ASTV ผู้จัดการรายวัน – เม็ดเงินทั้งระบบอุตสาหกรรมกองทุนรวม เดือนพฤศจิกายน เริ่มอยู่ตัวไม่วูบหายเหมือนช่วงก่อนหน้านี้ โดยปรับตัวลดลงเพียง 3.3 พันล้านบาท อยู่ที่ 1.32 ล้านล้านบาท ระบุยอดเงินกองทุนหุ้นยังหดตัว แต่กองบอนด์เม็ดเงินเพิ่ม ผู้จัดการกองทุนชี้ธันวาคมนี้ LTF-RMF และกองตราสารหนี้จะเป็นพระเอก
สมาคมบริษัทจัดการลงทุน (สมาคม บลจ.) รายงานตัวเลขเงินลงทุนในกองทุนรวม สิ้นสุดเดือนพฤศจิกายน 2551 พบว่า ธุรกิจกองทุนรวมทั้งระบบมีเงินลงทุนรวม 1,328,923.67 ล้านบาท ลดลง 3,361.47 ล้านบาท จากยอดเงินเมื่อช่วงสิ้นเดือนตุลาคมที่มีอยู่ที่ระดับ1,332,285.14 ล้านบาท
สำหรับ การประตัวลดลงในครั้งนี้ แม้เป็นการปรับตัวลดลงต่อเนื่อง แต่เป็นการปรับตัวลงเพียงเล็กน้อยหากเปรียบเทียบกับ63,885.36 ล้านบาท ในช่วงปลายเดือนตุลาคม และหากเทียบกับเงินลงทุนในกองทุนรวมทั้งระบบ 1,426,626.92 ล้านบาท ในช่วงปลายปีที่ผ่านมา คิดเป็นจำนวนเงินที่ลดลงถึง 97,703.25 ล้านบาท
โดยจากการสำรวจเงินลงทุนแยกตามประเภทพบว่า กองทุนหุ้นมีเงินลงทุนรวมทั้งสิ้น 235,930.696 ล้านบาท ลดลง 3,773.32 ล้านบาท จากเงินลงทุนรวม 239,704.01 ล้านบาท ในเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา สาเหตุที่กองทุนหุ้นลดลงค่อนข้างมาก เนื่องจากดัชนีหุ้นไทยมีความผันผวนมาก จากการเทขายของนักลงทุนต่างชาติอย่างต่อเนื่อง เพื่อนำไปชดเชยการขาดทุนจากวิกฤตการเงิน จนส่งผลให้ราคาหุ้นหลายตัวปรับลดลงต่ำกว่ามูลค่าพื้นฐานของหุ้น
อย่างไรก็ตาม ในส่วนกองทุนตราสารหนี้เองมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น จากการที่บริษัทจัดการกองทุนหลายแห่ง ทยอยออกกองทุนรวมตราสารหนี้พันธบัตรรัฐบาลในประเทศ ออกมารองรับความต้องการของนักลงทุนที่ไม่ต้องการนำเงินไปลงทุนในต่างประเทศที่มีความเสี่ยงสูงโดยเงินลงทุนรวมในกองทุนตราสารหนี้มีอยู่ทั้งสิ้น 968,977.69 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,309.11 ล้านบาท จากงวดก่อนที่มี 967,668.52 ล้านบาท
นายกำพล อัศวกุลชัย รองกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ทหารไทย จำกัด กล่าวว่าสาเหตุที่เม็ดเงินลงทุนในอุตสาหกรรมกองทุนรวมทั้งระบบชะลอการปรับตัวลดลงนั้น ส่วนหนึ่งน่าจะมาจากการปรับเพิ่มขึ้นของมูลค่าเอ็นเอวีในกองทุนหุ้น ที่มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นไปบ้างในเดือนพฤศจิกายนก่อนจะปรับตัวลดลงอีกครั้ง อีกสาเหตุน่าจะมาจากการที่นักลงทุนให้ความสำคัญกับการลงทุนในกองทุนรวมตราสารหนี้มากขึ้น โดยเฉพาะกองทุนรวมตราสารหนี้พันธบัตรรัฐบาลไทย ที่หลายบริษัทเปิดขาย จึงทำให้มีเม็ดเงินเข้าในกองทุนประเภทนี้เพิ่มขึ้น
ขณะเดียวกัน สาเหตุหนึ่งที่ทำให้เม็ดเงินลงทุนทั้งระบบปรับตัวลดลงนั้น ยังมาจากการให้อัตราดอกเบี้ยพิเศษในการฝากเงินของบรรดาธนาคารพาณิชย์ต่างๆ อีกทั้งขณะนี้มีนักลงทุนบางส่วนได้ถอนหน่วยลงทุนไปเพื่อเข้าไปลงทุนในหุ้นกู้ของบริษัทจดทะเบียนแทน เพราะให้อัตราผลตอบแทนในระดับที่สูง เช่นหุ้นกู้ของ PTTCH เป็นต้น
ส่วนแนวโน้มอุตสาหกรรมกองทุนรวมในเดือนธันวาคมนี้ ประเมินว่ายอดเงินทั้งระบบจะเพิ่มขึ้นจากกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (แอลทีเอฟ) และกองทุนเพื่อการเลี้ยงชีพ (อาร์เอ็มเอฟ)ภทนี้เพิ่มขึ้น
