ASTVผู้จัดการรายวัน -"จตุพร"หน้าแหก แถลงข่าวโจมตี"อภิสิทธิ์" ตีต้นเสมอเจ้า อ้างไม่เคยมีนายกฯคนใดนั่งเสมอในหลวงในการเข้าเฝ้าฯ แต่ปรากฏภาพ"สมัคร"นั่งลักษณะเดียวกันในการเข้าเฝ้าฯ "เฉลิม" ถึงกับอึ้ง รับ"ตุ๊ดตู่"พลาด พร้อมแก้เกี้ยวปกติไม่มีใครเอาเรื่องแบบนี้มาให้สัมภาษณ์
ด้านกองปราบหอบสำนวนสั่งฟ้อง"จักรภพ" หมิ่นเบื้องสูง ส่งอธิบดีอัยการคดีอาญา ขณะที่อัยการเผย ต้องดูเจตนาเป็นเครื่องชี้ ตั้งใจทำผิดหรือไม่ ด้าน"ใจ"เบี้ยวคดีหมิ่นเบื้องสูง ส่วน"นช.แม้ว" แพ้คดีฟ้องหมิ่น"ประสาร มฤคพิทักษ์" กรณีแฉจ้างบริษัทล็อบบี้ยิสต์ทำลายชาติ
เมื่อวานนี้ (13ม.ค.) นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย ซึ่งเป็นหนึ่งในแกนนำ"แก๊งเสื้อแดง" ได้ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ภาพที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี นั่งบนเก้าอี้ระหว่างการเข้าเฝ้าเพื่อถวายรายงานแก่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวว่า นายกรัฐมนตรีในอดีตทั้ง พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี และรัฐบุรุษ พล.อ.สุจินดา คราประยูร อดีตนายกรัฐมนตรี พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำกลุ่มพันธมิตรฯ ครั้งเมื่อครั้งเข้าเฝ้า และพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีนั้น การเข้าเฝ้าฯพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว หากไม่มีพระราชอาคันตุกะ เชื้อพระวงศ์ หรือผู้นำประเทศต่างๆ เข้าเฝ้าฯด้วยแล้ว จะไม่มีภาพนายกรัฐมนตรีของไทยนั่งเก้าอี้เสมอกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวแบบนี้ออกมา เป็นภาพที่คนไทยทั้งประเทศไม่เคยเห็น แสดงให้เห็นว่านายอภิสิทธิ์ เป็นนายกฯโดยอภิสิทธิ์จริงๆ เพราะปกตินั้นนายกฯ จะต้องนั่งกับพื้น ก้มกราบพระบาทก็ต้องที่พื้น และหากนายอภิสิทธิ์ อ้างว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระบรมราชานุญาตนั้น นายอภิสิทธิ์ ก็ต้องรู้ตัวเองว่า ควรจะกระทำหรือไม่ในการทำตัวเสมอกับพระเจ้าแผ่นดิน
นายจตุพร กล่าวด้วยว่า นายอภิสิทธิ์ จะเป็นนายกฯเทพประทานอย่างไร ก็แล้วแต่ เมื่อครั้งการทำบุญประเทศที่วัดพระแก้ว ของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีการใส่ร้ายกันอย่างย่อยยับที่สุด แล้ววันนี้นายอภิสิทธิ์ เป็นใคร ภาพเหล่านี้คนไทยมองแล้วไม่สบายใจ
ผู้สื่อข่าวถามว่าได้มีการสอบถามไปยังสำนักพระราชวัง หรือไม่ นายจตุพร กล่าวว่า ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยเห็นภาพแบบนี้ นั่งส่วนพระองค์กันแบบนี้ ภาพที่ปรากฎแม้จะได้รับพระบรมราชานุญาตก็จะต้องเป็นการส่วนพระองค์ และจะไม่มีภาพแบบนี้ปรากฎออกมา ดังนั้นเมื่ออยู่ต่อหน้าสื่อมวลชน เราจะเห็นนายกฯ ทุกคนต้องนั่งกับพื้น ยกเว้นวันที่อาคันตุกะจากมิตรประเทศมาเยือนนายกฯจะนั่งถัดมา การนั่งคุยเป็นการส่วนพระองค์แบบนี้ ไม่เคยมีมาก่อน
