อัยการเลื่อนสั่งคดี “จักรภพ” หมิ่นเบื้องสูง เหตุติดใจสั่งสอบเพิ่มประเด็นการแปลความถ้อยคำ รอนัดสั่งคดี อีก 30 วัน ขณะที่รายงานข่าวระบุ เหตุเลื่อนสั่งคดี เนื่องจากอัยการระดับบิ๊ก ล้วงลูกทำสำนวนขาดน้ำหนัก แนวโน้มจะทำให้ "เจ๊เพ็ญ"หลุดจากความผิด ชี้ อัยการควรถอยห่างไม่ควรฮุกวงใน คดีนี้ควรให้กระบวนการศาลชี้ขาด
วันนี้( 4 มี.ค.)นายกายสิทธิ์ พิศวงปราการ อธิบดีอัยการฝ่ายคดีอาญา เปิดเผยความคืบหน้าการพิจารณาสำนวนคดีที่นายจักรภพ เพ็ญแข อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้นเผด็จการแห่งชาติ ( นปช.)ผู้ต้องหาในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ฐานหมิ่นประมาทดูหมิ่นอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ กรณี กล่าวบรรยายพิเศษเป็นภาษาอังกฤษที่สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศแห่งประเทศไทย มีถ้อยคำเข้าข่ายดูหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์ เมื่อวันที่ 29 ส.ค.50 ว่า ล่าสุดคณะทำงานอัยการพิจารณาสำนวนการสอบแล้วยังพบข้อบกพร่องบางประการเกี่ยวกับการแปลความถ้อยคำ จึงมีคำสั่งให้พนักงานสอบสวนกองปราบปรามไปทำการสอบสวนเพิ่มเติมในประเด็นดังกล่าว
อธิบดีอัยการฝ่ายคดีอาญา กล่าวว่า เมื่อคณะทำงานพิจารณาแล้วเห็นว่าข้อเท็จจริงในสำนวนการสอบสวนยังไม่ครบถ้วนเพียงพอที่จะพิจารณาสั่งคดีได้ และให้ทำการสอบสวนเพิ่มเติม ดังนั้นจึงจำเป็นต้องเลื่อนนัดฟังคำสั่งคดีดังกล่าว ซึ่งเดิมครบกำหนดนัดในวันพรุ่งนี้ 5 มี.ค. ออกไปเป็นเวลาอีก 30 วัน
อย่างไรก็ตาม สำหรับคดีดังกล่าว แหล่งข่าวระดับสูง รายงานว่า คดีนี้ส่อแววว่าอัยการจะสั่งไม่ฟ้อง เนื่องจากมีคนระดับสูงสุดของสำนักงานอัยการสูงสุด 2 คนที่เป็นพรรคพวกและได้รับการแต่งตั้งขึ้นตำแหน่งใหญ่ ในสมัย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี เข้ามาทำการชี้นำและแทรกแซงคดีนี้โดยตลอด จึงอาจทำให้นายจักรภพ หลุดจากคดีได้ ประกอบกับที่ผ่านมาตัวนายจักรภพ เองก็ได้แสดงท่าทีที่มั่นใจตนเองว่าไม่ต้องรับผิดชอบกับการกล่าวจาบจ้วงหมิ่นเบื้องสูงมาอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งกลุ่มเสื้อแดง ก็ออกมาประโคมข่าวบอกคนทั่วบ้านทั่วเมืองว่านายจักรภพ จะหลุดจากคดีนี้ ทั้งที่ผลการตัดสินยังไม่ออกมา ซึ่งหากตรวจสอบสำนวนภาษาอังกฤษที่นายจักรภพ พูดแล้ว และหลายต่อหลายครั้งที่นายจักรภพ ได้พูดต่อที่สาธารณะจะเห็นว่าได้พูดจาบจ้วงพาดพิงเข้าข่ายหมิ่นเบื้องสูงอย่างชัดเจน
นอกจากนี้ รายงานข่าวยังแจ้งด้วยว่า สาเหตุที่จะทำให้คดีหมิ่นเบื้องสูงของนายจักรภพ จะเป็นมวยล้มต้มคนดู คือสาเหตุหลักสำคัญมาจากการทำสำนวนของพนักงานสอบสวนที่อ่อน และอัยการก็จะอ้างว่าสำนวนขาดพยานหลักฐานขาดน้ำหนัก เห็นควรสั่งไม่ฟ้อง
