บลจ.เอวายเอฟ ควักกำไรสะสม จ่ายเงินปันผลให้ผู้ถือหน่วยกองทุนเปิดหุ้นระยะยาวอยุธยาปันผล ในอัตราหน่วยลงทุนละ 0.6 บาท เผยรอบบัญชีล่าสุด โกยเงินปันผลจากบริษัทที่เข้าไปลงทุนประมาณ 75 ล้านบาท ระบุไม่ปรับเป้าแผนระดมทุน LTF-RMF ทั้งปี แม้เพดานลงทุนจะขยับเป็น 7 แสนบาท แต่ยังมั่นใจ ทั้ง 2 กองทุนช่วยกระตุ้นตลาดหุ้นไทยช่วงโค้งสุดท้าย
รายงานข่าวจากบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) อยุธยา จำกัด หรือเอวายเอฟ เปิดเผยว่า บริษัทในฐานะผู้จัดการกองทุนของกองทุนเปิดหุ้นระยะยาวอยุธยาปันผล (AYFLTFDIV) จะจ่ายเงินปันผลสำหรับรอบบัญชี 1 ต.ค. 50 – 30 ก.ย. 51 ให้กับผู้ถือหน่วยลงทุนที่มีรายชื่ออยู่ในสมุดทะเบียน ณ วันที่ 10 พ.ย. 51 โดยจะจ่ายเงินปันผลประมาณ 0.6000 บาทต่อหน่วยในวันที่ 21 พ.ย. 51ทั้งนี้ การจ่ายปันผลดังกล่าวเป็นการจ่ายปันผลครั้งที่ 4 ของกองทุน หลังจากก่อนหน้านี้ จ่ายไปแล้วทั้งหมด 3 ครั้ง โดยคิดเป็นจำนวนเงินที่จ่ายปันผลทั้งหมด 1.6500 บาท
สำหรับกองทุนเปิดหุ้นระยะยาวอยุธยาปันผล มีนโยบายลงทุนในหุ้นสามัญของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ไม่น้อยกว่าร้อยละ 75 โดยจะเน้นลงทุนในหุ้นที่มีแนวโน้มจ่ายเงินปันผลดีและหุ้นที่มีราคาหลักทรัพย์ตามราคาตลาดต่ำถึงปานกลาง และกองทุนจะไม่ลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Derivatives) และตราสารหนี้ที่มีการจ่ายผลตอบแทนอ้างอิงกับตัวแปร (Structured Note) นโยบายเงินปันผล จะจ่ายได้ก็ต่อเมื่อกองทุนมีกำไรสะสมและจะต้องไม่มีผลขาดทุนสะสมขึ้นในงวดปีบัญชีที่มีการจ่ายเงินปันผลนั้น
รายงานระบุว่า จากการสำรวจพอร์ตการลงทุนของกองทุนดังกล่าว 5 หมวดหลักทรัพย์แรกที่ลงทุน (ณ วันที่ 30 ก.ย. 2551) ประกอบด้วย หมวดพาณิชย์ หมวดเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร หมวดพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ หมวดธนาคาร หมวดประกันชีวิตและประกันภัย ส่วนหลักทรัพย์ 10 อันดับแรกที่ลงทุน ประกอบด้วย หุ้นสามัญบมจ.แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส 12.99%, บมจ.ธ.ทิสโก้ 9.68%, บมจ.สยามแม็คโคร 7.71%, บมจ.เอ็ม บี เค 7.53%, บมจ. ซีพี ออลล์ 6.84%, บมจ.บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ 6.37%, บมจ.ไทยรับประกันภัยต่อ 5.08%, บมจ.โกลว์ พลังงาน 5.02%, บมจ.ซีเอ็ดยูเคชั่น 4.27% และบมจ.ไทคอน อินดัสเทรียล คอนเน็คชั่น 4.16%
นายประภาส ตันพิบูลย์ศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บลจ.อยุธยา กล่าวว่า การจ่ายปันผลในรอบบัญชีนี้ เป็นการจ่ายปันผลจากกำไรสะสมที่กองทุนมีอยู่ เนื่องจากในรอบบัญชีนี้ผลการดำเนินงานของกองทุนออกมาขาดทุน ดังนั้น กองทุนจึงสามารถจ่ายปันผลให้กับผู้ถือหน่วยได้ ถึงแม้ที่ผ่านมาดัชนีหุ้นไทยจะปรับลดลงอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม หากในรอบบัญชีถัดไป ภาวะการลงทุนในตลาดไม่ดี กองทุนก็อาจจะไม่สามารถจ่ายปันผลให้กับผู้ถือหน่วยได้
ทั้งนี้ การที่กองทุนเปิดหุ้นระยะยาวอยุธยาปันผล มีนโยบายลงทุนในหุ้นที่มีอัตราการจ่ายปันผลสูงเป็นหลัก ทำให้ในรอบบัญชีที่ผ่านมา กองทุนได้รับเงินปันผลจากบริษัทที่กองทุนเข้าไปลงทุนประมาณ 75 ล้านบาท ซึ่งในการจ่ายปันผลให้กับผู้ถือหน่วยครั้งนี้ คิดเป็นจำนวนเงินประมาณ 63 ล้านบาท
นายประภาสกล่าวว่า สำหรับการลงทุนในช่วงที่เหลือของปี เชื่อว่าตลาดจะได้รับแรงสนับสนุนจากเงินลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาวหรือแอลทีเอฟ และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพหรืออาร์เอ็มเอฟ เป็นหลัก รวมถึงเงินลงทุนจากกองทุนแมชชิ่งฟันด์ด้วย อย่างไรก็ตาม บริษัทเองยังไม่มีการปรับเป้าการระดมทุนของกองทุนทั้ง 2 ประเภท ถึงแม้จะมีการเพิ่มวงเงินลงทุนสูงสุดจาก 500,000 บาท เป็น 700,000 บาทแล้วก็ตาม โดยบริษัทยังคงเป้าหมายการระดมทุนของกองทุนทั้ง 2 ประเภทไว้ที่ 1,000 ล้านบาทภายในปีนี้