ผู้สื่อข่าวถามอีกว่า สำนักพระราชวังเป็นผู้ให้นำภาพนี้ออกมาเผยแพร่ นายจตุพร กล่าวว่า นายอภิสิทธิ์ สามารถได้รับพระบรมราชานุญาตได้ แต่ในฐานะนายกฯ ต้องรู้ว่าไม่มีนายกฯ คนไหนที่นั่งเป็นการส่วนพระองค์กับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เป็นเรื่องที่มิบังควรอย่างยิ่ง
ท้าใครเคยเห็นภาพแบบนี้มาก่อน
"วันที่พ.ต.ท.ทักษิณ ทำบุญประเทศที่วัดพระแก้ว สำนักพระราชวังก็ออกมาชี้แจงแล้ว แต่นายสนธิ ก็ยังไม่ยอมหยุด ขนาดเรื่องนั้นได้รับพระบรมราชานุญาตถูกต้อง แต่ภาพแบบนี้เราไม่เคยเห็น หรือใครยืนยันว่า การคุยส่วนพระองค์แบบนี้ ใครเคยเห็นภาพแบบนี้ออกมาในฐานะนายกฯ พ.ต.ท.ทักษิณ นายสมัคร นายสมชาย นายบรรหาร (ศิลปอาชา อดีตนายกฯ) นายชวน (หลีกภัย อดีตนายกฯ) หรือ นายชัย (ชิดชอบ ประธานสภาฯ) ก็ก้มกราบบังคมทูล ขนาดนายชัย เองซึ่งขาไม่ดี ก็ยังอยู่กับพื้นก้มกราบ เป็นเรื่องที่รู้กันในประเพณีปฏิบัติ นายอภิสิทธิ์ควรจะรู้ ต้องระมัดระวัง จะโฉ่งฉ่างเหมือนการไปเอาลูกพรรคคนอื่นแล้ว มาต่อรองผลประโยชน์ไม่ได้ มันไม่ง่ายแบบนั้น มันสะเทือนใจคนไทย" นายจตุพรกล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในระหว่างที่นายจตุพร กำลังแถลงข่าวถึงภาพการเข้าเฝ้าฯของนายอภิสิทธิ์ อยู่นั้น ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ส.ส.สัดส่วน สมาชิกพรรคเพื่อไทย ซึ่งกำลังพูดคุยกับสื่อมวลชนอยู่ไม่ไกล จากโต๊ะแถลงข่าวนั้น ได้นำภาพข่าวดังกล่าวจากหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งขึ้นมาดูประกอบด้วย โดยกล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า แม้พระองค์ท่านจะอนุญาต แต่นายอภิสิทธิ์ ก็ไม่ควร ขนาดนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ หลังมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯเป็นนายกฯ ยังได้เข้าเฝ้าถึง 47 นาที แต่เรื่องอย่างนี้เขาไม่เอามาพูดกันหรอก หรือยุคนายสมัคร สุนทรเวช ซึ่งเข่าไม่ค่อยดี ยังต้องคลานมาเข้าเฝ้า
อย่างไรก็ตาม นายจตุพร เองก็ไม่น่าเอาเรื่องนี้มาแถลง
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ภายหลังจากที่นายจตุพร ออกมาเปิดประเด็นดังกล่าว สื่อมวลชนได้มีการตรวจสอบภาพในอดีต โดยได้ค้นหาภายในเว็บไซต์ พันธ์ทิพย์ ในหน้าโต๊ะราชดำเนิน พบว่า มีการโพสต์ภาพ นายสมัคร สุนทรเวช สมัยเป็นนายกรัฐมนตรี ขณะเข้าเฝ้า โดยนั่งเก้าอี้ทัดเทียมกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เช่นเดียวกับนายอภิสิทธิ์ ดังนั้นสื่อมวลชนจึงเรียกให้ ร.ต.อ.เฉลิม มาดูภาพดังกล่าว ทำให้ ร.ต.อ.เฉลิมถึงกับพูดว่า
