เอเอฟพี/เอเยนซีส์ - เจนเนอรัล มอเตอร์ส (จีเอ็ม) และไครสเลอร์ ร้องขอเม็ดเงินเพิ่มอีก 21,600 ล้านดอลลาร์จากรัฐบาลสหรัฐฯ เพื่อจะได้หลีกหนีภาวะล้มละลาย และยืดเวลาสำหรับการปรับโครงสร้างไปอีกช่วงหนึ่ง ขณะเดียวกัน จีเอ็มก็ยังพยายามขอความช่วยเหลือทางการเงินรวม 6,000 ล้านดอลลาร์จากรัฐบาล 5 ประเทศ ซึ่งรวมทั้งไทยด้วย แต่ถูก “อภิสิทธิ์” บอกปัด พร้อมเตรียมปลดพนักงานในไทยอีก 800 คน
จีเอ็ม ซึ่งมีฐานะเป็นผู้ผลิตรถยนต์ใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯ แถลงว่า กำลังเจรจาอยู่กับทางการในเยอรมนี, สหราชอาณาจักร, สวีเดน, แคนาดา, และไทย เพื่อขอให้ได้รับเงินช่วยเหลือจำนวนดังกล่าวภายในวันที่ 31 มีนาคม ซึ่งจะสอดคล้องกับกำหนดเส้นตายที่รัฐบาลสหรัฐฯขีดเอาไว้ ในการพิจารณาว่าจะยังคงให้และขยายความช่วยเหลือแก่บริษัทต่อไปหรือไม่
อย่างไรก็ดี ในกรณีประเทศไทยนั้น ทางรัฐบาลได้แสดงท่าทีตั้งแต่ต้นเดือนนี้แล้วว่า จะไม่ให้ความช่วยเหลือแก่บริษัทลูกของจีเอ็มในประเทศไทย โดยที่มีรายงานว่า กิจการลูกของจีเอ็มในไทยนั้น หาทางขอเงินช่วยเหลือเป็นมูลค่า 15,000 ล้านบาท (429 ล้านดอลลาร์) ในโครงการผลิตรถกระบะ
ตอนที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีไทยแถลงข่าวระหว่างการเยือนญี่ปุ่นเป็นเวลา 3 วันเมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์นั้น เมื่อถูกสอบถามเรื่องนี้ เขาก็ตอบว่า “ผมเข้าใจซาบซึ้งเป็นอย่างดีถึงความยากลำบากที่อุตสาหกรรมนี้กำลังต้องก้าวผ่าน แต่แผนการของเราในขณะนี้ ไม่ได้มีการให้ความช่วยเหลือเป็นพิเศษแก่บริษัทเป็นรายๆ “
สำหรับบริษัทแม่ของจีเอ็มที่อเมริกา ตลอดจนบริษัทไครสเลอร์ เมื่อวันอังคารต่างก็ได้ยืนยันในบันทึกรายงานความสามารถที่จะปรับตัวตลอดจนแผนการปรับโครงสร้าง ซึ่งจัดส่งไปให้กระทรวงการคลัง ว่าพวกตนมีความสามารถจ่ายคืนเงินช่วยเหลือของรัฐบาลได้ การยื่นรายงานเช่นนี้เป็นส่วนหนึ่งของเงื่อนไขที่รัฐบาลกำหนดขึ้น เมื่อตอนอนุมัติแผนช่วยเหลือก้อนแรกไปในเดือนธันวาคมปีที่แล้ว
ทางด้านท่าทีของรัฐบาลอเมริกันนั้น รอเบิร์ต กิบส์ โฆษกทำเนียบขาวแถลงในวันเดียวกัน โดยมุ่งมองภาพในองค์รวมว่า เป็นที่ชัดเจนอยู่แล้วว่า บริษัทรถยนต์เหล่านี้จะอยู่รอดได้ จำเป็นที่จะต้องมีหลายๆ ฝ่ายเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ตั้งแต่เจ้าหนี้, ซัปพลายเออร์, ดีลเลอร์, พนักงาน และผู้บริหารบริษัททั้งหมด
