ประเทศของเรากำลังอยู่ในท่ามกลางวิกฤตอย่างร้ายแรงที่สุด และแก้ไขยากที่สุด ปุถุชนและนักการเมืองไทย ยากที่จะลึกซึ้งในคำสอนของพระพุทธเจ้า พวกเขาเคยชินอยู่กับการแก้ปัญหาส่วนตัวมาเป็นเวลา 20 – 40 ปี เมื่อเขามีโอกาสได้เป็นนักการเมือง เป็นนายกรัฐมนตรี จะต้องคิดแก้ปัญหาส่วนรวม แต่พวกเขาก็ยังคิดแก้ปัญหาแบบเดิมๆ คือ คิดแก้ปัญหาแบบอัตวิสัยหรือแบบการแก้ปัญหาส่วนตัว ก็จะกลายเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ ซึ่งไม่อาจจะแก้ปัญหาต่างๆ ให้หมดไปได้ นั่นเอง
แนวคิดธรรมาธิปไตย อันเป็นของธรรมชาติ ไม่มีใครเป็นเจ้าของ คือวิธีคิดใหม่ให้ถูกต้องตามกระแสแห่งธรรม หรือคิดและปฏิบัติตามวิถีธรรม อันเป็นหนึ่งเดียวกับกฎธรรมชาติ ดังนี้
สภาวธรรม มีลักษณะแผ่ขยายเป็นวงรัศมีแผ่ออกไปสู่ส่วนที่สัมพันธ์เกี่ยวพันกันทั้งหมดจากบนลงสู่ล่าง (ดูรูปประกอบ)
พิจารณาด้วยกฎอิทัปปจจยตา ในสัมพันธภาพเมื่อสิ่งนี้เป็นเหตุ สิ่งนั้นเป็นผล หรือเมื่อเหตุดีถูกต้องโดยธรรม ผมก็ย่อมดีถูกต้องโดยธรรม อันเป็นไปด้วยวิถีธรรมอันไม่มีใครจะต้านทานได้
เมื่อระบอบการเมืองมีหลักการปกครองโดยธรรม ก็จะเป็นเหตุปัจจัยให้การปกครองโดยธรรม
เมื่อการปกครองโดยธรรม ก็จะเป็นปัจจัยให้ระบบเศรษฐกิจโดยธรรม
เมื่อระบบเศรษฐกิจโดยธรรม ก็จะเป็นปัจจัยให้สังคม และการดำเนินชีวิตของประชาชนอยู่เย็นเป็นสุข ประเทศชาติก็เจริญรุ่งเรือง มั่นคง ยั่งยืนตามกฎธรรมชาติ
อีกนัยหนึ่ง เป็นการเปรียบเทียบระหว่างการแก้ปัญหาของบุคคลกับรัฐ เพื่อจะให้เกิดความชัดเจนมั่นใจยิ่งขึ้น ดังนี้
ย่อมแผ่ขยายเป็นวงรัศมี จากบนลงสู่ล่างแผ่ออกไปสู่ส่วนที่สัมพันธ์เกี่ยวพันกันทั้งหมด
จากภาพนี้ จะเห็นได้ว่า
(1) มนุษย์นั้นมีจิต ส่วนประเทศก็มีระบอบการเมือง
(2) มนุษย์นั้นมีกาย ส่วนประเทศก็มีการปกครอง
(3) มนุษย์นั้นมีปัจจัย 4 ส่วนประเทศก็มีระบบเศรษฐกิจ
(4) มนุษย์นั้นมีพฤติกรรม ส่วนประเทศก็มีพฤติกรรมในการดำเนินชีวิตของประชาชนในประเทศ บางทีก็เรียกว่าขนบธรรมเนียมประเพณีวัฒนธรรม
และจะถามว่า คนเลวต้องแก้ไขที่ไหน? ก็ต้องตอบว่าที่ จิต คือให้จิตมีธรรมะ, ให้รู้แจ้งเห็นจริงในสภาวธรรม
ส่วนสังคมวิกฤต จะต้องแก้ไขที่ไหน? ก็จะต้องตอบว่าที่ สร้างหลักการปกครองโดยธรรม (ระบอบฯ) ให้ระบอบการเมืองมีธรรมเป็นหลักการปกครอง เพื่อให้เกิดความยุติธรรมแก่ปวงชนในประเทศ เมื่อได้ประยุกต์ตามกฎอิทัปปจจยตา ระบอบการเมืองโดยธรรมจะเป็นปัจจัยให้ระบอบการเมืองยุติธรรม
หลักการปกครอง (ระบอบ) การเมืองที่ยุติธรรม จะเป็นปัจจัยให้การปกครองยุติธรรม
