เอเอฟพี – นักเขียนชาวออสเตรเลีย ซึ่งถูกตัดสินโทษจำคุก 3 ปี ฐานหมิ่นเบื้องสูง เดินทางกลับถึงบ้านเกิด พบหน้ากับครอบครัวพร้อมน้ำตาแห่งความยินดีแล้วในวันนี้ (21) หลังจากได้รับพระราชทานอภัยโทษจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ และถูกปล่อยเป็นอิสระในวันศุกร์ที่ผ่านมา
นายแฮร์รี นิโคลายส์ วัย 41 ปี ถูกศาลตัดสินโทษจำคุก 3 ปี หลังจากพบว่ามีความผิดจริง ฐานหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ด้วยการเขียนหนังสือกล่าวหาว่าร้ายราชวงศ์ไทย
ก่อนหน้านี้ มาร์ก ดีน ทนายความของนิโคลายส์เผยว่า ลูกความของตนได้รับพระราชทานอภัยโทษจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และเป็นอิสระแล้วในคืนวันศุกร์ (20) ที่ผ่านมา และคาดว่าเขาจะเดินทางกลับถึงออสเตรเลียในวันนี้ (21) ขณะที่รัฐบาลออสเตรเลียพยายามเรียกร้องขอพระราชทานอภัยโทษอย่างหนัก
“รัฐบาลออสเตรเลีย และรัฐบาลไทยร่วมกันทำงานอย่างใกล้ชิดในการแก้ปัญหาคดีของแฮร์รี ขั้นตอนมากมายที่ต้องดำเนินในประเทศไทยได้รับการจัดการอย่างรวดเร็ว ในคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ซึ่งได้รับพระราชทานอภัยโทษในวันพฤหัสบดี (19) ที่ผ่านมา” ดีนกล่าวกับสถานีโทรทัศน์ออสเตรเลีย บรอดคาสติง คอร์ปอเรชัน
นิโคลายส์ให้สัมภาษณ์นักข่าว เมื่อเดือนถึงสนามบินเมืองเมลเบิร์นว่า “ผมทราบมาว่าผมได้รับพระราชทานอภัยโทษ และขอให้คุกเข่าต่อหน้าพระบรมฉายาลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
“เพียงมีกี่ชั่วโมงก่อนหน้านั้น ผมเพิ่งปีนขึ้นมาจากบ่อเกรอะในคุก ซึ่งผมตกลงไป” เขาเสริม หลังจากได้รับการต้อนรับครอบครัวอย่างปลื้มปิติ
ด้านโฆษกกระทรวงกิจการต่างประเทศของออสเตรเลียเผยว่า “เราขอชื่นชมการเร่งดำเนินการเพื่อขอพระราชทานอภัยโทษของทางการไทย”
นิโคลายส์ซึ่งเคยทำงานเป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัยของไทย ถูกจำคุกนับตั้งแต่ถูกจับที่สนามบินสุวรรณภูมิ ระหว่างเดินทางออกจากประเทศในวันที่ 31 สิงหาคม ปีที่แล้ว
เขาถูกตั้งข้อกล่าวหา จากข้อความในหนังสือ ที่ตีพิมพ์ในปี 2005 ชื่อ “Verisimilitude” ซึ่งทางครอบครัวของนิโคลายส์ระบุว่า หนังสือดังกล่าวขายได้จำนวนเล็กน้อยเท่านั้น
เขาเคยพูดถึงหนังสือของเขา ระหว่างที่ติดอยู่ในเรือนจำเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมาว่า เขาเพียงต้องการเขียนนิยาย ซึ่งพิมพ์ออกมาแค่ 50 เล่ม และขายไปเพียง 7 เล่มเท่านั้น
“ในวันเฉลิมพระชนมพรรษาครบ 81 พรรษา ผมเห็นพลุจากที่ไกลๆ นักโทษบางคนมีน้ำตาคลอ สรรเสริญบุคคลที่ไม่ใช่เพียงพระมหากษัตริย์ของพวกเขา แต่เป็นเสมือนพ่อของพวกเขาด้วย”
“ผมอาจไม่ใช่คนไทย แต่ผมก็เป็นลูกชาย และผมรู้ว่านั่นหมายถึงความรักที่มีต่อพ่อ ผมได้ยื่นคำร้องขอพระราชทานอภัยโทษ ผมสวดอ้อนวอนขอให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงทราบถึงโชคชะตาของผม และทรงมีพระเมตตาต่อผม” เขากล่าว
อย่างไรก็ตาม ทางเอเอฟพีระบุว่า ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีกฎหมายพิทักษ์พระมหากษัตริย์และราชวงศ์ จากการดูหมิ่นใดๆ ที่เข้มงวดที่สุดในโลก ขณะที่กลุ่มเรียกร้องสิทธิเสรีภาพของสื่อมวลชนกล่าวหาว่า ทางการใช้อำนาจจากกฎหมายดังกล่าว เพื่อปราบปรามผู้ไม่เห็นด้วยไปในทางที่ผิด
ทั้งนี้ ทางการไทยสั่งปิดเว็บไซต์เกือบ 4,000 เว็บในรอบไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ด้วยข้อกล่าวหาหมิ่นเบื้องสูง โดยในสัปดาห์ที่ผ่านมา ตำรวจได้ดำเนินคดีหมิ่นเบื้องสูงไม่ต่ำกว่า 17 คดีด้วย