xs
xsm
sm
md
lg

บาทอ่อนดันราคาทองคำพุ่ง

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ASTVผู้จัดการรายวัน - นายแบงก์กังวลการเคลื่อนไหวเงินบาท ชี้ช่วงนี้อ่อนค่าค่อนข้างรวดเร็วเป็นผลจากเงินดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้น แต่ยังมีปัจจัยเฉพาะของไทยที่ต้นปีบาททรงตัวขณะที่เพื่อนบ้านที่อ่อนค่า
เหตุ ธปท.ที่ต้องการตรึงให้นิ่งจนกระทบยอดส่งออกที่ลดลง เผยบาทวานนี้แตะ 35.60 บาทต่อดอลลาร์ ผู้ว่าแบงก์ชาติชี้ค่าบาทจากนี้มีทิศทางอ่อนตัว แต่เป็นไปตามภูมิภาค ด้านทองคำล่าสุดวานนี่้ย่อตัวลงมา ผู้บริหาร บลจ. ชี้เป็นไปตามแรงเทขายทางเทคนิคของนักลงทุนที่เข้ามาเก็งกำไร สมาคมทองเชื่อแนวโน้มผันผวนขาขึ้น

นายกอบสิทธิ์์ ศิลปชัย ผู้บริหารงานวิจัยเศรษฐกิจและตลาดทุน ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การอ่อนค่าของเงินบาทในช่วงสัปดาห์นี้ นับว่าอ่อนค่าลงค่อนข้างรวดเร็ว ซึ่งก็มีปัจจัยส่วนหนึ่งมาจากค่าเงินดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้น และอีกส่วนมาจากตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาเงินบาทค่อนข้างนิ่ง ในขณะที่ค่าเงินสกุลอื่นในภูมิภาคอ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่อง ทำให้เงินบาทแข็งค่ากว่าเงินสกุลอื่น อาทิ แข็งค่ากว่าเงินเยน 1% ดอลลาร์ไต้หวัน 2.3% ดอลลาร์สิงคโปร์ 2% ริงกิตติมาเลเซีย 3.2% รูเปียะอินโดนีเซีย 6.8% และยูโร 7.7% ขณะที่เงินสกุลที่แข็งค่ากว่าเงินบาทมีไม่กี่สกุล อาทิ เงินดองเกาหลี 2.4% เงินดอลลาร์ฮ่องกง 2.4% เป็นต้น
ซึ่งสาเหตุที่ทำให้เงินบาทแข็งค่ากว่าเงินสกุลอื่นนั้น ก็น่าจะมาจากนโยบายการดูแลค่าเงินบาทที่ต้องการให้นิ่งหรือแกว่งตัวไม่มากนัก ซึ่งตรงนี้ทำให้ส่งผลกระทบต่อการส่งออก รวมถึงการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายที่น่าจะทำให้เงินบาทอ่อนค่าลง ดังนั้น เมื่อมีการปรับเปลี่ยนท่าทีก็อาจจะทำให้เงินบาทอ่อนค่าค่อนข้างแรงในสัปดาห์นี้
"ค่าเงินบาทตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมาค่อนข้างหนืดมาก ขณะที่เงินสกุลอื่นอ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งก็จะส่งผลกระทบในด้านของการแข่งขันของผู้ส่งออก แม้ว่าค่าเงินที่แข็งจะไม่ได้กระทบมาก แต่ตอนนี้ปัจจัยในด้านอุปสงค์ลดลงมาก ก็กระทบส่งออกมากอยู่แล้ว ก็ไม่ควรจะมีเรื่องเงินบาทที่แข็งค่ากว่าประเทศคู่ค้ามาซ้ำเติมอีก คิดว่าตรงนี้น่าจะเป็นเหตุผลให้ผู้ที่ดูแลอยู่ปรับเปลี่ยนนโยบายไปบ้าง"
สำหรับทิศทางของเงินในช่วงนี้ก็คงจะยังอ่อนค่าลงอีก โดยปัจจัยที่ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐน่าจะแข็งค่าต่อเนื่องจากสภาวะเศรษฐกิจของประเทศในแถบยุโรปตะวันออกที่แย่ลง ทำให้นักลงทุนส่วนหนึ่งหันกลับมาถือเงินดอลลาร์สหรัฐไว้ ประกอบกับในการประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายเศรษฐกิจ(กนง.)ในสัปดาห์นั้น คาดว่าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก 0.50% จึงน่าจะทำให้เงินบาทมีทิศทางที่อ่อนค่าลงอีก โดยคาดว่าในช่วงที่เหลือของไตรมาสแรกปีนี้ค่าเงินจะอยู่ที่ระดับ 35.90-36.00 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ
"การปล่อยให้เงินบาทอ่อนค่าลงนั้น ถือว่าเป็นทิศทางที่ถูกต้อง กับนโยบายของทางการที่ต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจ รวมถึงการส่งออกของไทยที่ลดลงมาก และทิศทางดอกเบี้ยที่ยังจะลดลงอยู่ ขณะที่ปัญหาทางด้านเงินเฟ้อไม่น่ากังวลแล้ว"
สำหรับวานนี้ (19 ก.พ.)นักบริหารเงินธนาคารกรุงเทพ เปิดเผยว่า เงินบาทเปิดตลาดเช้านี้ที่ระดับ 35.38-35.40 บาทต่อดอลลาร์สหรับ โดยปรับตัวอ่อนค่าลงจากช่วงปิดตลาดวันก่อนหน้าที่ระดับ 35.35-35.37 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ และการเคลื่อนไหวระหว่างวันเงินบาทยังอ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่อง และมีปริมาณการซื้อขายค่อนข้างหนาแน่น
ทั้งนี้ การอ่อนค่าลงของเงินบาทเป็นไปในทิศทางเดียวกับค่าเงินสกุลอื่นในภูมิภาคโดยเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นเนื่องจากมีแรงเข้าซื้ออย่างหนักหลังนักลงทุนประเมินว่าเป็นสกุลเงินที่มีความปลอดภัยท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจโลกที่มีความผันผวนในขณะนี้
ขณะที่ในช่วงเย็นค่าเงินบาทที่ระดับ 35.49-35.55 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ปริมาณการทำธุรกรรมค่อนข้างหนาแน่นอน เนื่องจากกลุ่มผู้ส่งออกทำการซื้ออัตราแลกเปลี่ยนล่วงหน้าค่อนข้างมาก โดยระหว่างวันค่าเงินบาทอ่อนค่าสุดที่ระดับ 35.60 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ และแข็งค่าสุดที่ระดับ 35.40 บาทต่อดอลลาร์ ถือว่าอ่อนค่าสุดในรอบเกือบ 2 เดือน
ส่วนวันนี้คาดว่าค่าเงินบาทจะเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 35.45-35.65 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งพรุ่งนี้แนวโน้มอาจจะแข็งค่าได้เล็กน้อย เนื่องจากมีการทำกำไรเข้ามา หลังจากที่อ่อนค่าค่อนข้าสูงมาก แต่ทิศทางระยะยาวยังเป็นทิศทางอ่อนค่า