"เรื่องนี้อัยการไม่ควรเข้ามาก้าวก่ายเข้ามายุ่งวุ่นวายมากขนาดนั้นก็ได้ ซึ่งน่าจะให้เป็นหน้าที่ของกระบวนการศาลพิจารณาตัดสินจะดีกว่าว่าจะถูกหรือผิด เนื่องจากระบบศาลจะมีความละเอียดรอบคอบมากกว่าอัยการ แต่ที่ผ่านมามีอัยการบางคนเข้าไปกดดันทีมสอบสวน ประกอบกับนายจักรภพ ก็พยายามอ้างให้มีการสอบพยานเพิ่ม ยิ่งทำให้มองเห็นภาพชัดเจนคดีนี้ส่อแววไปในทางที่ไม่น่าจะสั่งฟ้อง เนื่องจากอัยการอาจอ้างได้ว่าสำนวนบกพร่องหลายประเด็น โดยเฉพาะการแปลภาษาอังกฤษเป็นไทย อาจทำให้ตีความได้หลายทาง ที่สำคัญตัวอัยการสูงสุดไม่น่าจะเข้ามายุ่มย่ามกับเรื่องนี้มากเกินไป เพราะทำให้มองถึงความไม่งดงามของอัยการ ควรปล่อยให้ศาลดูแล"แหล่งข่าวกล่าว
ขณะเดียวกัน เมื่อวันที่ 3 มี.ค.ที่ผ่านมา นายคำนูณ สิทธิสมาน ส.ว.สรรหา ในฐานะเลขานุการคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาติดตามการบังคับใช้กฎหมายและมาตรการเกี่ยวกับการพิทักษ์สถาบันพระมหากษัตริย์ วุฒิสภา ได้ทำหนังสือถึงประธานวุฒิสภา เพื่อยื่นกระทู้ถามด่วนนายกรัฐมนตรี เรื่องการกระทำอันเป็นการให้ร้ายประเทศไทยและสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งนายคำนูญ กล่าวว่า ที่ประชุมให้ตั้งข้อสังเกตให้จับตาการตัดสินสั่งคดีของเจ้าพนักงานอัยการในคดีที่นายจักรภพ เพ็ญแข ในวันที่ 5 มี.ค. นี้ เนื่องจากมีอนุกรรมาธิการบางท่านเชื่อว่าเจ้าพนักงานอัยการจะสั่งไม่ฟ้อง หลังจากได้พูดคุยกับเจ้าพนักงานอัยการระดับสูงหลายคน แต่กรรมาธิการส่วนใหญ่ไม่เชื่อ เพราะยังเชื่อในการทำงานที่บริสุทธิ์ ยุติธรรม เคร่งครัดต่อกฎหมาย รวมถึงการมองเห็นภาพรวมของประเทศ ของเจ้าพนักงานอัยการ แต่ก็ขอให้กรรมาธิการทุกท่านช่วยกันจับตาดู
สำหรับคดีนี้ เมื่อวันที่ 13 ม.ค. พนักงานสอบสวนกองบังคับการปราบปราม นำสำนวนการสอบสวนและเอกสารพยานหลักฐานจำนวน 2 แฟ้ม รวม 980 หน้า แผ่นบันทึกภาพและเสียง ดีวีดี 4 แผ่น พร้อมความเห็นสมควรสั่งฟ้องนายจักรภพ เพ็ญแข ในความผิดฐานหมิ่นประมาทดูหมิ่นอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ตามประมวลกฎหมายอาญา ม.112 มีโทษจำคุกตั้งแต่ 3 – 15 ปี ส่งมอบให้กับนายกายสิทธิ์ พิศวงปราการ อธิบดีอัยการฝ่ายคดีอาญา พิจารณาสั่งคดี โดยในวันดังกล่าวนายจักรภพ ได้เดินทางมารายงานตัวต่ออธิบดีอัยการฝ่ายคดีอาญา พร้อมกับ นายจตุพร พรหมพันธ์ ส.ส.แบบสัดส่วนพรรคเพื่อไทย นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ อดีตรองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และ นายแพทย์เหวง โตจิราการ แกนนำ นปช. โดยมีกลุ่มคนเสื้อแดงประมาณ 200 คน เดินทางมาให้กำลังใจ ซึ่งอัยการได้นัดฟังคำสั่งคดีว่าจะฟ้องหรือไม่ฟ้อง ในวันที่ 5 มี.ค.นี้ เวลา 10.30 น. ซึ่งคดีนี้ทราบจากรายงานสรุปผลการสอบของพนักงานสอบสวนระบุว่า “ ถึงแม้ไม่พบว่าผู้ต้องหามีความผิดตามตัวอักษร แต่มีเจตนาไม่ดี จึงมีความผิดเห็นควรส่งฟ้อง” แสดงให้เห็นถึงความล่อแหลมของกระบวนการยุติธรรม ที่ขาดประชาธิปไตย ตนขอยืนยันว่าไม่ได้กระทำผิด และจะขอต่อสู้ให้ถึงที่สุด เพื่อเป็นกรณีศึกษา