ในรายงานที่ส่งถึงกระทรวงการคลัง จีเอ็มได้พูดถึงแผนการปรับตัวของบริษัทว่า จะลดจำนวนพนักงานทั่วโลกลง 47,000 ตำแหน่ง, ปิดโรงงาน, ยกเลิกแบรนด์ที่ไม่ค่อยทำเงิน, ลดกำลังการผลิต, รวมทั้งปรับเปลี่ยนข้อเสนอผลิตภัณฑ์เสียใหม่ เพื่อให้บริษัทกลับมาแข็งแกร่งและทำกำไรได้อีกภายในเวลา 24 เดือน
“นี่เป็นสิ่งที่เราต้องทำหากว่าต้องการอยู่รอดในวิกฤตปัจจุบัน รวมทั้งทำให้จีเอ็มกลับมาประสบความสำเร็จอย่างยืนยงอีกครั้ง” ริค แวกอนเนอร์ ประธานจีเอ็มและซีอีโอ กล่าว
จีเอ็มบอกด้วยว่าอาจต้องการเงินอีก 16,600 ล้านดอลลาร์ในรูปของเงินกู้จากรัฐบาลภายในปี 2011 เพิ่มเติมจาก 13,400 ล้านดอลลาร์ที่ได้มาแล้ว จีเอ็มขู่ด้วยว่าหากไม่ทำอะไร มูลค่าความเสียหายจะสูงกว่านี้ เพราะหากปล่อยให้ล้มละลาย จีเอ็มก็คาดว่าเม็ดเงินที่ใช้ในการปรับโครงสร้างจะสูงถึง 100,000 ล้านดอลลาร์ และคนงานจะต้องตกงานราว 3 ล้านคน
ในขณะเดียวกัน ทางด้านไครสเลอร์ ก็แจ้งว่าจะต้องขอเงินช่วยเหลือจากรัฐบาลสหรัฐฯเพิ่มอีก 5,000 ล้านดอลลาร์
“เราเชื่อว่าเงินกู้ที่จะนำมาเป็นเม็ดเงินดำเนินการซึ่งเราร้องขอไปนี้ เป็นทางเลือกที่ใช้เงินน้อยที่สุดแล้ว และจะสามารถช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐฯรวมทั้งก่อให้เกิดผลในททางบวกแก่ผู้เสียภาษีชาวอเมริกันทั้งหลาย” ประธานของไครสเลอร์ บ๊อบ นาร์เดลลีกล่าว
“การปรับโครงสร้างอย่างเป็นระเบียบโดยไม่เข้าสู่ภาวะล้มละลาย เมื่อรวมกับแผนการที่จะทำให้บริษัทอยู่รอด และการเป็นพันธมิตรแน่นแฟ้นกับเฟียตก็ทำให้มันเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด”
ไครสเลอร์มีแผนจะยกเลิกโมเดลรถ 3 แบบ, ลดกำลังการผลิตลง 100,000 คันต่อปี, ลอยแพคนงาน 3,000 คน, และลดต้นทุนประจำลงไป 700 ล้านดอลลาร์
ก่อนหน้านี้ “บิ๊กทรี” หรือบริษัทรถยนต์ยักษ์ใหญ่สามแห่งในดีทรอยท์ ซึ่งมีจีเอ็ม, ไครสเลอร์และฟอร์ด ต่างก็สามารถตกลงเบื้องต้นได้กับสหภาพแรงงานบริษัทรถยนต์ (ยูเอดับเบิลยู) ให้ช่วยลดต้นทุนด้านค่าแรง ซึ่งทางสหภาพบอกว่าตามข้อตกลง บริษัทสามารถปรับสัญญาว่าจ้างให้เปลี่ยนไปจากของเมื่อปี 2007 อันจะช่วยให้บริษัทสามารถฝ่าฟันสถานการณ์ยากลำบากไปได้
