ASTVผู้จัดการรายวัน-กองปราบหอบสำนวนสั่งฟ้อง"จักรภพ เพ็ญแข" หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ส่งอธิบดีอัยการคดีอาญา เจ้าตัวลั่นสู้ถึงที่สุด อ้างตำรวจบิดเบือนคำแปลภาษา อัยการเผยต้องดูเจตนาเป็นเครื่องชี้ ตั้งใจทำผิดหรือไม่ ด้าน"ใจ"เบี้ยวคดีหมิ่นเบื้องสูง ขณะที่"นช.แม้ว"แพ้คดีฟ้องหมิ่น"ประสาร มฤคพิทักษ์"กรณีแฉจ้างบริษัทล็อบบี้ยิสต์ทำลายชาติ
วานนี้ (13 ม.ค.) เวลา 10.30 น. ที่สำนักงานอัยการสูงสุด ถ.รัชดาภิเษก พนักงานสอบสวนกองบังคับการปราบปราม นำสำนวนการสอบสวนและเอกสารพยานหลักฐานจำนวน 2 แฟ้ม รวม 980 หน้า แผ่นบันทึกภาพและเสียง ดีวีดี 4 แผ่น พร้อมความเห็นสมควรสั่งฟ้องนายจักรภพ เพ็ญแข อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ผู้ต้องหาในความผิดฐานหมิ่นประมาท ดูหมิ่นอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ตามประมวลกฎหมายอาญา ม.112 มีโทษจำคุกตั้งแต่ 3–15 ปี ส่งมอบให้กับนายกายสิทธิ์ พิศวงปราการ อธิบดีอัยการฝ่ายคดีอาญา พิจารณาสั่งคดี
โดยนายจักรภพ เดินทางมารายงานตัวต่ออธิบดีอัยการฝ่ายคดีอาญา พร้อมกับนายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.แบบสัดส่วน พรรคเพื่อไทย นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ อดีตรองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และ นพ.เหวง โตจิราการ แกนนำนปช. โดยมีกลุ่มคนเสื้อแดงประมาณ 200 คน เดินทางมาให้กำลังใจ
นายจักรภพ กล่าวว่าพนักงานสอบสวนกองปราบปรามได้แจ้งให้ตนมาแสดงตัวต่อพนักงานอัยการ หลังมีความเห็นสั่งฟ้องในความผิดฐานหมิ่นพระบรมเดชานุภาพฯ โดยอัยการนัดฟังคำสั่งคดีว่าจะฟ้องหรือไม่ฟ้องในวันที่ 5 มี.ค.นี้ เวลา10.30 น. ซึ่งคดีนี้ทราบจากรายงานสรุปผลการสอบของพนักงานสอบสวนระบุว่า "ถึงแม้ไม่พบว่าผู้ต้องหามีความผิดตามตัวอักษร แต่มีเจตนาไม่ดี จึงมีความผิด เห็นควรส่งฟ้อง" แสดงให้เห็นถึงความล่อแหลมของกระบวนการยุติธรรม ที่ขาดประชาธิปไตย ตนขอยืนยันว่า ไม่ได้กระทำผิด และจะขอต่อสู้ให้ถึงที่สุด เพื่อเป็นกรณีศึกษา
นายจักรภพ กล่าด้วยว่า สำนวนการสอบสวนของตำรวจมีความไม่สมบูรณ์ จึงจะปรึกษากับทนายความเพื่อจะยื่นหนังสือขอความเป็นธรรมต่อพนักงานอัยการ ให้สอบสวนพยานเพิ่มเติม โดยเฉพาะในประเด็นที่เกี่ยวกับการแปลภาษา ที่ตนได้ไปบรรยายเป็นภาษาอังกฤษที่สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศแห่งประเทศไทย ( เอฟซีซีที) แล้วมาแปลเป็นภาษาไทยอย่างไม่ถูกต้อง ห่างไกลจากความเป็นจริง โดยผู้แปลภาษาที่ไม่เป็นกลาง จึงต้องร้องขอความเป็นธรรมต่อไป