การปกครองยุติธรรม จะเป็นปัจจัยให้ระบบเศรษฐกิจยุติธรรม
ระบบเศรษฐกิจยุติธรรม เป็นปัจจัยให้สังคมยุติธรรม การดำเนินชีวิตของประชาชนยุติธรรม แผ่กระกระจายออกไปทั่วทุกตัวคนในส่วนที่สัมพันธ์เกี่ยวพันกันทั้งหมด ทำให้ประเทศชาติมั่นคง ประชาชนมั่งคั่ง เป็นไปตามกฎอิทัปปจจยตาฝ่ายบวก ฝ่ายเจริญก้าวหน้า โดยฝ่ายแล้ว
ในทางตรงกันข้ามนักการเมืองเป็นนายกรัฐมนตรี หรือผู้มีอำนาจ จัดความสัมพันธ์ในการแก้ปัญหาส่วนตัวและส่วนรวมไปในทิศทางเดียวกัน จึงมิอาจจะแก้ปัญหาเหตุวิกฤตชาติได้สำเร็จลงได้ เพราะเหตุแห่งความวิกฤตทั้งปวง คือระบอบการเมืองที่ปราศจากหลักการปกครองที่เป็นธรรม นั่นเอง
พวกเขามุ่งมั่นแต่จะแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ยิ่งแก้ประชาชนยิ่งยากจน แต่นักธุรกิจการเมืองกลับร่ำรวยล้นฟ้า สภาพการณ์การดำรงอยู่ของระบอบการเมืองเลวย่อมเป็นปัจจัยให้การปกครองเลว ระบบเศรษฐกิจเลว สังคมเลว และการดำเนินชีวิตของประชาชนตกต่ำย่ำแย่ ศีลธรรมเสื่อมทราม เหตุเพราะระบอบการเมืองเลว พรรคเลว รัฐบาลเลว (ไม่ถูกต้องโดยธรรม) ก็จะแผ่ความเลวออกไปทุกทิศทุกทางในส่วนที่สัมพันธ์เกี่ยวพันกันทั้งหมด เป็นไปตามกฎอิทัปปจจยตาฝ่ายลบ หรือฝ่ายเสื่อม
ผู้ไม่รู้แจ้งในธรรม จะแก้ปัญหาส่วนรวมตามอัตวิสัยแห่งตน คือจากล่างขึ้นสู่บน ก็จะคิดแก้ปัญหาตามประสบการณ์แห่งตน และปัญหาสังคมอันเป็นเพียงปัญหาปรากฏการณ์เท่านั้น เช่น คิดแก้ปัญหาเศรษฐกิจ อันเป็นผลมาจากการปกครองและระบอบการเมือง จะแก้ปัญหาเศรษฐกิจต้องสืบสาวไปหาเหตุ คือระบอบการเมืองเลว และระบอบการเมืองโดยธรรมจะเป็นเหตุให้ความยุติธรรมเกิดขึ้นในแผ่นดิน ดังคำกล่าวที่ว่า “ปุถุชนแก้ปัญหาส่วนรวมจากล่างขึ้นสู่บน ส่วนอริยชนแก้ปัญหาส่วนรวมจากบนลงสู่ล่าง” อันเป็นหนึ่งเดียวกับวิถีธรรม (นิพพาน, ธรรมาธิปไตย) และตรงตามแนวทางพระพุทธเจ้า ในยุคพุทธกาลพระองค์ทรงวางแผนการเผยแผ่พระธรรมต่อพระราชาและชนชั้นสูงก่อนที่จะเผยแผ่ไปสู่ประชาชนทั่วไปในเมืองนั้นๆ
ถ้าหัวหน้าไม่ดีก็จะแผ่ความไม่ดีออกไปทุกทิศทุกทาง ในส่วนที่สัมพันธ์เกี่ยวพันกันทั้งหมดในองค์กรนั้นๆ แม้ว่าจะมีคนดีแต่อยู่ในตำแหน่งที่ไม่มีอำนาจอะไร ก็ไม่อาจจะต้านทานความไม่ดีที่ใหญ่กว่าได้ เมื่อคิดจะแก้ปัญหาตามกฎอิทัปปจจยตา หรืออริยสัจ 4 ก็ต้องแก้ที่เหตุแห่งปัญหา นั่นเอง