ทางด้านกระทรวงการคลังแจ้งว่าจะพิจารณาแผนการที่บริษัทรถยนต์ทั้งสองส่งมา และตัดสินใจภายในวันที่ 31 มีนาคมนี้ว่าจะให้เงินกู้ต่อไป หรือจะเรียกคืน ซึ่งนั่นจะทำให้บริษัทล้มละลาย แต่รัฐบาลก็จะเข้ามาดูแลเพื่อให้มีการถ่ายโอนสินทรัพย์และปรับโครงสร้างได้อย่างรวดเร็วมากขึ้น
สำหรับอีก 1 “บิ๊กทรี” ที่เหลือ คือ ฟอร์ด ยังคงยืนยันว่ามีเม็ดเงินสำรองเพียงพอต่อการดำเนินงานโดยไม่ต้องพึ่งเงินกู้ แม้ว่าจะขาดทุนไปถึง 5,900 ล้านดอลลาร์ในไตรมาสสี่ของปีที่แล้ว นักวิเคราะห์ทำนายว่ายอดขายรถยนต์ในปีนี้จะอยู่ที่ 10 – 11 ล้านคัน ซึ่งเป็นยอดขายที่ย่ำแย่ที่สุดนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งสองเป็นต้นมา
****จีเอ็มไทยปลดอีก 800 คน
บริษัท เจนเนอรัล มอเตอร์ส (ประเทศไทย) ล่าสุดได้เปิดโครงการสมัครใจลาออก และการลดพนักงานประจำในสายการผลิตจำนวน 800 คน ในต้นเดือนกุมภาพันธ์ พร้อมออกแถลงการณ์ว่า แม้การเลย์ออฟถือเป็นหนทางสุดท้าย แต่ด้วยวิกฤตเศรษฐกิจได้ส่งผลกระทบต่อทุกอุตสาหกรรม รวมถึงอุตสาหกรรมยานยนต์ บริษัทจึงต้องปรับโครงสร้างแผนการผลิตเพื่อฝ่าวิกฤตความต้องการซื้อของลูกค้าที่ลดลงนี้ไปให้ได้
“เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ที่แผนการปรับโครงสร้างนี้จะส่งผลกระทบต่อองค์กรด้วยการลดจำนวนพนักงานลง เราจึงใช้มาตรการโครงการสมัครใจลาออก พนักงานในฝ่ายการผลิตสามารถร่วมโครงการนี้ได้ และจะได้รับค่าตอบแทนตามกฎหมายแรงงาน หากโครงการสมัครใจลาออกไม่เป็นไปตามเป้าหมาย บริษัทฯ อาจจะต้องใช้มาตรการอื่นในการดำเนินการตามแผนปรับโครงสร้าง ถึงกระนั้น พนักงานทุกคนไม่ว่าจะเข้าร่วมแผนใด ก็สามารถแน่ใจได้ว่าจะได้รับเงินชดเชยตามกฎหมายแรงงานอย่างแน่นอน”
บริษัทเชื่อว่า นี่เป็นทางออกที่ดีที่สุดที่บริษัทสามารถทำได้ หลังจากได้ประเมินหาหนทางอื่นอย่างรอบคอบแล้ว โครงการสมัครใจลาออกเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับพนักงาน เพราะจะได้รับเงินทดแทนมากกว่าที่กฎหมายแรงงานระบุ ขณะที่โครงการหยุดพักงานชั่วคราวไม่ใช่ทางแก้ปัญหาที่ตรงจุดนัก เพราะพนักงานจะรับเงินตอบแทนเพียงครึ่งหนึ่ง หรือน้อยกว่าครึ่งหนึ่งของเงินเดือนในระยะสั้น ยิ่งไปกว่านั้น บริษัทฯไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่าสถานการณ์ในอนาคตจะดีขึ้น พนักงานจะประสบความยากลำบากยิ่งขึ้นเมื่อบริษัทฯไม่สามารถใช้มาตรการหยุดพักงานชั่วคราวในระยะยาวได้ ดังนั้นบริษัทเชื่อว่า โครงการสมัครใจลาออกเหมาะสมที่สุดในสถานการณ์ขั้นวิกฤติที่ไม่มีความมั่นคงอย่างในปัจจุบัน