ด้านอธิบดีอัยการฝ่ายคดีอาญา กล่าวว่า ภายหลังได้รับสำนวนการสอบสวนจากพนักงานสอบสวนแล้ว จะตั้งคณะทำงานอัยการ ประมาณ 5–7 คน เช่นเดียวกับคดีหมิ่นเบื้องสูงคดีอื่นๆที่ผ่านมา โดยมีอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 3 เป็นหัวหน้า โดยตนได้กำชับให้คณะทำงานพิจารณาสำนวนด้วยความละเอียดรอบคอบ เพราะคดีหมิ่นเบื้องสูงเป็นเรื่องละเอียดอ่อน เป็นที่สนใจของประชาชนจำนวนมาก เบื้องต้นคาดว่าจะใช้เวลาพิจารณาสำนวนประมาณ 1 เดือน
ส่วนที่นายจักรภพ จะยื่นหนังสือขอความเป็นธรรมให้อัยการ หาผู้ที่มีความเป็นกลางมาตรวจสอบคำแปลภาษาของพนักงานสอบสวน นายกายสิทธิ์ กล่าวว่า ในคณะทำงานอัยการจะมีผู้เชี่ยวชาญภาษาอังกฤษอยู่แล้ว และจะพิจารณาดูถ้อยคำในสำนวนทั้งหมดที่เกี่ยวข้อง เมื่อถามว่าผู้ต้องหาอ้างเหตุผลพนักงานสอบสวนว่า ตามตัวอักษรไม่ผิด แต่ที่ผิดเพราะมีเจตนาไม่ดีนั้น นายกายสิทธิ์ กล่าวว่า ตามภาษากฎหมายเรียกว่า กรรมเป็นเครื่องชี้เจตนา การทำผิดตามกฎหมายอาญานั้นถ้ามีเจตนา ถือเป็นความผิดเสมอ ยกเว้นคดีประมาท อย่างไรก็ตามจะเปิดโอกาสให้ผู้ถูกกล่าวหาชี้แจงอย่างเต็มที่ และหากส่งคำแปลภาษามาให้อัยการก็ยินดีนำมาพิจารณา
**"ใจ"เลื่อนรับข้อหาหมิ่นสถาบันฯ
พ.ต.ท.ธัชชัย บุญเพ็ง พนักงานสอบสวน สบ.3 สถานีตำรวจนครบาลปทุมวัน เปิดเผยว่า ได้รับการติดต่อจากนายใจ อึ๊งภากรณ์ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยว่า จะยังไม่รับทราบข้อหาหมิ่นสถาบันฯ ในวันที่ 13 ม.ค.นี้ และจะขอเลื่อนการเดินทางมารับทราบข้อหาดังกล่าวไปก่อน อย่างไรก็ตาม นายใจ ไม่ได้ระบุวัน เวลาว่าจะเดินทางมารับทราบข้อหาในวันใด
**"แม้ว"แพ้คดีฟ้อง"ประสาร"
วันเดียวกันนี้ เวลา 09.30 น. ที่ห้องพิจารณาคดี 813 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลออกนั่งบัลลังก์อ่านคำพิพากษาในคดีหมายเลขดำ ที่ อ.2134/2550 ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี มอบอำนาจให้นายถาลัด สมบัติบุญ เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายประสาร มฤคพิทักษ์ ประธานคณะอนุกรรมกาประชาสัมพันธ์ในประเทศ (ศปชท.) เป็นจำเลยในความผิดฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณาด้วยเอกสาร ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326, 328, 332
คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 3-5 พ.ค.50 จำเลยได้แถลงการณ์ผลการประชุมคณะอนุกรรมการประชาสัมพันธ์ในประเทศ (ศปชท.) ต่อสาธารณะ และสื่อมวลชนนำมาลงตีพิมพ์เผยแพร่ ทำนองว่า ที่ปรึกษาบริษัทล็อบบี้ยิสต์ที่รับงานสร้างภาพลักษณ์ให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้ยื่นหนังสือถึงรมว.ต่างประเทศสหรัฐอเมริกา เพื่อให้ผู้แทนการค้าสหรัฐฯ ขยับฐานะประเทศไทยไปอยู่ในบัญชีต้องจับตาเป็นพิเศษเรื่องของการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาซึ่งถือเป็นการทำลายประเทศ เป็นการหมิ่นประมาทใส่ความโจทก์ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นและเกลียดชัง เหตุเกิดที่แขวงและเขตดุสิต กทม.
ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานนำสืบทั้งสองฝ่ายแล้วเห็นว่า จำเลยให้สัมภาษณ์ในขณะดำรงตำแหน่งประธานคณะอนุกรรมการประชาสัมพันธ์ในประเทศ ซึ่งในขณะนั้นประเทศไทยกำลังถูกจับตามองจากสหรัฐอเมริกา เรื่องสิทธิบัตรยา และการละเมิดลิขสิทธิ์ จำเลยจึงพูดไปในฐานะมีส่วนได้เสีย อีกทั้งพยานโจทก์เองก็ไปเจือสมกับพยานจำเลยว่า ข้อความดังกล่าวไม่ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ประกอบกับคดีนี้ โจทก์ไม่มาเบิกความด้วยตัวเอง เนื่องจากอยู่ระหว่างหลบหนีคดีอยู่ที่ต่างประเทศ แม้จะมอบเอกสารให้ผู้แทนคดีมาเบิกความ แต่ก็ไม่ได้ลงลายมือชื่อในคำให้การ หรือ เอกสารคำคู่ความต่อหน้าศาล เพียงแต่ไปลงลายมือชื่อที่สถานทูตไทยในกรุงลอนดอนเท่านั้น คดีจึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยหมิ่นประมาทโจทก์ พิพากษายกฟ้อง
วานนี้ (13 ม.ค.) เวลา 10.30 น. ที่สำนักงานอัยการสูงสุด ถ.รัชดาภิเษก พนักงานสอบสวนกองบังคับการปราบปราม นำสำนวนการสอบสวนและเอกสารพยานหลักฐานจำนวน 2 แฟ้ม รวม 980 หน้า แผ่นบันทึกภาพและเสียง ดีวีดี 4 แผ่น พร้อมความเห็นสมควรสั่งฟ้องนายจักรภพ เพ็ญแข อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ผู้ต้องหาในความผิดฐานหมิ่นประมาท ดูหมิ่นอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ตามประมวลกฎหมายอาญา ม.112 มีโทษจำคุกตั้งแต่ 3–15 ปี ส่งมอบให้กับนายกายสิทธิ์ พิศวงปราการ อธิบดีอัยการฝ่ายคดีอาญา พิจารณาสั่งคดี
โดยนายจักรภพ เดินทางมารายงานตัวต่ออธิบดีอัยการฝ่ายคดีอาญา พร้อมกับนายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.แบบสัดส่วน พรรคเพื่อไทย นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ อดีตรองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และ นพ.เหวง โตจิราการ แกนนำนปช. โดยมีกลุ่มคนเสื้อแดงประมาณ 200 คน เดินทางมาให้กำลังใจ
นายจักรภพ กล่าวว่าพนักงานสอบสวนกองปราบปรามได้แจ้งให้ตนมาแสดงตัวต่อพนักงานอัยการ หลังมีความเห็นสั่งฟ้องในความผิดฐานหมิ่นพระบรมเดชานุภาพฯ โดยอัยการนัดฟังคำสั่งคดีว่าจะฟ้องหรือไม่ฟ้องในวันที่ 5 มี.ค.นี้ เวลา10.30 น. ซึ่งคดีนี้ทราบจากรายงานสรุปผลการสอบของพนักงานสอบสวนระบุว่า "ถึงแม้ไม่พบว่าผู้ต้องหามีความผิดตามตัวอักษร แต่มีเจตนาไม่ดี จึงมีความผิด เห็นควรส่งฟ้อง" แสดงให้เห็นถึงความล่อแหลมของกระบวนการยุติธรรม ที่ขาดประชาธิปไตย ตนขอยืนยันว่า ไม่ได้กระทำผิด และจะขอต่อสู้ให้ถึงที่สุด เพื่อเป็นกรณีศึกษา
นายจักรภพ กล่าด้วยว่า สำนวนการสอบสวนของตำรวจมีความไม่สมบูรณ์ จึงจะปรึกษากับทนายความเพื่อจะยื่นหนังสือขอความเป็นธรรมต่อพนักงานอัยการ ให้สอบสวนพยานเพิ่มเติม โดยเฉพาะในประเด็นที่เกี่ยวกับการแปลภาษา ที่ตนได้ไปบรรยายเป็นภาษาอังกฤษที่สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศแห่งประเทศไทย ( เอฟซีซีที) แล้วมาแปลเป็นภาษาไทยอย่างไม่ถูกต้อง ห่างไกลจากความเป็นจริง โดยผู้แปลภาษาที่ไม่เป็นกลาง จึงต้องร้องขอความเป็นธรรมต่อไป
ด้านอธิบดีอัยการฝ่ายคดีอาญา กล่าวว่า ภายหลังได้รับสำนวนการสอบสวนจากพนักงานสอบสวนแล้ว จะตั้งคณะทำงานอัยการ ประมาณ 5–7 คน เช่นเดียวกับคดีหมิ่นเบื้องสูงคดีอื่นๆที่ผ่านมา โดยมีอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 3 เป็นหัวหน้า โดยตนได้กำชับให้คณะทำงานพิจารณาสำนวนด้วยความละเอียดรอบคอบ เพราะคดีหมิ่นเบื้องสูงเป็นเรื่องละเอียดอ่อน เป็นที่สนใจของประชาชนจำนวนมาก เบื้องต้นคาดว่าจะใช้เวลาพิจารณาสำนวนประมาณ 1 เดือน
