พลัส เสนอผู้ประกอบการใช้ระบบเสนอระบบ Facility Management บริหารอาคารชี้ลดค่าใช้จ่าย เพิ่มมูลค่าในระยะยาวในยุคเศรษฐกิจทรุด หวังเพิ่มสร้างรายได้ปี 52 โต 15% จากปีที่แล้วมีรายได้ 230 ล้านบาท
นายเมธา จันทร์แจ่มจรัส ประธานอำนวยการ บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด เปิดเผยว่า แม้ว่าธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จะได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว แต่หากผู้ประกอบการที่พัฒนาโครงการในเชิงพาณิชย์ หันมาให้ความสำคัญการกับการดูแลโครงการอย่างครบวงจร (Facility Management) หรือทำให้อาคารสถานที่เหมาะสมกับการใช้งาน ด้วยระบบการวิเคราะห์ฐานข้อมูลในแต่ละอาคาร เพื่อกำหนดแผนงานและวิธีการบริหารงานให้สอดคล้องกับอาคารนั้นๆ ทั้งแบบระยะสั้นและระยะยาว จะเกิดประโยชน์สูงสุดกับเจ้าของและผู้ใช้อาคาร
ปัจจุบัน พลัส ได้นำระบบการบริหารดังกล่าวมาใช้กับโครงการอสังหาริมทรัพย์ในกลุ่มบริษัทแสนสิริ จำกัด (มหาชน) ทั้งหมด ขณะที่การบริหารจัดการดูแลอาคารภายนอกบริษัท จะให้บริษัท ทัช พร็อพเพอร์ตี้ ซึ่งเป็นบริษัทลูก เป็นผู้ดำเนินการ ซึ่ง มีโครงการทั้งหมดที่อยู่ระหว่างการบริหาร รวมทั้งสิ้น 145 โครงการ โดยในปีที่ผ่านมาบริษัทมีรายได้จากการบริหารโครงการ 230 ล้านบาท คาดว่าปีนี้รายได้จากธุรกิจดังกล่าวจะเติบโต 15% และคาดว่าในปีหน้าจะเติบโตไม่ต่ำกว่า 15% เช่นกัน
นายเมธา กล่าวต่อว่า ที่ผ่านมา เจ้าของอาคารอาจจะมองถึงการทำอย่างไรให้โครงการประหยัด เช่นอาจจะมีการดับไฟบางส่วน หรือมีการลดการใช้แม่บ้านหรือว่ายาม เป็นเพียงแค่ Property Management แต่การนำ Facility Management มาใช้นั้นจะเป็นการดูแลแบบองค์รวม ทั้งอาคารทุกส่วนเพื่อให้ประหยัด ได้ประโยชน์สูงสุดและยังสามารถเพิ่มมูลค่าได้ในระยะยาว
สำหรับแผนการดำเนินงานของบริษัท ทัช พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างการเสนอเข้าไปบริหารดูแลอาคารครบวงจรอีก 5-6 โครงการ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นอาคารสำนักงาน และอาคารประเภทพลาซ่าและสำนักงาน โดยในขณะนี้บริษัทมีงานในมือที่รับบริหารแล้ว 12 โครงการ ซึ่งล่าสุดได้รับงานเพื่อดูแลอาคารสภาผู้ตรวจสอบบัญชี บริเวณแยกอโศก
ตัวอย่างการบริหารจัดการอาคารที่เห็นได้ชัดเจน คือการบริหารอาคารสำนักงานของบริษัท ซีพี ออลล์ ซึ่งเป็นอาคารสูง 18 ชั้น บริเวณถ.สาทร ทำให้รายจ่ายต่อเดือนที่จะต้องดูแลรักษาอาคารลดลง จากเดือนละ 9 แสนบาท ขณะนี้เหลือ 8 แสนบาท และยังเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้อาคารอีกด้วย
นายเมธา จันทร์แจ่มจรัส ประธานอำนวยการ บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด เปิดเผยว่า แม้ว่าธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จะได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว แต่หากผู้ประกอบการที่พัฒนาโครงการในเชิงพาณิชย์ หันมาให้ความสำคัญการกับการดูแลโครงการอย่างครบวงจร (Facility Management) หรือทำให้อาคารสถานที่เหมาะสมกับการใช้งาน ด้วยระบบการวิเคราะห์ฐานข้อมูลในแต่ละอาคาร เพื่อกำหนดแผนงานและวิธีการบริหารงานให้สอดคล้องกับอาคารนั้นๆ ทั้งแบบระยะสั้นและระยะยาว จะเกิดประโยชน์สูงสุดกับเจ้าของและผู้ใช้อาคาร
ปัจจุบัน พลัส ได้นำระบบการบริหารดังกล่าวมาใช้กับโครงการอสังหาริมทรัพย์ในกลุ่มบริษัทแสนสิริ จำกัด (มหาชน) ทั้งหมด ขณะที่การบริหารจัดการดูแลอาคารภายนอกบริษัท จะให้บริษัท ทัช พร็อพเพอร์ตี้ ซึ่งเป็นบริษัทลูก เป็นผู้ดำเนินการ ซึ่ง มีโครงการทั้งหมดที่อยู่ระหว่างการบริหาร รวมทั้งสิ้น 145 โครงการ โดยในปีที่ผ่านมาบริษัทมีรายได้จากการบริหารโครงการ 230 ล้านบาท คาดว่าปีนี้รายได้จากธุรกิจดังกล่าวจะเติบโต 15% และคาดว่าในปีหน้าจะเติบโตไม่ต่ำกว่า 15% เช่นกัน
นายเมธา กล่าวต่อว่า ที่ผ่านมา เจ้าของอาคารอาจจะมองถึงการทำอย่างไรให้โครงการประหยัด เช่นอาจจะมีการดับไฟบางส่วน หรือมีการลดการใช้แม่บ้านหรือว่ายาม เป็นเพียงแค่ Property Management แต่การนำ Facility Management มาใช้นั้นจะเป็นการดูแลแบบองค์รวม ทั้งอาคารทุกส่วนเพื่อให้ประหยัด ได้ประโยชน์สูงสุดและยังสามารถเพิ่มมูลค่าได้ในระยะยาว
สำหรับแผนการดำเนินงานของบริษัท ทัช พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างการเสนอเข้าไปบริหารดูแลอาคารครบวงจรอีก 5-6 โครงการ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นอาคารสำนักงาน และอาคารประเภทพลาซ่าและสำนักงาน โดยในขณะนี้บริษัทมีงานในมือที่รับบริหารแล้ว 12 โครงการ ซึ่งล่าสุดได้รับงานเพื่อดูแลอาคารสภาผู้ตรวจสอบบัญชี บริเวณแยกอโศก
ตัวอย่างการบริหารจัดการอาคารที่เห็นได้ชัดเจน คือการบริหารอาคารสำนักงานของบริษัท ซีพี ออลล์ ซึ่งเป็นอาคารสูง 18 ชั้น บริเวณถ.สาทร ทำให้รายจ่ายต่อเดือนที่จะต้องดูแลรักษาอาคารลดลง จากเดือนละ 9 แสนบาท ขณะนี้เหลือ 8 แสนบาท และยังเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้อาคารอีกด้วย