วันนี้( 4 มี.ค.)นายกายสิทธิ์ พิศวงปราการ อธิบดีอัยการฝ่ายคดีอาญา เปิดเผยความคืบหน้าการพิจารณาสำนวนคดีที่นายจักรภพ เพ็ญแข อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้นเผด็จการแห่งชาติ ( นปช.)ผู้ต้องหาในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ฐานหมิ่นประมาทดูหมิ่นอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ กรณี กล่าวบรรยายพิเศษเป็นภาษาอังกฤษที่สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศแห่งประเทศไทย มีถ้อยคำเข้าข่ายดูหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์ เมื่อวันที่ 29 ส.ค.50 ว่า ล่าสุดคณะทำงานอัยการพิจารณาสำนวนการสอบแล้วยังพบข้อบกพร่องบางประการเกี่ยวกับการแปลความถ้อยคำ จึงมีคำสั่งให้พนักงานสอบสวนกองปราบปรามไปทำการสอบสวนเพิ่มเติมในประเด็นดังกล่าว
อธิบดีอัยการฝ่ายคดีอาญา กล่าวว่า เมื่อคณะทำงานพิจารณาแล้วเห็นว่าข้อเท็จจริงในสำนวนการสอบสวนยังไม่ครบถ้วนเพียงพอที่จะพิจารณาสั่งคดีได้ และให้ทำการสอบสวนเพิ่มเติม ดังนั้นจึงจำเป็นต้องเลื่อนนัดฟังคำสั่งคดีดังกล่าว ซึ่งเดิมครบกำหนดนัดในวันพรุ่งนี้ 5 มี.ค. ออกไปเป็นเวลาอีก 30 วัน
อย่างไรก็ตาม สำหรับคดีดังกล่าว แหล่งข่าวระดับสูง รายงานว่า คดีนี้ส่อแววว่าอัยการจะสั่งไม่ฟ้อง เนื่องจากมีคนระดับสูงสุดของสำนักงานอัยการสูงสุด 2 คนที่เป็นพรรคพวกและได้รับการแต่งตั้งขึ้นตำแหน่งใหญ่ ในสมัย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี เข้ามาทำการชี้นำและแทรกแซงคดีนี้โดยตลอด จึงอาจทำให้นายจักรภพ หลุดจากคดีได้ ประกอบกับที่ผ่านมาตัวนายจักรภพ เองก็ได้แสดงท่าทีที่มั่นใจตนเองว่าไม่ต้องรับผิดชอบกับการกล่าวจาบจ้วงหมิ่นเบื้องสูงมาอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งกลุ่มเสื้อแดง ก็ออกมาประโคมข่าวบอกคนทั่วบ้านทั่วเมืองว่านายจักรภพ จะหลุดจากคดีนี้ ทั้งที่ผลการตัดสินยังไม่ออกมา ซึ่งหากตรวจสอบสำนวนภาษาอังกฤษที่นายจักรภพ พูดแล้ว และหลายต่อหลายครั้งที่นายจักรภพ ได้พูดต่อที่สาธารณะจะเห็นว่าได้พูดจาบจ้วงพาดพิงเข้าข่ายหมิ่นเบื้องสูงอย่างชัดเจน
นอกจากนี้ รายงานข่าวยังแจ้งด้วยว่า สาเหตุที่จะทำให้คดีหมิ่นเบื้องสูงของนายจักรภพ จะเป็นมวยล้มต้มคนดู คือสาเหตุหลักสำคัญมาจากการทำสำนวนของพนักงานสอบสวนที่อ่อน และอัยการก็จะอ้างว่าสำนวนขาดพยานหลักฐานขาดน้ำหนัก เห็นควรสั่งไม่ฟ้อง