จีเอ็ม ซึ่งมีฐานะเป็นผู้ผลิตรถยนต์ใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯ แถลงว่า กำลังเจรจาอยู่กับทางการในเยอรมนี, สหราชอาณาจักร, สวีเดน, แคนาดา, และไทย เพื่อขอให้ได้รับเงินช่วยเหลือจำนวนดังกล่าวภายในวันที่ 31 มีนาคม ซึ่งจะสอดคล้องกับกำหนดเส้นตายที่รัฐบาลสหรัฐฯขีดเอาไว้ ในการพิจารณาว่าจะยังคงให้และขยายความช่วยเหลือแก่บริษัทต่อไปหรือไม่
อย่างไรก็ดี ในกรณีประเทศไทยนั้น ทางรัฐบาลได้แสดงท่าทีตั้งแต่ต้นเดือนนี้แล้วว่า จะไม่ให้ความช่วยเหลือแก่บริษัทลูกของจีเอ็มในประเทศไทย โดยที่มีรายงานว่า กิจการลูกของจีเอ็มในไทยนั้น หาทางขอเงินช่วยเหลือเป็นมูลค่า 15,000 ล้านบาท (429 ล้านดอลลาร์) ในโครงการผลิตรถกระบะ
ตอนที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีไทยแถลงข่าวระหว่างการเยือนญี่ปุ่นเป็นเวลา 3 วันเมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์นั้น เมื่อถูกสอบถามเรื่องนี้ เขาก็ตอบว่า “ผมเข้าใจซาบซึ้งเป็นอย่างดีถึงความยากลำบากที่อุตสาหกรรมนี้กำลังต้องก้าวผ่าน แต่แผนการของเราในขณะนี้ ไม่ได้มีการให้ความช่วยเหลือเป็นพิเศษแก่บริษัทเป็นรายๆ “
สำหรับบริษัทแม่ของจีเอ็มที่อเมริกา ตลอดจนบริษัทไครสเลอร์ เมื่อวันอังคารต่างก็ได้ยืนยันในบันทึกรายงานความสามารถที่จะปรับตัวตลอดจนแผนการปรับโครงสร้าง ซึ่งจัดส่งไปให้กระทรวงการคลัง ว่าพวกตนมีความสามารถจ่ายคืนเงินช่วยเหลือของรัฐบาลได้ การยื่นรายงานเช่นนี้เป็นส่วนหนึ่งของเงื่อนไขที่รัฐบาลกำหนดขึ้น เมื่อตอนอนุมัติแผนช่วยเหลือก้อนแรกไปในเดือนธันวาคมปีที่แล้ว
ทางด้านท่าทีของรัฐบาลอเมริกันนั้น รอเบิร์ต กิบส์ โฆษกทำเนียบขาวแถลงในวันเดียวกัน โดยมุ่งมองภาพในองค์รวมว่า เป็นที่ชัดเจนอยู่แล้วว่า บริษัทรถยนต์เหล่านี้จะอยู่รอดได้ จำเป็นที่จะต้องมีหลายๆ ฝ่ายเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ตั้งแต่เจ้าหนี้, ซัปพลายเออร์, ดีลเลอร์, พนักงาน และผู้บริหารบริษัททั้งหมด