"อย่างนี้ปชป.ก็รอดตัวไป ถ้าจะทำงานการเมืองกับพรรคประชาธิปัตย์ ต้องเป็นเหมือนภรรยาจอมพล ป.พิบูลสงคราม คือท่านผู้หญิงละเอียด สงสัยว่า ตู่(นายจตุพร)ไม่ได้ดูภาพนี้ก่อน" ร.ต.อ.เฉลิมกล่าว
"จักรภพ"รายงานตัวคดีหมิ่นสถาบันฯ
วานนี้ (13 ม.ค.) เวลา 10.30 น. ที่สำนักงานอัยการสูงสุด ถ.รัชดาภิเษก พนักงานสอบสวนกองบังคับการปราบปราม นำสำนวนการสอบสวนและเอกสารพยานหลักฐานจำนวน 2 แฟ้ม รวม 980 หน้า แผ่นบันทึกภาพและเสียง ดีวีดี 4 แผ่น พร้อมความเห็นสมควรสั่งฟ้องนายจักรภพ เพ็ญแข อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ผู้ต้องหาในความผิดฐานหมิ่นประมาท ดูหมิ่นอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ตามประมวลกฎหมายอาญา ม.112 มีโทษจำคุกตั้งแต่ 3–15 ปี ส่งมอบให้กับนายกายสิทธิ์ พิศวงปราการ อธิบดีอัยการฝ่ายคดีอาญา พิจารณาสั่งคดี
โดยนายจักรภพ เดินทางมารายงานตัวต่ออธิบดีอัยการฝ่ายคดีอาญา พร้อมกับนายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.แบบสัดส่วน พรรคเพื่อไทย นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ อดีตรองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และ นพ.เหวง โตจิราการ แกนนำนปช. โดยมีกลุ่มคนเสื้อแดงประมาณ 200 คน เดินทางมาให้กำลังใจ
อ้างกระบวนการยุติธรรมล่อแหลม
นายจักรภพ กล่าวว่าพนักงานสอบสวนกองปราบปรามได้แจ้งให้ตนมาแสดงตัวต่อพนักงานอัยการ หลังมีความเห็นสั่งฟ้องในความผิดฐานหมิ่นพระบรมเดชานุภาพฯ โดยอัยการนัดฟังคำสั่งคดีว่าจะฟ้องหรือไม่ฟ้องในวันที่ 5 มี.ค.นี้ เวลา10.30 น. ซึ่งคดีนี้ทราบจากรายงานสรุปผลการสอบของพนักงานสอบสวนระบุว่า "ถึงแม้ไม่พบว่าผู้ต้องหามีความผิดตามตัวอักษร แต่มีเจตนาไม่ดี จึงมีความผิด เห็นควรส่งฟ้อง" แสดงให้เห็นถึงความล่อแหลมของกระบวนการยุติธรรม ที่ขาดประชาธิปไตย ตนขอยืนยันว่า ไม่ได้กระทำผิด และจะขอต่อสู้ให้ถึงที่สุด เพื่อเป็นกรณีศึกษา
นายจักรภพ กล่าด้วยว่า สำนวนการสอบสวนของตำรวจมีความไม่สมบูรณ์ จึงจะปรึกษากับทนายความเพื่อจะยื่นหนังสือขอความเป็นธรรมต่อพนักงานอัยการ ให้สอบสวนพยานเพิ่มเติม โดยเฉพาะในประเด็นที่เกี่ยวกับการแปลภาษา ที่ตนได้ไปบรรยายเป็นภาษาอังกฤษที่สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศแห่งประเทศไทย ( เอฟซีซีที) แล้วมาแปลเป็นภาษาไทยอย่างไม่ถูกต้อง ห่างไกลจากความเป็นจริง โดยผู้แปลภาษาที่ไม่เป็นกลาง จึงต้องร้องขอความเป็นธรรมต่อไป
คาดสั่งฟ้องภายใน30วัน
ด้านอธิบดีอัยการฝ่ายคดีอาญา กล่าวว่า ภายหลังได้รับสำนวนการสอบสวนจากพนักงานสอบสวนแล้ว จะตั้งคณะทำงานอัยการ ประมาณ 5–7 คน เช่นเดียวกับคดีหมิ่นเบื้องสูงคดีอื่นๆที่ผ่านมา โดยมีอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 3 เป็นหัวหน้า โดยตนได้กำชับให้คณะทำงานพิจารณาสำนวนด้วยความละเอียดรอบคอบ เพราะคดีหมิ่นเบื้องสูงเป็นเรื่องละเอียดอ่อน เป็นที่สนใจของประชาชนจำนวนมาก เบื้องต้นคาดว่าจะใช้เวลาพิจารณาสำนวนประมาณ 1 เดือน