***ธาริษาท่องบทบาทอ่อนตามภูมิภาค
เมื่อวานนี้ (19ก.พ.) ในเวลา 14.15 น. ทางสมาคมนิสิตเก่า สถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจ ศศินทร์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้จัดงานสัมมนาเรื่อง “วิกฤตเศรษฐกิจโลกกับทางออกของคนไทย” โดยนางธาริษา วัฒนเกส ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ได้ปาฐกถาพิเศษหัวข้อ “วิกฤตเศรษฐกิจโลกที่ส่งผลกระทบต่อประเทศไทย”ถึงแนวโน้มค่าเงินบาทว่า ปีนี้คาดว่าจะอ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่อง เพราะค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้น ทำให้ค่าเงินในภูมิภาคอ่อนค่าลง รวมถึงค่าเงินบาทไทยด้วย
ณ วันที่ 2 ก.พ.ที่ผ่านมา ค่าเงินบาทไทยเคลื่อนไหวค่อนข้างอ่อนค่า 0.7% ขณะที่ทั้งปี 51 อ่อนค่าถึง 3% ซึ่งค่าเงินบาทในขณะนี้กลับไปสู่ระดับเดียวกับในช่วง 2 ปีก่อน หรือปี50 ดังนั้น บทบาทธปท.ในระยะต่อไปจะดูแลนโยบายอัตราแลกเปลี่ยนไม่ให้ผันผวนและให้เงินบาทเกาะกลุ่มไปกับประเทศภูมิภาค
ทั้งนี้ ดัชนีค่าเงินบาทแท้จริง(REER) ซึ่งได้หักอัตราเงินเฟ้อ ต้นทุนที่ถูกลง ทำให้ไทยสามารถแข่งขันต่างประเทศได้ดีขึ้น ค่าเงินบาทไม่ใช่ปัจจัยเดียวที่ทำให้ไทยเสียความสามารถในการแข่งขันด้านการส่งออก ขึ้นอยู่กับอำนาจซื้อต่างประเทศหรือรายได้ประเทศคู่ค้า โดยจากการประเมินธปท.พบว่า หากเศรษฐกิจคู่ค้าลดลง 1% ส่งผลต่อการส่งออกให้ลดลง 1.6% และหากค่าเงินอ่อนค่าลง 1% ทำให้การส่งออกสูงขึ้น 0.2%