รายงานข่าวจากบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) อยุธยา จำกัด หรือเอวายเอฟ เปิดเผยว่า บริษัทในฐานะผู้จัดการกองทุนของกองทุนเปิดหุ้นระยะยาวอยุธยาปันผล (AYFLTFDIV) จะจ่ายเงินปันผลสำหรับรอบบัญชี 1 ต.ค. 50 – 30 ก.ย. 51 ให้กับผู้ถือหน่วยลงทุนที่มีรายชื่ออยู่ในสมุดทะเบียน ณ วันที่ 10 พ.ย. 51 โดยจะจ่ายเงินปันผลประมาณ 0.6000 บาทต่อหน่วยในวันที่ 21 พ.ย. 51ทั้งนี้ การจ่ายปันผลดังกล่าวเป็นการจ่ายปันผลครั้งที่ 4 ของกองทุน หลังจากก่อนหน้านี้ จ่ายไปแล้วทั้งหมด 3 ครั้ง โดยคิดเป็นจำนวนเงินที่จ่ายปันผลทั้งหมด 1.6500 บาท
สำหรับกองทุนเปิดหุ้นระยะยาวอยุธยาปันผล มีนโยบายลงทุนในหุ้นสามัญของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ไม่น้อยกว่าร้อยละ 75 โดยจะเน้นลงทุนในหุ้นที่มีแนวโน้มจ่ายเงินปันผลดีและหุ้นที่มีราคาหลักทรัพย์ตามราคาตลาดต่ำถึงปานกลาง และกองทุนจะไม่ลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Derivatives) และตราสารหนี้ที่มีการจ่ายผลตอบแทนอ้างอิงกับตัวแปร (Structured Note) นโยบายเงินปันผล จะจ่ายได้ก็ต่อเมื่อกองทุนมีกำไรสะสมและจะต้องไม่มีผลขาดทุนสะสมขึ้นในงวดปีบัญชีที่มีการจ่ายเงินปันผลนั้น
รายงานระบุว่า จากการสำรวจพอร์ตการลงทุนของกองทุนดังกล่าว 5 หมวดหลักทรัพย์แรกที่ลงทุน (ณ วันที่ 30 ก.ย. 2551) ประกอบด้วย หมวดพาณิชย์ หมวดเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร หมวดพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ หมวดธนาคาร หมวดประกันชีวิตและประกันภัย ส่วนหลักทรัพย์ 10 อันดับแรกที่ลงทุน ประกอบด้วย หุ้นสามัญบมจ.แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส 12.99%, บมจ.ธ.ทิสโก้ 9.68%, บมจ.สยามแม็คโคร 7.71%, บมจ.เอ็ม บี เค 7.53%, บมจ. ซีพี ออลล์ 6.84%, บมจ.บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ 6.37%, บมจ.ไทยรับประกันภัยต่อ 5.08%, บมจ.โกลว์ พลังงาน 5.02%, บมจ.ซีเอ็ดยูเคชั่น 4.27% และบมจ.ไทคอน อินดัสเทรียล คอนเน็คชั่น 4.16%
นายประภาส ตันพิบูลย์ศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บลจ.อยุธยา กล่าวว่า การจ่ายปันผลในรอบบัญชีนี้ เป็นการจ่ายปันผลจากกำไรสะสมที่กองทุนมีอยู่ เนื่องจากในรอบบัญชีนี้ผลการดำเนินงานของกองทุนออกมาขาดทุน ดังนั้น กองทุนจึงสามารถจ่ายปันผลให้กับผู้ถือหน่วยได้ ถึงแม้ที่ผ่านมาดัชนีหุ้นไทยจะปรับลดลงอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม หากในรอบบัญชีถัดไป ภาวะการลงทุนในตลาดไม่ดี กองทุนก็อาจจะไม่สามารถจ่ายปันผลให้กับผู้ถือหน่วยได้
ทั้งนี้ การที่กองทุนเปิดหุ้นระยะยาวอยุธยาปันผล มีนโยบายลงทุนในหุ้นที่มีอัตราการจ่ายปันผลสูงเป็นหลัก ทำให้ในรอบบัญชีที่ผ่านมา กองทุนได้รับเงินปันผลจากบริษัทที่กองทุนเข้าไปลงทุนประมาณ 75 ล้านบาท ซึ่งในการจ่ายปันผลให้กับผู้ถือหน่วยครั้งนี้ คิดเป็นจำนวนเงินประมาณ 63 ล้านบาท
นายประภาสกล่าวว่า สำหรับการลงทุนในช่วงที่เหลือของปี เชื่อว่าตลาดจะได้รับแรงสนับสนุนจากเงินลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาวหรือแอลทีเอฟ และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพหรืออาร์เอ็มเอฟ เป็นหลัก รวมถึงเงินลงทุนจากกองทุนแมชชิ่งฟันด์ด้วย อย่างไรก็ตาม บริษัทเองยังไม่มีการปรับเป้าการระดมทุนของกองทุนทั้ง 2 ประเภท ถึงแม้จะมีการเพิ่มวงเงินลงทุนสูงสุดจาก 500,000 บาท เป็น 700,000 บาทแล้วก็ตาม โดยบริษัทยังคงเป้าหมายการระดมทุนของกองทุนทั้ง 2 ประเภทไว้ที่ 1,000 ล้านบาทภายในปีนี้