ส่วนที่นายจักรภพ จะยื่นหนังสือขอความเป็นธรรมให้อัยการ หาผู้ที่มีความเป็นกลางมาตรวจสอบคำแปลภาษาของพนักงานสอบสวน นายกายสิทธิ์ กล่าวว่า ในคณะทำงานอัยการจะมีผู้เชี่ยวชาญภาษาอังกฤษอยู่แล้ว และจะพิจารณาดูถ้อยคำในสำนวนทั้งหมดที่เกี่ยวข้อง เมื่อถามว่าผู้ต้องหาอ้างเหตุผลพนักงานสอบสวนว่า ตามตัวอักษรไม่ผิด แต่ที่ผิดเพราะมีเจตนาไม่ดีนั้น นายกายสิทธิ์ กล่าวว่า ตามภาษากฎหมายเรียกว่า กรรมเป็นเครื่องชี้เจตนา การทำผิดตามกฎหมายอาญานั้นถ้ามีเจตนา ถือเป็นความผิดเสมอ ยกเว้นคดีประมาท อย่างไรก็ตามจะเปิดโอกาสให้ผู้ถูกกล่าวหาชี้แจงอย่างเต็มที่ และหากส่งคำแปลภาษามาให้อัยการก็ยินดีนำมาพิจารณา
"ใจ"เลื่อนรับข้อหาหมิ่นสถาบันฯ
พ.ต.ท.ธัชชัย บุญเพ็ง พนักงานสอบสวน สบ.3 สถานีตำรวจนครบาลปทุมวัน เปิดเผยว่า ได้รับการติดต่อจากนายใจ อึ๊งภากรณ์ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยว่า จะยังไม่รับทราบข้อหาหมิ่นสถาบันฯ ในวันที่ 13 ม.ค.นี้ และจะขอเลื่อนการเดินทางมารับทราบข้อหาดังกล่าวไปก่อน อย่างไรก็ตาม นายใจ ไม่ได้ระบุวัน เวลาว่าจะเดินทางมารับทราบข้อหาในวันใด
"แม้ว"แพ้คดีฟ้อง"ประสาร"
วันเดียวกันนี้ เวลา 09.30 น. ที่ห้องพิจารณาคดี 813 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลออกนั่งบัลลังก์อ่านคำพิพากษาในคดีหมายเลขดำ ที่ อ.2134/2550 ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี มอบอำนาจให้นายถาลัด สมบัติบุญ เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายประสาร มฤคพิทักษ์ ประธานคณะอนุกรรมกาประชาสัมพันธ์ในประเทศ (ศปชท.) เป็นจำเลยในความผิดฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณาด้วยเอกสาร ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326, 328, 332
คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 3-5 พ.ค.50 จำเลยได้แถลงการณ์ผลการประชุมคณะอนุกรรมการประชาสัมพันธ์ในประเทศ (ศปชท.) ต่อสาธารณะ และสื่อมวลชนนำมาลงตีพิมพ์เผยแพร่ ทำนองว่า ที่ปรึกษาบริษัทล็อบบี้ยิสต์ที่รับงานสร้างภาพลักษณ์ให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้ยื่นหนังสือถึงรมว.ต่างประเทศสหรัฐอเมริกา เพื่อให้ผู้แทนการค้าสหรัฐฯ ขยับฐานะประเทศไทยไปอยู่ในบัญชีต้องจับตาเป็นพิเศษเรื่องของการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาซึ่งถือเป็นการทำลายประเทศ เป็นการหมิ่นประมาทใส่ความโจทก์ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นและเกลียดชัง เหตุเกิดที่แขวงและเขตดุสิต กทม.
ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานนำสืบทั้งสองฝ่ายแล้วเห็นว่า จำเลยให้สัมภาษณ์ในขณะดำรงตำแหน่งประธานคณะอนุกรรมการประชาสัมพันธ์ในประเทศ ซึ่งในขณะนั้นประเทศไทยกำลังถูกจับตามองจากสหรัฐอเมริกา เรื่องสิทธิบัตรยา และการละเมิดลิขสิทธิ์ จำเลยจึงพูดไปในฐานะมีส่วนได้เสีย อีกทั้งพยานโจทก์เองก็ไปเจือสมกับพยานจำเลยว่า ข้อความดังกล่าวไม่ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ประกอบกับคดีนี้ โจทก์ไม่มาเบิกความด้วยตัวเอง เนื่องจากอยู่ระหว่างหลบหนีคดีอยู่ที่ต่างประเทศ แม้จะมอบเอกสารให้ผู้แทนคดีมาเบิกความ แต่ก็ไม่ได้ลงลายมือชื่อในคำให้การ หรือ เอกสารคำคู่ความต่อหน้าศาล เพียงแต่ไปลงลายมือชื่อที่สถานทูตไทยในกรุงลอนดอนเท่านั้น คดีจึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยหมิ่นประมาทโจทก์ พิพากษายกฟ้อง
ด้านกองปราบหอบสำนวนสั่งฟ้อง"จักรภพ" หมิ่นเบื้องสูง ส่งอธิบดีอัยการคดีอาญา ขณะที่อัยการเผย ต้องดูเจตนาเป็นเครื่องชี้ ตั้งใจทำผิดหรือไม่ ด้าน"ใจ"เบี้ยวคดีหมิ่นเบื้องสูง ส่วน"นช.แม้ว" แพ้คดีฟ้องหมิ่น"ประสาร มฤคพิทักษ์" กรณีแฉจ้างบริษัทล็อบบี้ยิสต์ทำลายชาติ
เมื่อวานนี้ (13ม.ค.) นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย ซึ่งเป็นหนึ่งในแกนนำ"แก๊งเสื้อแดง" ได้ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ภาพที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี นั่งบนเก้าอี้ระหว่างการเข้าเฝ้าเพื่อถวายรายงานแก่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวว่า นายกรัฐมนตรีในอดีตทั้ง พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี และรัฐบุรุษ พล.อ.สุจินดา คราประยูร อดีตนายกรัฐมนตรี พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำกลุ่มพันธมิตรฯ ครั้งเมื่อครั้งเข้าเฝ้า และพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีนั้น การเข้าเฝ้าฯพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว หากไม่มีพระราชอาคันตุกะ เชื้อพระวงศ์ หรือผู้นำประเทศต่างๆ เข้าเฝ้าฯด้วยแล้ว จะไม่มีภาพนายกรัฐมนตรีของไทยนั่งเก้าอี้เสมอกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวแบบนี้ออกมา เป็นภาพที่คนไทยทั้งประเทศไม่เคยเห็น แสดงให้เห็นว่านายอภิสิทธิ์ เป็นนายกฯโดยอภิสิทธิ์จริงๆ เพราะปกตินั้นนายกฯ จะต้องนั่งกับพื้น ก้มกราบพระบาทก็ต้องที่พื้น และหากนายอภิสิทธิ์ อ้างว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระบรมราชานุญาตนั้น นายอภิสิทธิ์ ก็ต้องรู้ตัวเองว่า ควรจะกระทำหรือไม่ในการทำตัวเสมอกับพระเจ้าแผ่นดิน
นายจตุพร กล่าวด้วยว่า นายอภิสิทธิ์ จะเป็นนายกฯเทพประทานอย่างไร ก็แล้วแต่ เมื่อครั้งการทำบุญประเทศที่วัดพระแก้ว ของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีการใส่ร้ายกันอย่างย่อยยับที่สุด แล้ววันนี้นายอภิสิทธิ์ เป็นใคร ภาพเหล่านี้คนไทยมองแล้วไม่สบายใจ
