บลจ. อเบอร์ดีน กระตุ้นกองทุน LTF-RMF เอาใจลูกค้ามอบโปรโมชั่น บัตรกำนัลเซ็นทรัล มูลค่า 200 บาท และสูงสุด 2,500 บาท แนะ นักลงทุน ควรลงทุนแบบทยอยซื้อ ตามแผนการลงทุน MIP เพื่อผลตอบแทนที่ดีกว่าซื้อแบบครั้งเดียว
นายชัยเกษม วัฒนศิริพงษ์ หัวหน้าฝ่ายจัดจำหน่ายกองทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) อเบอร์ดีน จำกัด เปิดเผยว่า หลังจากที่บริษัทได้ประสบความสำเร็จในการเปิดขายหน่วยลงทุน กองทุนเปิด อเบอร์ดีน ไชน่า เกทเวย์ ฟันด์ ด้วยยอดจองซื้อหน่วยลงทุนร่วม 500 ล้านบาทและถือเป็นกองทุนรวมต่างประเทศกองที่ 6 ของบริษัท ซึ่งนอกจากกองทุนที่ลงทุนต่างประเทศแล้ว บลจ.อเบอร์ดีนยังมีแผนงานที่จะประชาสัมพันธ์ในส่วนของกองทุนรวมเพื่อสิทธิประโยชน์ทางภาษี ซึ่งปัจจุบันอเบอร์ดีนมีกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) จำนวน 1 กองทุน คือ กองทุนเปิดอเบอร์ดีน หุ้นระยะยาว และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) จำนวน 2 กองทุน คือ กองทุนเปิดอเบอร์ดีน สมาร์ทแคปปิตอล เพื่อการเลี้ยงชีพ ซึ่งมีนโยบายลงทุนในตราสารทุน และกองทุนเปิดอเบอร์ดีน สมาร์ทอินคัม เพื่อการเลี้ยงชีพ ที่มีนโยบายในการลงทุนในตราสารหนี้
โดยในปีนี้ อเบอร์ดีนได้จัดรายการส่งเสริมการขาย สำหรับลูกค้าที่ลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาว และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ โดยนักลงทุนสามารถสะสมยอดการลงทุนได้ตลอดทั้งปี 2552 เพื่อรับบัตรกำนัลเซ็นทรัล มูลค่า 200 บาท และสูงสุด 2,500 บาท ขึ้นอยู่กับยอดเงินลงทุนสะสม
ทั้งนี้ ยังได้แนะนำนักลงทุนด้วยว่า เนื่องจากตลาดหุ้นนั้นมีความผันผวน แและมีความเสี่ยง ซึ่งการลงทุนในหุ้นที่เหมาะสมและถูกต้องที่สุดคือ การลงทุนแบบเฉลี่ยเพื่อให้นักลงทุนได้ซื้อหุ้นในหลายราคา และให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าการซื้อเพียงครั้งเดียวในช่วงที่ตลาดหุ้นตก โดย เมื่อไม่นานมานี้ ทางอเบอร์ดีนได้เสนอบริการใหม่ล่าสุด คือแผนการลงทุนแบบรายเดือน (Monthly Investment Plan : MIP) ที่สามารถลงทุนด้วยยอดเงินลงทุนที่เท่ากันทุกๆ เดือน ซึ่งจะช่วยทำให้การลงทุนมีประสิทธิภาพ เป็นระบบมากขึ้น และยังสามารถสร้างวินัยในการลงทุนให้กับนักลงทุนของอเบอร์ดีนได้อีกด้วย
สำหรับกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (Provident Fund) ของบริษัทนั้น ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาจนถึงเดือนสิงหาคม กองทุนสำรองเลี้ยงชีพของบริษัทมีขนาดโตขึ้นมา 300 กว่าล้านบาท หรือ 22.2% เนื่องจากได้รับความสนใจจากลูกค้าของบริษัทที่ลงทุนอยู่ แม้ว่าจะไม่มีลูกค้ารายใหม่เพิ่มขึ้นมา
โดยในขณะนี้ บริษัทกำลังศึกษาถึงเรื่องของลูกค้าที่จะเข้ามาลงทุนในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะต้องเป็นลูกค้าที่จะต้องมีความเข้าใจถึงนโยบายการบริหารงานของบริษัทรวมถึงต้องเป็นลูกค้าที่มีความสนใจในการลงทุนในหุ้นด้วยเช่นกัน เพราะส่วนใหญ่กองทุนสำรองเลี้ยงชีพของบลจ.อเบอร์ดีนลงทุนอยู่ในพันธบัตร
ขณะเดียวกัน ข้อดีของกองทุนสำรองเลี้ยงชีพของบลจ.อเบอร์ดีน นั้น สามารถลงทุนในกองทุนที่ลงทุนในต่างประเทศ (FIF) ได้ ซึ่งถือเป็นทางเลือกที่ดีทางหนึ่งของนักลงทุน เพราะนักลงทุนส่วนใหญ่เริ่มไม่ต้องการให้เงินลงทุนของตนเองลงทุนอยู่ในตลาดไทยเท่านั้น เพราะมองว่าควรมีการลงทุนในหลักทรัพย์อื่นๆบ้าง เพื่อเป็นการกระจายความเสี่ยง รวมทั้งเพื่อให้ได้รับผลตอบแทนที่ดี
