ASTVผู้จัดการรายวัน - ไทยบริการอุตสาหกรรมฯ เผยปี 51 ผลงานต่ำกว่าเป้าหมาย เหตุผลกระทบเศรษฐกิจซบ และความผันผวนของราคาวัตถุดิบ คาดผลงานปี 52 จะทำได้เท่ากับปี 50 ที่ทำไว้ 1,500 ล้านบาท ล่าสุดรับงาน 2 โครงการมูลค่ากว่า 250 ล้านบาท เล็งเข้าประมูลงานเพิ่มหลังการเมืองนิ่งและราคาวัตถุดิบไม่ผันผวน
นายธีรพล เต็มสุข กรรมการ บริษัท ไทยบริการอุตสาหกรรมและวิศวกรรม จำกัด(มหาชน) (TIES) เปิดเผยว่า ผลงานงวดสิ้นปี 51 อาจต่ำกว่าเป้าหมายที่บริษัทตั้งไว้หรือต่ำกว่าปี 50 ที่บริษัททำได้ประมาณ 1,500 ล้านบาท เนื่องจากผลกระทบจากภาวะทางการเมืองที่เกิดขึ้นต่อเนื่องมาจากปีก่อนหน้า บวกกับความผันผวนของราคาวัสดุก่อสร้างโดยเฉพาะเหล็กเส้นและน้ำมัน
สำหรับปี 52 บริษัทประเมินว่าน่าจะทำรายได้สูงกว่าปี 51 และคาดว่าจะทำได้เท่ากับ ปี 50 เพราะอย่างน้อยราคาเหล็กเส้นและน้ำมันเริ่มนิ่งไม่ผันผวนรุนแรงเหมือนปี ที่ผ่านมา ขณะที่การรับงานของบริษัทจะยังคงเน้นงานก่อสร้างโรงพยาบาลและโรงงานอุตสาหกรรมเหมือนที่ผ่านมา
ล่าสุด ปลายปี 51 บริษัทรับงาน 2 โครงการ คือ โครงการก่อสร้าง Civil and Building Work : SIPCO 160MW CCCP Project ที่จังหวัดระยอง มูลค่าโครงการ 259.90 ล้านบาท และโครงการก่อสร้างศูนย์กระจายสินค้าสุราษฎร์ธานี (RDC SR) จังหวัดสุราษฎร์ธานี ของบริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน)มูลค่าโครงการ 199 ล้านบาท
นายธีรพลกล่าวว่า ปีนี้บริษัทเข้าประมูล งานสร้างโรงพยาบาล 2 แห่ง มูลค่า 600 ล้านบาท และการก่อสร้างโรงงาน 2 โรงงานมูลค่า รวม 1,400 ล้านบาท ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างรอประมูล นอกจากนี้ บริษัทยังเดินหน้าเข้าประมูลงานใหม่เพิ่มอีก ซึ่งเชื่อว่ายังมีโรงงานในนิคมอีกหลายแห่งที่อยู่ระหว่างขยายโรงงาน เพิ่ม แต่ความชัดเจนคงรออีกระยะ ที่สำคัญมีงานของกลุ่มนายเจริญ สิริวัฒนภักดี เจ้าของบริษัทไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) ที่เปิด ให้ยื่นประมูลเพื่อก่อสร้างโรงงานที่จังหวัดสุโขทัยมูลค่าประมาณ 200 ล้านบาท
'เราเริ่มเข้าประมูลงานเพิ่มเพื่อดัน รายได้ปี 52 โต และงานที่เรารับเป็นงาน โรงพยาบาลที่มูลค่าสูงกว่าสร้างโรงงานอุตสาหกรรมทั่วไป แต่ใช้ระยะเวลานานกว่าและมีความเสี่ยงมากกว่า และงานที่เราได้รับมา บางครั้งเป็นงานของลูกค้าเก่าที่คุ้นเคยและทำงานร่วมกันมาก่อนแล้ว ทำให้มีความไว้ใจและเชื่อถือกันจึงทำให้เราได้งานต่อเนื่องมา' นายธีรพลกล่าว
สำหรับสัดส่วนรายได้ของ TIES นั้น รายได้จากงานโรงพยาบาลยังเป็นหลักที่ 60% และงานโรงงาน 30-40% โดยในส่วนงาน สร้างโรงพยาบาลนั้นแม้มูลค่างานจะมากกว่างานสร้างโรงงานอุตสาหกรรม แต่ความเสี่ยงมีมากกว่าเพราะระยะเวลาในการก่อสร้างและส่งมอบงานต้องใช้เวลาถึง 2 ปี ถือว่าเสี่ยงต่อความผันผวนของราคาวัสดุก่อสร้าง ขณะที่งานสร้างโรงงานนั้น เมื่อรับงานมาแล้วใช้เวลาก่อสร้างไม่เกิน 1 ปี สามารถซื้อวัสดุและล็อกราคาได้