ผู้สื่อข่าวถามว่าได้มีการสอบถามไปยังสำนักพระราชวัง หรือไม่ นายจตุพร กล่าวว่า ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยเห็นภาพแบบนี้ นั่งส่วนพระองค์กันแบบนี้ ภาพที่ปรากฎแม้จะได้รับพระบรมราชานุญาตก็จะต้องเป็นการส่วนพระองค์ และจะไม่มีภาพแบบนี้ปรากฎออกมา ดังนั้นเมื่ออยู่ต่อหน้าสื่อมวลชน เราจะเห็นนายกฯ ทุกคนต้องนั่งกับพื้น ยกเว้นวันที่อาคันตุกะจากมิตรประเทศมาเยือนนายกฯจะนั่งถัดมา การนั่งคุยเป็นการส่วนพระองค์แบบนี้ ไม่เคยมีมาก่อน
ผู้สื่อข่าวถามอีกว่า สำนักพระราชวังเป็นผู้ให้นำภาพนี้ออกมาเผยแพร่ นายจตุพร กล่าวว่า นายอภิสิทธิ์ สามารถได้รับพระบรมราชานุญาตได้ แต่ในฐานะนายกฯ ต้องรู้ว่าไม่มีนายกฯ คนไหนที่นั่งเป็นการส่วนพระองค์กับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เป็นเรื่องที่มิบังควรอย่างยิ่ง
ท้าใครเคยเห็นภาพแบบนี้มาก่อน
"วันที่พ.ต.ท.ทักษิณ ทำบุญประเทศที่วัดพระแก้ว สำนักพระราชวังก็ออกมาชี้แจงแล้ว แต่นายสนธิ ก็ยังไม่ยอมหยุด ขนาดเรื่องนั้นได้รับพระบรมราชานุญาตถูกต้อง แต่ภาพแบบนี้เราไม่เคยเห็น หรือใครยืนยันว่า การคุยส่วนพระองค์แบบนี้ ใครเคยเห็นภาพแบบนี้ออกมาในฐานะนายกฯ พ.ต.ท.ทักษิณ นายสมัคร นายสมชาย นายบรรหาร (ศิลปอาชา อดีตนายกฯ) นายชวน (หลีกภัย อดีตนายกฯ) หรือ นายชัย (ชิดชอบ ประธานสภาฯ) ก็ก้มกราบบังคมทูล ขนาดนายชัย เองซึ่งขาไม่ดี ก็ยังอยู่กับพื้นก้มกราบ เป็นเรื่องที่รู้กันในประเพณีปฏิบัติ นายอภิสิทธิ์ควรจะรู้ ต้องระมัดระวัง จะโฉ่งฉ่างเหมือนการไปเอาลูกพรรคคนอื่นแล้ว มาต่อรองผลประโยชน์ไม่ได้ มันไม่ง่ายแบบนั้น มันสะเทือนใจคนไทย" นายจตุพรกล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในระหว่างที่นายจตุพร กำลังแถลงข่าวถึงภาพการเข้าเฝ้าฯของนายอภิสิทธิ์ อยู่นั้น ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ส.ส.สัดส่วน สมาชิกพรรคเพื่อไทย ซึ่งกำลังพูดคุยกับสื่อมวลชนอยู่ไม่ไกล จากโต๊ะแถลงข่าวนั้น ได้นำภาพข่าวดังกล่าวจากหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งขึ้นมาดูประกอบด้วย โดยกล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า แม้พระองค์ท่านจะอนุญาต แต่นายอภิสิทธิ์ ก็ไม่ควร ขนาดนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ หลังมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯเป็นนายกฯ ยังได้เข้าเฝ้าถึง 47 นาที แต่เรื่องอย่างนี้เขาไม่เอามาพูดกันหรอก หรือยุคนายสมัคร สุนทรเวช ซึ่งเข่าไม่ค่อยดี ยังต้องคลานมาเข้าเฝ้า
อย่างไรก็ตาม นายจตุพร เองก็ไม่น่าเอาเรื่องนี้มาแถลง
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ภายหลังจากที่นายจตุพร ออกมาเปิดประเด็นดังกล่าว สื่อมวลชนได้มีการตรวจสอบภาพในอดีต โดยได้ค้นหาภายในเว็บไซต์ พันธ์ทิพย์ ในหน้าโต๊ะราชดำเนิน พบว่า มีการโพสต์ภาพ นายสมัคร สุนทรเวช สมัยเป็นนายกรัฐมนตรี ขณะเข้าเฝ้า โดยนั่งเก้าอี้ทัดเทียมกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เช่นเดียวกับนายอภิสิทธิ์ ดังนั้นสื่อมวลชนจึงเรียกให้ ร.ต.อ.เฉลิม มาดูภาพดังกล่าว ทำให้ ร.ต.อ.เฉลิมถึงกับพูดว่า
"อย่างนี้ปชป.ก็รอดตัวไป ถ้าจะทำงานการเมืองกับพรรคประชาธิปัตย์ ต้องเป็นเหมือนภรรยาจอมพล ป.พิบูลสงคราม คือท่านผู้หญิงละเอียด สงสัยว่า ตู่(นายจตุพร)ไม่ได้ดูภาพนี้ก่อน" ร.ต.อ.เฉลิมกล่าว