นายชัยเกษม วัฒนศิริพงษ์ หัวหน้าฝ่ายจัดจำหน่ายกองทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) อเบอร์ดีน จำกัด เปิดเผยว่า หลังจากที่บริษัทได้ประสบความสำเร็จในการเปิดขายหน่วยลงทุน กองทุนเปิด อเบอร์ดีน ไชน่า เกทเวย์ ฟันด์ ด้วยยอดจองซื้อหน่วยลงทุนร่วม 500 ล้านบาทและถือเป็นกองทุนรวมต่างประเทศกองที่ 6 ของบริษัท ซึ่งนอกจากกองทุนที่ลงทุนต่างประเทศแล้ว บลจ.อเบอร์ดีนยังมีแผนงานที่จะประชาสัมพันธ์ในส่วนของกองทุนรวมเพื่อสิทธิประโยชน์ทางภาษี ซึ่งปัจจุบันอเบอร์ดีนมีกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) จำนวน 1 กองทุน คือ กองทุนเปิดอเบอร์ดีน หุ้นระยะยาว และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) จำนวน 2 กองทุน คือ กองทุนเปิดอเบอร์ดีน สมาร์ทแคปปิตอล เพื่อการเลี้ยงชีพ ซึ่งมีนโยบายลงทุนในตราสารทุน และกองทุนเปิดอเบอร์ดีน สมาร์ทอินคัม เพื่อการเลี้ยงชีพ ที่มีนโยบายในการลงทุนในตราสารหนี้
โดยในปีนี้ อเบอร์ดีนได้จัดรายการส่งเสริมการขาย สำหรับลูกค้าที่ลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาว และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ โดยนักลงทุนสามารถสะสมยอดการลงทุนได้ตลอดทั้งปี 2552 เพื่อรับบัตรกำนัลเซ็นทรัล มูลค่า 200 บาท และสูงสุด 2,500 บาท ขึ้นอยู่กับยอดเงินลงทุนสะสม
ทั้งนี้ ยังได้แนะนำนักลงทุนด้วยว่า เนื่องจากตลาดหุ้นนั้นมีความผันผวน แและมีความเสี่ยง ซึ่งการลงทุนในหุ้นที่เหมาะสมและถูกต้องที่สุดคือ การลงทุนแบบเฉลี่ยเพื่อให้นักลงทุนได้ซื้อหุ้นในหลายราคา และให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าการซื้อเพียงครั้งเดียวในช่วงที่ตลาดหุ้นตก โดย เมื่อไม่นานมานี้ ทางอเบอร์ดีนได้เสนอบริการใหม่ล่าสุด คือแผนการลงทุนแบบรายเดือน (Monthly Investment Plan : MIP) ที่สามารถลงทุนด้วยยอดเงินลงทุนที่เท่ากันทุกๆ เดือน ซึ่งจะช่วยทำให้การลงทุนมีประสิทธิภาพ เป็นระบบมากขึ้น และยังสามารถสร้างวินัยในการลงทุนให้กับนักลงทุนของอเบอร์ดีนได้อีกด้วย
สำหรับกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (Provident Fund) ของบริษัทนั้น ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาจนถึงเดือนสิงหาคม กองทุนสำรองเลี้ยงชีพของบริษัทมีขนาดโตขึ้นมา 300 กว่าล้านบาท หรือ 22.2% เนื่องจากได้รับความสนใจจากลูกค้าของบริษัทที่ลงทุนอยู่ แม้ว่าจะไม่มีลูกค้ารายใหม่เพิ่มขึ้นมา
โดยในขณะนี้ บริษัทกำลังศึกษาถึงเรื่องของลูกค้าที่จะเข้ามาลงทุนในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะต้องเป็นลูกค้าที่จะต้องมีความเข้าใจถึงนโยบายการบริหารงานของบริษัทรวมถึงต้องเป็นลูกค้าที่มีความสนใจในการลงทุนในหุ้นด้วยเช่นกัน เพราะส่วนใหญ่กองทุนสำรองเลี้ยงชีพของบลจ.อเบอร์ดีนลงทุนอยู่ในพันธบัตร
ขณะเดียวกัน ข้อดีของกองทุนสำรองเลี้ยงชีพของบลจ.อเบอร์ดีน นั้น สามารถลงทุนในกองทุนที่ลงทุนในต่างประเทศ (FIF) ได้ ซึ่งถือเป็นทางเลือกที่ดีทางหนึ่งของนักลงทุน เพราะนักลงทุนส่วนใหญ่เริ่มไม่ต้องการให้เงินลงทุนของตนเองลงทุนอยู่ในตลาดไทยเท่านั้น เพราะมองว่าควรมีการลงทุนในหลักทรัพย์อื่นๆบ้าง เพื่อเป็นการกระจายความเสี่ยง รวมทั้งเพื่อให้ได้รับผลตอบแทนที่ดี
