บลจ.พรีมาเวสท์ระบุพิษเศรษฐกิจใน-นอก ซัดธุรกิจกองทุนรวมอืดทั้งปี หลัง 7 เดือนแรกขยายตัวแค่ 2% แต่ยังฮึดรอยอดระดมRMF-LTF ปลายปี พร้อมส่งกองทุนตราสารหนี้แบบรายเดือน หวังปั้นยอดAUM โตตามอตุสาหกรรม “เพิ่มพล”คาดสิ้นปีตลาดหุ้นไทยปรับตัวดีขึ้น คงน้ำหนักหุ้นตามเดิมที่ 80-90%
นายเพิ่มพล ประเสริฐล้ำ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.) พรีมาเวสท์ จำกัด เปิดเผยว่า ภาพรวมของธุรกิจกองทุนรวมในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยจากปัญหาเศรษฐกิจทั้งภายใน และภายนอกประเทศ โดยมีวงเงินลงทุนในธุรกิจทั้งหมดประมาณ 1.6 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นจากต้นปีประมาณ 2% เท่านั้น ซึ่งต่างจากในปี 2549-2550 ที่ธุรกิจกองทุนรวมมีการขยายตัวถึง 20%
ทั้งนี้ คาดว่าปัญหาเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นจะยังส่งผลกระทบต่อธุรกิจกองทุนรวมในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ อย่างไรก็ตามในช่วงปลายปีอาจมีเม็ดเงินที่จะเข้ามาในส่วนของกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ(RMF) และกองทุนรวมหุ้นระยะยาว(LTF) และทำให้ธุรกิจนี้ขยายตัวเพิ่มขึ้นได้เช่นกัน เพราะเป็นช่วงที่นักลงทุนนิยมเข้ามาลงทุนเพื่อใช้สิทธิ์ในการหักลดหย่อยภาษี
“ที่ผ่านมาทั้งกองหุ้น รวมถึง LTF-RMFไม่ดีเท่าไร เนื่องจากตลาดปรับตัวลดลง แต่ครึ่งปีหลังที่น่าจะดีขึ้น ยิ่งถ้าหุ้นรีบราวน์ยิ่งดี เพราะคนจะลงทุน LTF ช่วงใกล้สิ้นปี รวมกับสิทธิด้านวงเงินลงุทนที่เพิ่มขึ้นก็น่าจะส่งผลดีต่อกองทุนประเภทนี้”นายเพิ่มพลกล่าว
นายเพิ่มพล กล่าวอีกว่า การดำเนินงานของบริษัทในช่วงต้นปีที่ผ่านมามีสินทรัพย์รวมภายใต้การบริหาร(AUM) ลดลงประมาณ 22.22% อยู่ที่ 2.1 หมื่นล้านบาท จากช่วงต้นปีซึ่งอยู่ที่ 2.5 หมื่นล้านบาท โดยมีสาเหตุมาจากกองตราสารหนี้อายุ 1 ปีหลายกองทุนครบกำหนดอายุ อย่างไรก็ตามบริษัทมั่นใจว่าสิ้นปีนี้สินทรัพย์รวมฯ ของบริษัทจะยังเติบโตได้ตามการขยายตัวของอุตสาหกรรมอย่างแน่นอน
สำหรับ แผนการออกกองทุนของบริษัทในช่วงครึ่งหลังของปี 2551 บริษัทจะเน้นออกกองทุนตราสารหนี้เพิ่มมากขึ้น โดยจะเป็นกองทุนประเภทคุ้มครองเงินต้นอายุ 1 ปี ที่จะมีออกมาทุกเดือน รวมทั้งกองทุนตราสารหนี้อายุ 3 เดือนที่จะมีครบกำหนดอายุให้ลงทุนทุกเดือนเช่นเดียวกัน
นอกจากนี้ บริษัทยังอยู่ระหว่างพิจารณาออกกองทุนตราสารหนี้อายุยาว 1 ปีครึ่ง หรือ 2 ปีเพิ่มเติมด้วย เพื่อล็อกผลตอบแทนที่สูงเอาไว้ให้กับผู้ลงทุน