ส่วนที่นายจักรภพ จะยื่นหนังสือขอความเป็นธรรมให้อัยการ หาผู้ที่มีความเป็นกลางมาตรวจสอบคำแปลภาษาของพนักงานสอบสวน นายกายสิทธิ์ กล่าวว่า ในคณะทำงานอัยการจะมีผู้เชี่ยวชาญภาษาอังกฤษอยู่แล้ว และจะพิจารณาดูถ้อยคำในสำนวนทั้งหมดที่เกี่ยวข้อง เมื่อถามว่าผู้ต้องหาอ้างเหตุผลพนักงานสอบสวนว่า ตามตัวอักษรไม่ผิด แต่ที่ผิดเพราะมีเจตนาไม่ดีนั้น นายกายสิทธิ์ กล่าวว่า ตามภาษากฎหมายเรียกว่า กรรมเป็นเครื่องชี้เจตนา การทำผิดตามกฎหมายอาญานั้นถ้ามีเจตนา ถือเป็นความผิดเสมอ ยกเว้นคดีประมาท อย่างไรก็ตามจะเปิดโอกาสให้ผู้ถูกกล่าวหาชี้แจงอย่างเต็มที่ และหากส่งคำแปลภาษามาให้อัยการก็ยินดีนำมาพิจารณา
**"ใจ"เลื่อนรับข้อหาหมิ่นสถาบันฯ
พ.ต.ท.ธัชชัย บุญเพ็ง พนักงานสอบสวน สบ.3 สถานีตำรวจนครบาลปทุมวัน เปิดเผยว่า ได้รับการติดต่อจากนายใจ อึ๊งภากรณ์ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยว่า จะยังไม่รับทราบข้อหาหมิ่นสถาบันฯ ในวันที่ 13 ม.ค.นี้ และจะขอเลื่อนการเดินทางมารับทราบข้อหาดังกล่าวไปก่อน อย่างไรก็ตาม นายใจ ไม่ได้ระบุวัน เวลาว่าจะเดินทางมารับทราบข้อหาในวันใด
**"แม้ว"แพ้คดีฟ้อง"ประสาร"
วันเดียวกันนี้ เวลา 09.30 น. ที่ห้องพิจารณาคดี 813 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลออกนั่งบัลลังก์อ่านคำพิพากษาในคดีหมายเลขดำ ที่ อ.2134/2550 ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี มอบอำนาจให้นายถาลัด สมบัติบุญ เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายประสาร มฤคพิทักษ์ ประธานคณะอนุกรรมกาประชาสัมพันธ์ในประเทศ (ศปชท.) เป็นจำเลยในความผิดฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณาด้วยเอกสาร ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326, 328, 332
คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 3-5 พ.ค.50 จำเลยได้แถลงการณ์ผลการประชุมคณะอนุกรรมการประชาสัมพันธ์ในประเทศ (ศปชท.) ต่อสาธารณะ และสื่อมวลชนนำมาลงตีพิมพ์เผยแพร่ ทำนองว่า ที่ปรึกษาบริษัทล็อบบี้ยิสต์ที่รับงานสร้างภาพลักษณ์ให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้ยื่นหนังสือถึงรมว.ต่างประเทศสหรัฐอเมริกา เพื่อให้ผู้แทนการค้าสหรัฐฯ ขยับฐานะประเทศไทยไปอยู่ในบัญชีต้องจับตาเป็นพิเศษเรื่องของการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาซึ่งถือเป็นการทำลายประเทศ เป็นการหมิ่นประมาทใส่ความโจทก์ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นและเกลียดชัง เหตุเกิดที่แขวงและเขตดุสิต กทม.
ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานนำสืบทั้งสองฝ่ายแล้วเห็นว่า จำเลยให้สัมภาษณ์ในขณะดำรงตำแหน่งประธานคณะอนุกรรมการประชาสัมพันธ์ในประเทศ ซึ่งในขณะนั้นประเทศไทยกำลังถูกจับตามองจากสหรัฐอเมริกา เรื่องสิทธิบัตรยา และการละเมิดลิขสิทธิ์ จำเลยจึงพูดไปในฐานะมีส่วนได้เสีย อีกทั้งพยานโจทก์เองก็ไปเจือสมกับพยานจำเลยว่า ข้อความดังกล่าวไม่ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ประกอบกับคดีนี้ โจทก์ไม่มาเบิกความด้วยตัวเอง เนื่องจากอยู่ระหว่างหลบหนีคดีอยู่ที่ต่างประเทศ แม้จะมอบเอกสารให้ผู้แทนคดีมาเบิกความ แต่ก็ไม่ได้ลงลายมือชื่อในคำให้การ หรือ เอกสารคำคู่ความต่อหน้าศาล เพียงแต่ไปลงลายมือชื่อที่สถานทูตไทยในกรุงลอนดอนเท่านั้น คดีจึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยหมิ่นประมาทโจทก์ พิพากษายกฟ้อง