***แรงขายทำทองราคาตกก่อนทะยานต่อ
นายศุภกร สุนทรกิจ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เอ็มเอฟซี จำกัด กล่าวว่า ราคาทองคำที่ปรับตัวลดลงมามากในรอบเดือนนี้ เป็นผลมาจากการเทขายเพื่อทำกำไรของกลุ่มนักลงทุนเป็นหลัก เนื่องจากในช่วงก่อนหน้านี้ราคาทองคำได้ปรับตัวขึ้นอย่างแรงในตลาดต่างประเทศ ซึ่งเมื่อปรับตัวขึ้นไปถึงระดับหนึ่งแล้วจึงมีการเทขายเพื่อทำกำไรตามปกติ
"ราคาทองคำที่ปรับตัวลดลงมานั้น เป็นผลมาจากการเทขายเพื่อทำกำไรตามเทคนิค ซึ่งไม่มีปัจจัยอะไรนอกเหนือจากนี้ที่มากดดันให้ราคาทองคำปรับลดลงแต่อย่างใด แต่เชื่อว่าราคาทองคำจากนี้จะมีความผันผวนมาก" นายศุภกร กล่าว
นายจิตติ ตั้งสิทธิ์ภักดี นายกสมาคมค้าทองคำ กล่าวการเคลื่อนไหวของราคาทองคำวานนี้ (19 ก.พ.) ว่า ในช่วงเช้าราคาทองคำในตลาดโลกดีดขึ้นไปต่อเนื่อง ทำให้ราคาทองคำในประเทศไทยเพิ่มขึ้นตามไปด้วย โดยช่วงเช้าราคาขายทองคำแท่งไปอยู่ที่ 16,100 บาทต่อน้ำหนักทอง 1 บาท และราคาขายทองคำรูปพรรณไปอยู่ที่ 16,500 บาท หลังจากนั้นราคาทองคำในตลาดโลกก็ปรับลดลงประมาณ 10 ดอลลาร์/ออนซ์ โดยราคาอยู่ที่ 972 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ทำให้ต้องปรับราคาขายทองคำในประเทศ โดยปรับลดลง 50 บาทต่อน้ำหนักทองคำ 1 บาท ถือเป็นการปรับลดของราคาทองคำเป็นครั้งแรกในรอบเดือน เพราะก่อนหน้านี้ราคาทองคำเพิ่มขึ้นมาโดยตลอด
ทั้งนี้ เวลา 17.00น. สมาคมค้าทองคำกำหนดราคาทองคำแท่งซื้อ15,900 ขาย16,000 บาท ส่วนทองรูปพรรณซื้อ 15,675.44 ขาย16,400 บาท
นายกฤชรัตน์ หิรัณยศิริ รองเลขาธิการ สมาคมผู้ค้าทองคำ กล่าวว่า จากการที่ราคาทองได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นเยอะทำให้มีการเทขายทองคำออกมาเพื่อทำกำไรจากนักลงทุนต่างประเทศและได้รับแรงเทขายจากตลาดภายในประเทศอีกปัจจัยหนึ่ง จึงทำให้ราคาทองในตลาดปรับตัวลดลง แต่นี่เป็นเพียงการปรับลดลงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เนื่องจากที่ผ่านมาราคาทองถือได้อยู่ในช่วงขาขึ้นมาตลอด ทำให้ราคาทองคำพุ่งสูงขึ้น นักลงทุนจึงหันมาลงทุนในทองคำมากขึ้นเพื่อสร้างผลตอบแทนจากการลงทุน
"ราคาทองได้ปรับตัวอยู่ที่ 978 เหรียญดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ และปรับตัวลดลงอยู่ที่ 970 เหรียญดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ โดยราคานี้ถือว่าไม่ได้ปรับตัวลดลงมาก ยังเป็นราคาที่สูงอยู่สำหรับนักลงทุน อีกทั้งราคาค่าเงินที่อ่อนค่าลง ได้ส่งผลให้ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งบางช่วงที่ราคาทองปรับตัวลดลงเนื่องมาจากแรงเทขายของนักลงทุนเพื่อทำกำไรนั่นเอง" นายกฤชรัตน์กล่าว.
กำลังโหลดความคิดเห็น