"จักรภพ"รายงานตัวคดีหมิ่นสถาบันฯ
วานนี้ (13 ม.ค.) เวลา 10.30 น. ที่สำนักงานอัยการสูงสุด ถ.รัชดาภิเษก พนักงานสอบสวนกองบังคับการปราบปราม นำสำนวนการสอบสวนและเอกสารพยานหลักฐานจำนวน 2 แฟ้ม รวม 980 หน้า แผ่นบันทึกภาพและเสียง ดีวีดี 4 แผ่น พร้อมความเห็นสมควรสั่งฟ้องนายจักรภพ เพ็ญแข อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ผู้ต้องหาในความผิดฐานหมิ่นประมาท ดูหมิ่นอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ตามประมวลกฎหมายอาญา ม.112 มีโทษจำคุกตั้งแต่ 3–15 ปี ส่งมอบให้กับนายกายสิทธิ์ พิศวงปราการ อธิบดีอัยการฝ่ายคดีอาญา พิจารณาสั่งคดี
โดยนายจักรภพ เดินทางมารายงานตัวต่ออธิบดีอัยการฝ่ายคดีอาญา พร้อมกับนายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.แบบสัดส่วน พรรคเพื่อไทย นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ อดีตรองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และ นพ.เหวง โตจิราการ แกนนำนปช. โดยมีกลุ่มคนเสื้อแดงประมาณ 200 คน เดินทางมาให้กำลังใจ
อ้างกระบวนการยุติธรรมล่อแหลม
นายจักรภพ กล่าวว่าพนักงานสอบสวนกองปราบปรามได้แจ้งให้ตนมาแสดงตัวต่อพนักงานอัยการ หลังมีความเห็นสั่งฟ้องในความผิดฐานหมิ่นพระบรมเดชานุภาพฯ โดยอัยการนัดฟังคำสั่งคดีว่าจะฟ้องหรือไม่ฟ้องในวันที่ 5 มี.ค.นี้ เวลา10.30 น. ซึ่งคดีนี้ทราบจากรายงานสรุปผลการสอบของพนักงานสอบสวนระบุว่า "ถึงแม้ไม่พบว่าผู้ต้องหามีความผิดตามตัวอักษร แต่มีเจตนาไม่ดี จึงมีความผิด เห็นควรส่งฟ้อง" แสดงให้เห็นถึงความล่อแหลมของกระบวนการยุติธรรม ที่ขาดประชาธิปไตย ตนขอยืนยันว่า ไม่ได้กระทำผิด และจะขอต่อสู้ให้ถึงที่สุด เพื่อเป็นกรณีศึกษา
นายจักรภพ กล่าด้วยว่า สำนวนการสอบสวนของตำรวจมีความไม่สมบูรณ์ จึงจะปรึกษากับทนายความเพื่อจะยื่นหนังสือขอความเป็นธรรมต่อพนักงานอัยการ ให้สอบสวนพยานเพิ่มเติม โดยเฉพาะในประเด็นที่เกี่ยวกับการแปลภาษา ที่ตนได้ไปบรรยายเป็นภาษาอังกฤษที่สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศแห่งประเทศไทย ( เอฟซีซีที) แล้วมาแปลเป็นภาษาไทยอย่างไม่ถูกต้อง ห่างไกลจากความเป็นจริง โดยผู้แปลภาษาที่ไม่เป็นกลาง จึงต้องร้องขอความเป็นธรรมต่อไป
คาดสั่งฟ้องภายใน30วัน
ด้านอธิบดีอัยการฝ่ายคดีอาญา กล่าวว่า ภายหลังได้รับสำนวนการสอบสวนจากพนักงานสอบสวนแล้ว จะตั้งคณะทำงานอัยการ ประมาณ 5–7 คน เช่นเดียวกับคดีหมิ่นเบื้องสูงคดีอื่นๆที่ผ่านมา โดยมีอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 3 เป็นหัวหน้า โดยตนได้กำชับให้คณะทำงานพิจารณาสำนวนด้วยความละเอียดรอบคอบ เพราะคดีหมิ่นเบื้องสูงเป็นเรื่องละเอียดอ่อน เป็นที่สนใจของประชาชนจำนวนมาก เบื้องต้นคาดว่าจะใช้เวลาพิจารณาสำนวนประมาณ 1 เดือน