“ไม่ใช่แค่กองตราสารหนี้ในประเทศที่เราวางแผนไว้ แต่กอง FIF ก็น่าจะมีเพิ่มอีกประมาณ2 กอง โดยหนึ่งในนั้นจะเป็นกองทุนหุ้นที่ลงทุนในหน่วยลงทุนของ กองทุนต่างประเทศ ที่มีนโยบายลงทุนในตลาดหุ้นทั่วโลก รวมถึงสหรัฐอเมริกาด้วย”นายเพิ่มพลกล่าว
นายเพิ่มพล กล่าวอีกว่า แนวโน้มการลงทุนในกองตราสารหนี้ของนักลงทุนคงจะเพิ่มมากขึ้นในช่วงนี้ เนื่องจากสถานการณ์ตลาดหลักทรัพย์อยู่ในช่วงที่มีการปรับตัวลดลงอย่างมาก และส่งผลกระทบไปถึงกองทุนหุ้นที่เรามีอยู่
ทั้งนี้ บริษัทได้มีการปรับอายุการลงทุนในกองทุนตรสารหนี้บางกอง เนื่องจากคาดว่าอัตราดอกเบี้ยอาจปรับตัวลดลงได้ เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มลดลง จากราคาน้ำมันที่ทยอยปรับตัวลงในช่วงที่ผ่านมา
“ที่ต้องเปลี่ยนอายุจนกระทบยิลด์บางกอง เพราะคาดว่าดอกเบี้ยจะลง ซึ่งจะทำให้ราคาบอนด์ที่ลงทุนจะสูงขึ้น โดยในช่วงแรกมันจะตกก่อนเล็กน้อย เพราะดอกเบี้ยมันปรับขึ้น แต่เชื่อว่ามันจะปรับตัวสูงขึ้นหลังจากนี้”นายเพิ่มพลกล่าว
ขณะที่การลงทุนในตราสารทุน ทางบริษัทยังมั่นใจว่าเป็นจังหวะที่ดี และคาดว่าดัชนีจะปรับตัวดีขึ้นกว่าช่วงต้นปีได้ และจะคงน้ำหนักการลงทุนในหุ้นอยู่ถึงร้อยละ 80-90 ตลอดเวลา แต่อาจมีการปรับเปลี่ยนสินทรัพย์ที่เข้าไปลงทุนจากพอร์ตเดิมบางบ้างช่วงด้วยน้ำหนักการลงทุนเท่าเดิม
นายเพิ่มพล กล่าวอีกว่า ในส่วนของธุรกิจกองทุนส่วนบุคคลของบริษัทยังทรงตัวอยู่ในระดับเดิมจากช่วงต้นปี โดยมีสินทรัพย์สุทธิรวมกันประมาณ 200-300 ล้านบาท และลูกค้าของบริษัทในปัจจุบันจะเป็นลูกค้ารายย่อยทั้งหมด ซึ่งแต่ละรายจะต้องมีเงินลงทุนขั้นต่ำ 10 ล้านบาทถึงจะสามารถใช้บริการในส่วนนี้ได้
สำหรับแนวทางการ การขยายกองทุนส่วนบุคคลนั้น คงจะต้องเข้าไปในส่วนของลูกค้านิติบุคคลมากขึ้น เพราะบริษัทยังมีขนาดเล็กทำให้เข้าถึงลูกค้าสถาบันได้ลำบาก ส่วนลูกค้าที่เป็นสหกรณ์ หรือมูลนิธินั้น คิดว่าเป็นตลาดที่มีความยุ่งยากมากเกิน เพราะติดเงื่อนไขด้านการตัดสิ้นใจ เนื่องจากมีคณะกรรมอยู่หลายคนเกินไปในแตะสหกรร์หรือมูลนิธิ
นายเพิ่มพล กล่าวอีกว่า การที่ธนาคารพาณิชย์มีการระดมเงินฝากมากขึ้น เนื่องจากเกรงว่า หลังจากที่ พ.ร.บ.สถาบันคุ้มครองเงินฝากที่จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 11 ส.ค. 51 นี้ จะมีเงินฝากบางส่วนไหลออกมาก็เป็นได้
อย่างไรก็ตามในส่วนของกองทุนคุ้มครองเงินต้นที่ลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล อายุ 1 ปีของบริษัทในปัจจุบันยังค่อนข้างดีเมื่อเทียบกับเงินฝากธนาคารในระยะเวลาที่ใกล้กันปีคือประมาณ 3.7-3.8%ต่อ แต่ยังมีข้อได้เปรียบที่ไม่ต้องนำไปเสียภาษี โดยน่าจะเป็นทางเลือกให้นักลงทุน แม้จะมีการระดมเงินฝากจากธนาคารได้เช่นกัน