ในรายงานที่ส่งถึงกระทรวงการคลัง จีเอ็มได้พูดถึงแผนการปรับตัวของบริษัทว่า จะลดจำนวนพนักงานทั่วโลกลง 47,000 ตำแหน่ง, ปิดโรงงาน, ยกเลิกแบรนด์ที่ไม่ค่อยทำเงิน, ลดกำลังการผลิต, รวมทั้งปรับเปลี่ยนข้อเสนอผลิตภัณฑ์เสียใหม่ เพื่อให้บริษัทกลับมาแข็งแกร่งและทำกำไรได้อีกภายในเวลา 24 เดือน
“นี่เป็นสิ่งที่เราต้องทำหากว่าต้องการอยู่รอดในวิกฤตปัจจุบัน รวมทั้งทำให้จีเอ็มกลับมาประสบความสำเร็จอย่างยืนยงอีกครั้ง” ริค แวกอนเนอร์ ประธานจีเอ็มและซีอีโอ กล่าว
จีเอ็มบอกด้วยว่าอาจต้องการเงินอีก 16,600 ล้านดอลลาร์ในรูปของเงินกู้จากรัฐบาลภายในปี 2011 เพิ่มเติมจาก 13,400 ล้านดอลลาร์ที่ได้มาแล้ว จีเอ็มขู่ด้วยว่าหากไม่ทำอะไร มูลค่าความเสียหายจะสูงกว่านี้ เพราะหากปล่อยให้ล้มละลาย จีเอ็มก็คาดว่าเม็ดเงินที่ใช้ในการปรับโครงสร้างจะสูงถึง 100,000 ล้านดอลลาร์ และคนงานจะต้องตกงานราว 3 ล้านคน
ในขณะเดียวกัน ทางด้านไครสเลอร์ ก็แจ้งว่าจะต้องขอเงินช่วยเหลือจากรัฐบาลสหรัฐฯเพิ่มอีก 5,000 ล้านดอลลาร์
“เราเชื่อว่าเงินกู้ที่จะนำมาเป็นเม็ดเงินดำเนินการซึ่งเราร้องขอไปนี้ เป็นทางเลือกที่ใช้เงินน้อยที่สุดแล้ว และจะสามารถช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐฯรวมทั้งก่อให้เกิดผลในททางบวกแก่ผู้เสียภาษีชาวอเมริกันทั้งหลาย” ประธานของไครสเลอร์ บ๊อบ นาร์เดลลีกล่าว
“การปรับโครงสร้างอย่างเป็นระเบียบโดยไม่เข้าสู่ภาวะล้มละลาย เมื่อรวมกับแผนการที่จะทำให้บริษัทอยู่รอด และการเป็นพันธมิตรแน่นแฟ้นกับเฟียตก็ทำให้มันเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด”
ไครสเลอร์มีแผนจะยกเลิกโมเดลรถ 3 แบบ, ลดกำลังการผลิตลง 100,000 คันต่อปี, ลอยแพคนงาน 3,000 คน, และลดต้นทุนประจำลงไป 700 ล้านดอลลาร์
ก่อนหน้านี้ “บิ๊กทรี” หรือบริษัทรถยนต์ยักษ์ใหญ่สามแห่งในดีทรอยท์ ซึ่งมีจีเอ็ม, ไครสเลอร์และฟอร์ด ต่างก็สามารถตกลงเบื้องต้นได้กับสหภาพแรงงานบริษัทรถยนต์ (ยูเอดับเบิลยู) ให้ช่วยลดต้นทุนด้านค่าแรง ซึ่งทางสหภาพบอกว่าตามข้อตกลง บริษัทสามารถปรับสัญญาว่าจ้างให้เปลี่ยนไปจากของเมื่อปี 2007 อันจะช่วยให้บริษัทสามารถฝ่าฟันสถานการณ์ยากลำบากไปได้
ทางด้านกระทรวงการคลังแจ้งว่าจะพิจารณาแผนการที่บริษัทรถยนต์ทั้งสองส่งมา และตัดสินใจภายในวันที่ 31 มีนาคมนี้ว่าจะให้เงินกู้ต่อไป หรือจะเรียกคืน ซึ่งนั่นจะทำให้บริษัทล้มละลาย แต่รัฐบาลก็จะเข้ามาดูแลเพื่อให้มีการถ่ายโอนสินทรัพย์และปรับโครงสร้างได้อย่างรวดเร็วมากขึ้น