นายธีรพลกล่าวเพิ่มว่า ผลงานปี 52 น่าจะทำได้ตามที่คาดไว้ ซึ่งบริษัทจะพยายามทำให้ได้ตามที่ตั้งไว้ เพราะอย่างน้อยปัญหาการเมืองในประเทศเริ่มนิ่งและไม่รุนแรงเหมือนที่ผ่านมา ประกอบกับการได้รัฐบาลชุดใหม่ น่าจะส่งผลดีต่องานภาครัฐที่จะเข้ามาต่อเนื่องได้
โบรกเกอร์แนะ 'ขาย'
บทวิเคราะห์จาก บล.ฟิลลิป แนะนำ 'ขาย' แม้จะเห็นตัวเลขกำไรในไตรมาส 2 แต่พบว่ามาร์จิ้นลดลงต่อเนื่อง แม้การเติบโตของตัวเลขงานในมือ และศักยภาพการเข้าประมูลงาน แต่การเลือกงานมากขึ้นในภาวะที่การแข่งขันรุนแรง เพราะปัญหาทางการเมืองในปีที่ผ่านมา ส่งผลให้งานภาคโครงการขนาดใหญ่ของรัฐไม่คืบหน้ามากนัก และการปรับขึ้นของราคาเหล็กเส้นและราคาน้ำมันในตลาดโลก ส่งผลให้ระดับมาร์จิ้นลดลงต่อเนื่องทุกไตรมาส
อย่างไรก็ดี บริษัทมีการปรับกลยุทธ์การบริหารงานในมือให้จำนวนโครงการน้อยลง และมุ่งงานขนาดใหญ่ขึ้นเพื่อเป็นการประหยัด ต้นทุนในการบริหาร โดยมีงานล่าสุดหลังผ่าน กลางปี 51 มาแล้ว 5 โครงการ มูลค่า 100-300 ล้านบาท ฟิลลิปยังประเมินกำไรปี 51 ไว้ที่ระดับเดิมคือ 715.85 ล้านบาท หรือ 46.36% ของประมาณการรายได้ที่ระดับ 1,544 ล้านบาท แม้คาดว่าบริษัทจะพลิกกลับมามีกำไรในปีนี้ แต่อาจไม่มีการจ่ายเงินปันผลเร็วนัก เพราะสภาพคล่องค่อนข้างต่ำ รวมถึงราคาที่ต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐานปี 51 ที่เรามอง 1.16 บาท
นายธีรพล เต็มสุข กรรมการ บริษัท ไทยบริการอุตสาหกรรมและวิศวกรรม จำกัด(มหาชน) (TIES) เปิดเผยว่า ผลงานงวดสิ้นปี 51 อาจต่ำกว่าเป้าหมายที่บริษัทตั้งไว้หรือต่ำกว่าปี 50 ที่บริษัททำได้ประมาณ 1,500 ล้านบาท เนื่องจากผลกระทบจากภาวะทางการเมืองที่เกิดขึ้นต่อเนื่องมาจากปีก่อนหน้า บวกกับความผันผวนของราคาวัสดุก่อสร้างโดยเฉพาะเหล็กเส้นและน้ำมัน
สำหรับปี 52 บริษัทประเมินว่าน่าจะทำรายได้สูงกว่าปี 51 และคาดว่าจะทำได้เท่ากับ ปี 50 เพราะอย่างน้อยราคาเหล็กเส้นและน้ำมันเริ่มนิ่งไม่ผันผวนรุนแรงเหมือนปี ที่ผ่านมา ขณะที่การรับงานของบริษัทจะยังคงเน้นงานก่อสร้างโรงพยาบาลและโรงงานอุตสาหกรรมเหมือนที่ผ่านมา
ล่าสุด ปลายปี 51 บริษัทรับงาน 2 โครงการ คือ โครงการก่อสร้าง Civil and Building Work : SIPCO 160MW CCCP Project ที่จังหวัดระยอง มูลค่าโครงการ 259.90 ล้านบาท และโครงการก่อสร้างศูนย์กระจายสินค้าสุราษฎร์ธานี (RDC SR) จังหวัดสุราษฎร์ธานี ของบริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน)มูลค่าโครงการ 199 ล้านบาท