ที่นักลงทุนจะหันมาให้ความสนใจเพิ่มขึ้นในช่วงปลายปี เพื่อรับสิทธิประโยชน์ในการลดหย่อนภาษี นอกจากนี้กองทุนรวมตราสารหนี้ในประเทศ จะเป็นอีกช่องหนึ่งที่นักลงทุนยังให้ความสำคัญ
สมาคมบริษัทจัดการลงทุน (สมาคม บลจ.) รายงานตัวเลขเงินลงทุนในกองทุนรวม สิ้นสุดเดือนพฤศจิกายน 2551 พบว่า ธุรกิจกองทุนรวมทั้งระบบมีเงินลงทุนรวม 1,328,923.67 ล้านบาท ลดลง 3,361.47 ล้านบาท จากยอดเงินเมื่อช่วงสิ้นเดือนตุลาคมที่มีอยู่ที่ระดับ1,332,285.14 ล้านบาท
สำหรับ การประตัวลดลงในครั้งนี้ แม้เป็นการปรับตัวลดลงต่อเนื่อง แต่เป็นการปรับตัวลงเพียงเล็กน้อยหากเปรียบเทียบกับ63,885.36 ล้านบาท ในช่วงปลายเดือนตุลาคม และหากเทียบกับเงินลงทุนในกองทุนรวมทั้งระบบ 1,426,626.92 ล้านบาท ในช่วงปลายปีที่ผ่านมา คิดเป็นจำนวนเงินที่ลดลงถึง 97,703.25 ล้านบาท
โดยจากการสำรวจเงินลงทุนแยกตามประเภทพบว่า กองทุนหุ้นมีเงินลงทุนรวมทั้งสิ้น 235,930.696 ล้านบาท ลดลง 3,773.32 ล้านบาท จากเงินลงทุนรวม 239,704.01 ล้านบาท ในเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา สาเหตุที่กองทุนหุ้นลดลงค่อนข้างมาก เนื่องจากดัชนีหุ้นไทยมีความผันผวนมาก จากการเทขายของนักลงทุนต่างชาติอย่างต่อเนื่อง เพื่อนำไปชดเชยการขาดทุนจากวิกฤตการเงิน จนส่งผลให้ราคาหุ้นหลายตัวปรับลดลงต่ำกว่ามูลค่าพื้นฐานของหุ้น
อย่างไรก็ตาม ในส่วนกองทุนตราสารหนี้เองมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น จากการที่บริษัทจัดการกองทุนหลายแห่ง ทยอยออกกองทุนรวมตราสารหนี้พันธบัตรรัฐบาลในประเทศ ออกมารองรับความต้องการของนักลงทุนที่ไม่ต้องการนำเงินไปลงทุนในต่างประเทศที่มีความเสี่ยงสูงโดยเงินลงทุนรวมในกองทุนตราสารหนี้มีอยู่ทั้งสิ้น 968,977.69 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,309.11 ล้านบาท จากงวดก่อนที่มี 967,668.52 ล้านบาท
นายกำพล อัศวกุลชัย รองกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ทหารไทย จำกัด กล่าวว่าสาเหตุที่เม็ดเงินลงทุนในอุตสาหกรรมกองทุนรวมทั้งระบบชะลอการปรับตัวลดลงนั้น ส่วนหนึ่งน่าจะมาจากการปรับเพิ่มขึ้นของมูลค่าเอ็นเอวีในกองทุนหุ้น ที่มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นไปบ้างในเดือนพฤศจิกายนก่อนจะปรับตัวลดลงอีกครั้ง อีกสาเหตุน่าจะมาจากการที่นักลงทุนให้ความสำคัญกับการลงทุนในกองทุนรวมตราสารหนี้มากขึ้น โดยเฉพาะกองทุนรวมตราสารหนี้พันธบัตรรัฐบาลไทย ที่หลายบริษัทเปิดขาย จึงทำให้มีเม็ดเงินเข้าในกองทุนประเภทนี้เพิ่มขึ้น
ขณะเดียวกัน สาเหตุหนึ่งที่ทำให้เม็ดเงินลงทุนทั้งระบบปรับตัวลดลงนั้น ยังมาจากการให้อัตราดอกเบี้ยพิเศษในการฝากเงินของบรรดาธนาคารพาณิชย์ต่างๆ อีกทั้งขณะนี้มีนักลงทุนบางส่วนได้ถอนหน่วยลงทุนไปเพื่อเข้าไปลงทุนในหุ้นกู้ของบริษัทจดทะเบียนแทน เพราะให้อัตราผลตอบแทนในระดับที่สูง เช่นหุ้นกู้ของ PTTCH เป็นต้น
ส่วนแนวโน้มอุตสาหกรรมกองทุนรวมในเดือนธันวาคมนี้ ประเมินว่ายอดเงินทั้งระบบจะเพิ่มขึ้นจากกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (แอลทีเอฟ) และกองทุนเพื่อการเลี้ยงชีพ (อาร์เอ็มเอฟ)ภทนี้เพิ่มขึ้น
ที่นักลงทุนจะหันมาให้ความสนใจเพิ่มขึ้นในช่วงปลายปี เพื่อรับสิทธิประโยชน์ในการลดหย่อนภาษี นอกจากนี้กองทุนรวมตราสารหนี้ในประเทศ จะเป็นอีกช่องหนึ่งที่นักลงทุนยังให้ความสำคัญ