"เรื่องนี้อัยการไม่ควรเข้ามาก้าวก่ายเข้ามายุ่งวุ่นวายมากขนาดนั้นก็ได้ ซึ่งน่าจะให้เป็นหน้าที่ของกระบวนการศาลพิจารณาตัดสินจะดีกว่าว่าจะถูกหรือผิด เนื่องจากระบบศาลจะมีความละเอียดรอบคอบมากกว่าอัยการ แต่ที่ผ่านมามีอัยการบางคนเข้าไปกดดันทีมสอบสวน ประกอบกับนายจักรภพ ก็พยายามอ้างให้มีการสอบพยานเพิ่ม ยิ่งทำให้มองเห็นภาพชัดเจนคดีนี้ส่อแววไปในทางที่ไม่น่าจะสั่งฟ้อง เนื่องจากอัยการอาจอ้างได้ว่าสำนวนบกพร่องหลายประเด็น โดยเฉพาะการแปลภาษาอังกฤษเป็นไทย อาจทำให้ตีความได้หลายทาง ที่สำคัญตัวอัยการสูงสุดไม่น่าจะเข้ามายุ่มย่ามกับเรื่องนี้มากเกินไป เพราะทำให้มองถึงความไม่งดงามของอัยการ ควรปล่อยให้ศาลดูแล"แหล่งข่าวกล่าว
ขณะเดียวกัน เมื่อวันที่ 3 มี.ค.ที่ผ่านมา นายคำนูณ สิทธิสมาน ส.ว.สรรหา ในฐานะเลขานุการคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาติดตามการบังคับใช้กฎหมายและมาตรการเกี่ยวกับการพิทักษ์สถาบันพระมหากษัตริย์ วุฒิสภา ได้ทำหนังสือถึงประธานวุฒิสภา เพื่อยื่นกระทู้ถามด่วนนายกรัฐมนตรี เรื่องการกระทำอันเป็นการให้ร้ายประเทศไทยและสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งนายคำนูญ กล่าวว่า ที่ประชุมให้ตั้งข้อสังเกตให้จับตาการตัดสินสั่งคดีของเจ้าพนักงานอัยการในคดีที่นายจักรภพ เพ็ญแข ในวันที่ 5 มี.ค. นี้ เนื่องจากมีอนุกรรมาธิการบางท่านเชื่อว่าเจ้าพนักงานอัยการจะสั่งไม่ฟ้อง หลังจากได้พูดคุยกับเจ้าพนักงานอัยการระดับสูงหลายคน แต่กรรมาธิการส่วนใหญ่ไม่เชื่อ เพราะยังเชื่อในการทำงานที่บริสุทธิ์ ยุติธรรม เคร่งครัดต่อกฎหมาย รวมถึงการมองเห็นภาพรวมของประเทศ ของเจ้าพนักงานอัยการ แต่ก็ขอให้กรรมาธิการทุกท่านช่วยกันจับตาดู
สำหรับคดีนี้ เมื่อวันที่ 13 ม.ค. พนักงานสอบสวนกองบังคับการปราบปราม นำสำนวนการสอบสวนและเอกสารพยานหลักฐานจำนวน 2 แฟ้ม รวม 980 หน้า แผ่นบันทึกภาพและเสียง ดีวีดี 4 แผ่น พร้อมความเห็นสมควรสั่งฟ้องนายจักรภพ เพ็ญแข ในความผิดฐานหมิ่นประมาทดูหมิ่นอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ตามประมวลกฎหมายอาญา ม.112 มีโทษจำคุกตั้งแต่ 3 – 15 ปี ส่งมอบให้กับนายกายสิทธิ์ พิศวงปราการ อธิบดีอัยการฝ่ายคดีอาญา พิจารณาสั่งคดี โดยในวันดังกล่าวนายจักรภพ ได้เดินทางมารายงานตัวต่ออธิบดีอัยการฝ่ายคดีอาญา พร้อมกับ นายจตุพร พรหมพันธ์ ส.ส.แบบสัดส่วนพรรคเพื่อไทย นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ อดีตรองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และ นายแพทย์เหวง โตจิราการ แกนนำ นปช. โดยมีกลุ่มคนเสื้อแดงประมาณ 200 คน เดินทางมาให้กำลังใจ ซึ่งอัยการได้นัดฟังคำสั่งคดีว่าจะฟ้องหรือไม่ฟ้อง ในวันที่ 5 มี.ค.นี้ เวลา 10.30 น. ซึ่งคดีนี้ทราบจากรายงานสรุปผลการสอบของพนักงานสอบสวนระบุว่า “ ถึงแม้ไม่พบว่าผู้ต้องหามีความผิดตามตัวอักษร แต่มีเจตนาไม่ดี จึงมีความผิดเห็นควรส่งฟ้อง” แสดงให้เห็นถึงความล่อแหลมของกระบวนการยุติธรรม ที่ขาดประชาธิปไตย ตนขอยืนยันว่าไม่ได้กระทำผิด และจะขอต่อสู้ให้ถึงที่สุด เพื่อเป็นกรณีศึกษา