นายเพิ่มพล ประเสริฐล้ำ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.) พรีมาเวสท์ จำกัด เปิดเผยว่า ภาพรวมของธุรกิจกองทุนรวมในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยจากปัญหาเศรษฐกิจทั้งภายใน และภายนอกประเทศ โดยมีวงเงินลงทุนในธุรกิจทั้งหมดประมาณ 1.6 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นจากต้นปีประมาณ 2% เท่านั้น ซึ่งต่างจากในปี 2549-2550 ที่ธุรกิจกองทุนรวมมีการขยายตัวถึง 20%
ทั้งนี้ คาดว่าปัญหาเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นจะยังส่งผลกระทบต่อธุรกิจกองทุนรวมในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ อย่างไรก็ตามในช่วงปลายปีอาจมีเม็ดเงินที่จะเข้ามาในส่วนของกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ(RMF) และกองทุนรวมหุ้นระยะยาว(LTF) และทำให้ธุรกิจนี้ขยายตัวเพิ่มขึ้นได้เช่นกัน เพราะเป็นช่วงที่นักลงทุนนิยมเข้ามาลงทุนเพื่อใช้สิทธิ์ในการหักลดหย่อยภาษี
“ที่ผ่านมาทั้งกองหุ้น รวมถึง LTF-RMFไม่ดีเท่าไร เนื่องจากตลาดปรับตัวลดลง แต่ครึ่งปีหลังที่น่าจะดีขึ้น ยิ่งถ้าหุ้นรีบราวน์ยิ่งดี เพราะคนจะลงทุน LTF ช่วงใกล้สิ้นปี รวมกับสิทธิด้านวงเงินลงุทนที่เพิ่มขึ้นก็น่าจะส่งผลดีต่อกองทุนประเภทนี้”นายเพิ่มพลกล่าว
นายเพิ่มพล กล่าวอีกว่า การดำเนินงานของบริษัทในช่วงต้นปีที่ผ่านมามีสินทรัพย์รวมภายใต้การบริหาร(AUM) ลดลงประมาณ 22.22% อยู่ที่ 2.1 หมื่นล้านบาท จากช่วงต้นปีซึ่งอยู่ที่ 2.5 หมื่นล้านบาท โดยมีสาเหตุมาจากกองตราสารหนี้อายุ 1 ปีหลายกองทุนครบกำหนดอายุ อย่างไรก็ตามบริษัทมั่นใจว่าสิ้นปีนี้สินทรัพย์รวมฯ ของบริษัทจะยังเติบโตได้ตามการขยายตัวของอุตสาหกรรมอย่างแน่นอน
สำหรับ แผนการออกกองทุนของบริษัทในช่วงครึ่งหลังของปี 2551 บริษัทจะเน้นออกกองทุนตราสารหนี้เพิ่มมากขึ้น โดยจะเป็นกองทุนประเภทคุ้มครองเงินต้นอายุ 1 ปี ที่จะมีออกมาทุกเดือน รวมทั้งกองทุนตราสารหนี้อายุ 3 เดือนที่จะมีครบกำหนดอายุให้ลงทุนทุกเดือนเช่นเดียวกัน
นอกจากนี้ บริษัทยังอยู่ระหว่างพิจารณาออกกองทุนตราสารหนี้อายุยาว 1 ปีครึ่ง หรือ 2 ปีเพิ่มเติมด้วย เพื่อล็อกผลตอบแทนที่สูงเอาไว้ให้กับผู้ลงทุน
“ไม่ใช่แค่กองตราสารหนี้ในประเทศที่เราวางแผนไว้ แต่กอง FIF ก็น่าจะมีเพิ่มอีกประมาณ2 กอง โดยหนึ่งในนั้นจะเป็นกองทุนหุ้นที่ลงทุนในหน่วยลงทุนของ กองทุนต่างประเทศ ที่มีนโยบายลงทุนในตลาดหุ้นทั่วโลก รวมถึงสหรัฐอเมริกาด้วย”นายเพิ่มพลกล่าว