ส่วนที่นายจักรภพ จะยื่นหนังสือขอความเป็นธรรมให้อัยการ หาผู้ที่มีความเป็นกลางมาตรวจสอบคำแปลภาษาของพนักงานสอบสวน นายกายสิทธิ์ กล่าวว่า ในคณะทำงานอัยการจะมีผู้เชี่ยวชาญภาษาอังกฤษอยู่แล้ว และจะพิจารณาดูถ้อยคำในสำนวนทั้งหมดที่เกี่ยวข้อง เมื่อถามว่าผู้ต้องหาอ้างเหตุผลพนักงานสอบสวนว่า ตามตัวอักษรไม่ผิด แต่ที่ผิดเพราะมีเจตนาไม่ดีนั้น นายกายสิทธิ์ กล่าวว่า ตามภาษากฎหมายเรียกว่า กรรมเป็นเครื่องชี้เจตนา การทำผิดตามกฎหมายอาญานั้นถ้ามีเจตนา ถือเป็นความผิดเสมอ ยกเว้นคดีประมาท อย่างไรก็ตามจะเปิดโอกาสให้ผู้ถูกกล่าวหาชี้แจงอย่างเต็มที่ และหากส่งคำแปลภาษามาให้อัยการก็ยินดีนำมาพิจารณา
"ใจ"เลื่อนรับข้อหาหมิ่นสถาบันฯ
พ.ต.ท.ธัชชัย บุญเพ็ง พนักงานสอบสวน สบ.3 สถานีตำรวจนครบาลปทุมวัน เปิดเผยว่า ได้รับการติดต่อจากนายใจ อึ๊งภากรณ์ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยว่า จะยังไม่รับทราบข้อหาหมิ่นสถาบันฯ ในวันที่ 13 ม.ค.นี้ และจะขอเลื่อนการเดินทางมารับทราบข้อหาดังกล่าวไปก่อน อย่างไรก็ตาม นายใจ ไม่ได้ระบุวัน เวลาว่าจะเดินทางมารับทราบข้อหาในวันใด
"แม้ว"แพ้คดีฟ้อง"ประสาร"
วันเดียวกันนี้ เวลา 09.30 น. ที่ห้องพิจารณาคดี 813 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลออกนั่งบัลลังก์อ่านคำพิพากษาในคดีหมายเลขดำ ที่ อ.2134/2550 ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี มอบอำนาจให้นายถาลัด สมบัติบุญ เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายประสาร มฤคพิทักษ์ ประธานคณะอนุกรรมกาประชาสัมพันธ์ในประเทศ (ศปชท.) เป็นจำเลยในความผิดฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณาด้วยเอกสาร ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326, 328, 332
คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 3-5 พ.ค.50 จำเลยได้แถลงการณ์ผลการประชุมคณะอนุกรรมการประชาสัมพันธ์ในประเทศ (ศปชท.) ต่อสาธารณะ และสื่อมวลชนนำมาลงตีพิมพ์เผยแพร่ ทำนองว่า ที่ปรึกษาบริษัทล็อบบี้ยิสต์ที่รับงานสร้างภาพลักษณ์ให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้ยื่นหนังสือถึงรมว.ต่างประเทศสหรัฐอเมริกา เพื่อให้ผู้แทนการค้าสหรัฐฯ ขยับฐานะประเทศไทยไปอยู่ในบัญชีต้องจับตาเป็นพิเศษเรื่องของการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาซึ่งถือเป็นการทำลายประเทศ เป็นการหมิ่นประมาทใส่ความโจทก์ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นและเกลียดชัง เหตุเกิดที่แขวงและเขตดุสิต กทม.
ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานนำสืบทั้งสองฝ่ายแล้วเห็นว่า จำเลยให้สัมภาษณ์ในขณะดำรงตำแหน่งประธานคณะอนุกรรมการประชาสัมพันธ์ในประเทศ ซึ่งในขณะนั้นประเทศไทยกำลังถูกจับตามองจากสหรัฐอเมริกา เรื่องสิทธิบัตรยา และการละเมิดลิขสิทธิ์ จำเลยจึงพูดไปในฐานะมีส่วนได้เสีย อีกทั้งพยานโจทก์เองก็ไปเจือสมกับพยานจำเลยว่า ข้อความดังกล่าวไม่ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ประกอบกับคดีนี้ โจทก์ไม่มาเบิกความด้วยตัวเอง เนื่องจากอยู่ระหว่างหลบหนีคดีอยู่ที่ต่างประเทศ แม้จะมอบเอกสารให้ผู้แทนคดีมาเบิกความ แต่ก็ไม่ได้ลงลายมือชื่อในคำให้การ หรือ เอกสารคำคู่ความต่อหน้าศาล เพียงแต่ไปลงลายมือชื่อที่สถานทูตไทยในกรุงลอนดอนเท่านั้น คดีจึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยหมิ่นประมาทโจทก์ พิพากษายกฟ้อง