สำหรับอีก 1 “บิ๊กทรี” ที่เหลือ คือ ฟอร์ด ยังคงยืนยันว่ามีเม็ดเงินสำรองเพียงพอต่อการดำเนินงานโดยไม่ต้องพึ่งเงินกู้ แม้ว่าจะขาดทุนไปถึง 5,900 ล้านดอลลาร์ในไตรมาสสี่ของปีที่แล้ว นักวิเคราะห์ทำนายว่ายอดขายรถยนต์ในปีนี้จะอยู่ที่ 10 – 11 ล้านคัน ซึ่งเป็นยอดขายที่ย่ำแย่ที่สุดนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งสองเป็นต้นมา
****จีเอ็มไทยปลดอีก 800 คน
บริษัท เจนเนอรัล มอเตอร์ส (ประเทศไทย) ล่าสุดได้เปิดโครงการสมัครใจลาออก และการลดพนักงานประจำในสายการผลิตจำนวน 800 คน ในต้นเดือนกุมภาพันธ์ พร้อมออกแถลงการณ์ว่า แม้การเลย์ออฟถือเป็นหนทางสุดท้าย แต่ด้วยวิกฤตเศรษฐกิจได้ส่งผลกระทบต่อทุกอุตสาหกรรม รวมถึงอุตสาหกรรมยานยนต์ บริษัทจึงต้องปรับโครงสร้างแผนการผลิตเพื่อฝ่าวิกฤตความต้องการซื้อของลูกค้าที่ลดลงนี้ไปให้ได้
“เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ที่แผนการปรับโครงสร้างนี้จะส่งผลกระทบต่อองค์กรด้วยการลดจำนวนพนักงานลง เราจึงใช้มาตรการโครงการสมัครใจลาออก พนักงานในฝ่ายการผลิตสามารถร่วมโครงการนี้ได้ และจะได้รับค่าตอบแทนตามกฎหมายแรงงาน หากโครงการสมัครใจลาออกไม่เป็นไปตามเป้าหมาย บริษัทฯ อาจจะต้องใช้มาตรการอื่นในการดำเนินการตามแผนปรับโครงสร้าง ถึงกระนั้น พนักงานทุกคนไม่ว่าจะเข้าร่วมแผนใด ก็สามารถแน่ใจได้ว่าจะได้รับเงินชดเชยตามกฎหมายแรงงานอย่างแน่นอน”
บริษัทเชื่อว่า นี่เป็นทางออกที่ดีที่สุดที่บริษัทสามารถทำได้ หลังจากได้ประเมินหาหนทางอื่นอย่างรอบคอบแล้ว โครงการสมัครใจลาออกเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับพนักงาน เพราะจะได้รับเงินทดแทนมากกว่าที่กฎหมายแรงงานระบุ ขณะที่โครงการหยุดพักงานชั่วคราวไม่ใช่ทางแก้ปัญหาที่ตรงจุดนัก เพราะพนักงานจะรับเงินตอบแทนเพียงครึ่งหนึ่ง หรือน้อยกว่าครึ่งหนึ่งของเงินเดือนในระยะสั้น ยิ่งไปกว่านั้น บริษัทฯไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่าสถานการณ์ในอนาคตจะดีขึ้น พนักงานจะประสบความยากลำบากยิ่งขึ้นเมื่อบริษัทฯไม่สามารถใช้มาตรการหยุดพักงานชั่วคราวในระยะยาวได้ ดังนั้นบริษัทเชื่อว่า โครงการสมัครใจลาออกเหมาะสมที่สุดในสถานการณ์ขั้นวิกฤติที่ไม่มีความมั่นคงอย่างในปัจจุบัน