นายเพิ่มพล กล่าวอีกว่า แนวโน้มการลงทุนในกองตราสารหนี้ของนักลงทุนคงจะเพิ่มมากขึ้นในช่วงนี้ เนื่องจากสถานการณ์ตลาดหลักทรัพย์อยู่ในช่วงที่มีการปรับตัวลดลงอย่างมาก และส่งผลกระทบไปถึงกองทุนหุ้นที่เรามีอยู่
ทั้งนี้ บริษัทได้มีการปรับอายุการลงทุนในกองทุนตรสารหนี้บางกอง เนื่องจากคาดว่าอัตราดอกเบี้ยอาจปรับตัวลดลงได้ เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มลดลง จากราคาน้ำมันที่ทยอยปรับตัวลงในช่วงที่ผ่านมา
“ที่ต้องเปลี่ยนอายุจนกระทบยิลด์บางกอง เพราะคาดว่าดอกเบี้ยจะลง ซึ่งจะทำให้ราคาบอนด์ที่ลงทุนจะสูงขึ้น โดยในช่วงแรกมันจะตกก่อนเล็กน้อย เพราะดอกเบี้ยมันปรับขึ้น แต่เชื่อว่ามันจะปรับตัวสูงขึ้นหลังจากนี้”นายเพิ่มพลกล่าว
ขณะที่การลงทุนในตราสารทุน ทางบริษัทยังมั่นใจว่าเป็นจังหวะที่ดี และคาดว่าดัชนีจะปรับตัวดีขึ้นกว่าช่วงต้นปีได้ และจะคงน้ำหนักการลงทุนในหุ้นอยู่ถึงร้อยละ 80-90 ตลอดเวลา แต่อาจมีการปรับเปลี่ยนสินทรัพย์ที่เข้าไปลงทุนจากพอร์ตเดิมบางบ้างช่วงด้วยน้ำหนักการลงทุนเท่าเดิม
นายเพิ่มพล กล่าวอีกว่า ในส่วนของธุรกิจกองทุนส่วนบุคคลของบริษัทยังทรงตัวอยู่ในระดับเดิมจากช่วงต้นปี โดยมีสินทรัพย์สุทธิรวมกันประมาณ 200-300 ล้านบาท และลูกค้าของบริษัทในปัจจุบันจะเป็นลูกค้ารายย่อยทั้งหมด ซึ่งแต่ละรายจะต้องมีเงินลงทุนขั้นต่ำ 10 ล้านบาทถึงจะสามารถใช้บริการในส่วนนี้ได้
สำหรับแนวทางการ การขยายกองทุนส่วนบุคคลนั้น คงจะต้องเข้าไปในส่วนของลูกค้านิติบุคคลมากขึ้น เพราะบริษัทยังมีขนาดเล็กทำให้เข้าถึงลูกค้าสถาบันได้ลำบาก ส่วนลูกค้าที่เป็นสหกรณ์ หรือมูลนิธินั้น คิดว่าเป็นตลาดที่มีความยุ่งยากมากเกิน เพราะติดเงื่อนไขด้านการตัดสิ้นใจ เนื่องจากมีคณะกรรมอยู่หลายคนเกินไปในแตะสหกรร์หรือมูลนิธิ
นายเพิ่มพล กล่าวอีกว่า การที่ธนาคารพาณิชย์มีการระดมเงินฝากมากขึ้น เนื่องจากเกรงว่า หลังจากที่ พ.ร.บ.สถาบันคุ้มครองเงินฝากที่จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 11 ส.ค. 51 นี้ จะมีเงินฝากบางส่วนไหลออกมาก็เป็นได้
อย่างไรก็ตามในส่วนของกองทุนคุ้มครองเงินต้นที่ลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล อายุ 1 ปีของบริษัทในปัจจุบันยังค่อนข้างดีเมื่อเทียบกับเงินฝากธนาคารในระยะเวลาที่ใกล้กันปีคือประมาณ 3.7-3.8%ต่อ แต่ยังมีข้อได้เปรียบที่ไม่ต้องนำไปเสียภาษี โดยน่าจะเป็นทางเลือกให้นักลงทุน แม้จะมีการระดมเงินฝากจากธนาคารได้เช่นกัน