นายธีรพลกล่าวว่า ปีนี้บริษัทเข้าประมูล งานสร้างโรงพยาบาล 2 แห่ง มูลค่า 600 ล้านบาท และการก่อสร้างโรงงาน 2 โรงงานมูลค่า รวม 1,400 ล้านบาท ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างรอประมูล นอกจากนี้ บริษัทยังเดินหน้าเข้าประมูลงานใหม่เพิ่มอีก ซึ่งเชื่อว่ายังมีโรงงานในนิคมอีกหลายแห่งที่อยู่ระหว่างขยายโรงงาน เพิ่ม แต่ความชัดเจนคงรออีกระยะ ที่สำคัญมีงานของกลุ่มนายเจริญ สิริวัฒนภักดี เจ้าของบริษัทไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) ที่เปิด ให้ยื่นประมูลเพื่อก่อสร้างโรงงานที่จังหวัดสุโขทัยมูลค่าประมาณ 200 ล้านบาท
'เราเริ่มเข้าประมูลงานเพิ่มเพื่อดัน รายได้ปี 52 โต และงานที่เรารับเป็นงาน โรงพยาบาลที่มูลค่าสูงกว่าสร้างโรงงานอุตสาหกรรมทั่วไป แต่ใช้ระยะเวลานานกว่าและมีความเสี่ยงมากกว่า และงานที่เราได้รับมา บางครั้งเป็นงานของลูกค้าเก่าที่คุ้นเคยและทำงานร่วมกันมาก่อนแล้ว ทำให้มีความไว้ใจและเชื่อถือกันจึงทำให้เราได้งานต่อเนื่องมา' นายธีรพลกล่าว
สำหรับสัดส่วนรายได้ของ TIES นั้น รายได้จากงานโรงพยาบาลยังเป็นหลักที่ 60% และงานโรงงาน 30-40% โดยในส่วนงาน สร้างโรงพยาบาลนั้นแม้มูลค่างานจะมากกว่างานสร้างโรงงานอุตสาหกรรม แต่ความเสี่ยงมีมากกว่าเพราะระยะเวลาในการก่อสร้างและส่งมอบงานต้องใช้เวลาถึง 2 ปี ถือว่าเสี่ยงต่อความผันผวนของราคาวัสดุก่อสร้าง ขณะที่งานสร้างโรงงานนั้น เมื่อรับงานมาแล้วใช้เวลาก่อสร้างไม่เกิน 1 ปี สามารถซื้อวัสดุและล็อกราคาได้
นายธีรพลกล่าวเพิ่มว่า ผลงานปี 52 น่าจะทำได้ตามที่คาดไว้ ซึ่งบริษัทจะพยายามทำให้ได้ตามที่ตั้งไว้ เพราะอย่างน้อยปัญหาการเมืองในประเทศเริ่มนิ่งและไม่รุนแรงเหมือนที่ผ่านมา ประกอบกับการได้รัฐบาลชุดใหม่ น่าจะส่งผลดีต่องานภาครัฐที่จะเข้ามาต่อเนื่องได้
โบรกเกอร์แนะ 'ขาย'
บทวิเคราะห์จาก บล.ฟิลลิป แนะนำ 'ขาย' แม้จะเห็นตัวเลขกำไรในไตรมาส 2 แต่พบว่ามาร์จิ้นลดลงต่อเนื่อง แม้การเติบโตของตัวเลขงานในมือ และศักยภาพการเข้าประมูลงาน แต่การเลือกงานมากขึ้นในภาวะที่การแข่งขันรุนแรง เพราะปัญหาทางการเมืองในปีที่ผ่านมา ส่งผลให้งานภาคโครงการขนาดใหญ่ของรัฐไม่คืบหน้ามากนัก และการปรับขึ้นของราคาเหล็กเส้นและราคาน้ำมันในตลาดโลก ส่งผลให้ระดับมาร์จิ้นลดลงต่อเนื่องทุกไตรมาส
อย่างไรก็ดี บริษัทมีการปรับกลยุทธ์การบริหารงานในมือให้จำนวนโครงการน้อยลง และมุ่งงานขนาดใหญ่ขึ้นเพื่อเป็นการประหยัด ต้นทุนในการบริหาร โดยมีงานล่าสุดหลังผ่าน กลางปี 51 มาแล้ว 5 โครงการ มูลค่า 100-300 ล้านบาท ฟิลลิปยังประเมินกำไรปี 51 ไว้ที่ระดับเดิมคือ 715.85 ล้านบาท หรือ 46.36% ของประมาณการรายได้ที่ระดับ 1,544 ล้านบาท แม้คาดว่าบริษัทจะพลิกกลับมามีกำไรในปีนี้ แต่อาจไม่มีการจ่ายเงินปันผลเร็วนัก เพราะสภาพคล่องค่อนข้างต่ำ รวมถึงราคาที่ต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐานปี 51 ที่เรามอง 1.16 บาท
