ่งสามารถสืบไปถึงผู้ที่กระทำความผิด แต่ไม่สามารถเปิดเผยชื่อเว็บไซต์ได้
กำลังโหลดความคิดเห็น