ประชาชนได้รับความเดือดร้อนอย่างแสนสาหัส อุปมา มีรถจักรยาน 10 คันล้มทับซ้อนตามๆ กัน และคันที่ 10 ทับคนอยู่ เขาจะมีความรู้สึกว่าปัญหาก็คือคันที่ 10 หรือ คันที่ 9 เท่านั้น แต่การแก้ปัญหาให้หลุดพ้นไปได้นั้นต้องสืบสาวไปหาเหตุคือคันที่ 1 นั่นเอง ในสังคมไทยยังน้อยนักที่จะนำอริยสัจ 4 และกฎอิทัปปจจยตาอันเป็นกฎสัมพันธภาพตามเหตุปัจจัยของเหตุและผล ไปประยุกต์ใช้ในการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุแห่งปัญหา ทั้งเป็นปมเงื่อนของปัญหาต่างๆ ทั้งหลายในประเทศ
ดังอุปมา เมื่อน้ำเน่า ปลาใหญ่น้อยก็ไม่สามารถจะต้านทานพิษร้ายจากน้ำเน่าได้ฉันใด, เมื่อระบอบการเมืองมิจฉาทิฐิ สถาบันหลักแห่งชาติ สถาบันพระศาสนา สถาบันพระมหากษัตริย์ คนดีในสังคม ฯลฯ ก็ไม่อาจจะต้านทานความเลวร้ายจากระบอบการเมืองมิจฉาทิฐินั้นได้ ฉันนั้น
ใคร่ขอให้ท่านทั้งหลายได้พิจารณาการแก้ปัญหาทั้งปวงด้วยวิถีทางแห่งธรรมาธิปไตยเถิด จะเป็นประโยชน์ต่อมนุษยชาติอย่างสร้างสรรค์และยั่งยืน
ด้วยความห่วงใยในสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ สู่การสร้างสรรค์หลักการปกครองแบบธรรมาธิปไตย กลับมาสู่ความถูกต้องดังเดิมนับแต่โบราณกาล คือ “พระพุทธศาสนา พระมหากษัตริย์ และผู้มีคุณธรรมในแผ่นดิน ร่วมมือกันสร้างสรรค์ชาติให้ถูกต้องโดยธรรม” “ปุถุชนคิด ทำการปฏิวัติประชาธิปไตย หรือไม่ก็สังคมนิยมคอมมิวนิสต์ แนวทางรุนแรง ส่วนอริยชนคิดทำการปฏิวัติธรรมาธิปไตย แก้ไขเหตุวิกฤตชาติและโลก แนวทางสันติ”
แนวคิดธรรมาธิปไตย อันเป็นของธรรมชาติ ไม่มีใครเป็นเจ้าของ คือวิธีคิดใหม่ให้ถูกต้องตามกระแสแห่งธรรม หรือคิดและปฏิบัติตามวิถีธรรม อันเป็นหนึ่งเดียวกับกฎธรรมชาติ ดังนี้
สภาวธรรม มีลักษณะแผ่ขยายเป็นวงรัศมีแผ่ออกไปสู่ส่วนที่สัมพันธ์เกี่ยวพันกันทั้งหมดจากบนลงสู่ล่าง (ดูรูปประกอบ)
พิจารณาด้วยกฎอิทัปปจจยตา ในสัมพันธภาพเมื่อสิ่งนี้เป็นเหตุ สิ่งนั้นเป็นผล หรือเมื่อเหตุดีถูกต้องโดยธรรม ผมก็ย่อมดีถูกต้องโดยธรรม อันเป็นไปด้วยวิถีธรรมอันไม่มีใครจะต้านทานได้
เมื่อระบอบการเมืองมีหลักการปกครองโดยธรรม ก็จะเป็นเหตุปัจจัยให้การปกครองโดยธรรม
เมื่อการปกครองโดยธรรม ก็จะเป็นปัจจัยให้ระบบเศรษฐกิจโดยธรรม
เมื่อระบบเศรษฐกิจโดยธรรม ก็จะเป็นปัจจัยให้สังคม และการดำเนินชีวิตของประชาชนอยู่เย็นเป็นสุข ประเทศชาติก็เจริญรุ่งเรือง มั่นคง ยั่งยืนตามกฎธรรมชาติ
อีกนัยหนึ่ง เป็นการเปรียบเทียบระหว่างการแก้ปัญหาของบุคคลกับรัฐ เพื่อจะให้เกิดความชัดเจนมั่นใจยิ่งขึ้น ดังนี้
ย่อมแผ่ขยายเป็นวงรัศมี จากบนลงสู่ล่างแผ่ออกไปสู่ส่วนที่สัมพันธ์เกี่ยวพันกันทั้งหมด
จากภาพนี้ จะเห็นได้ว่า
(1) มนุษย์นั้นมีจิต ส่วนประเทศก็มีระบอบการเมือง
(2) มนุษย์นั้นมีกาย ส่วนประเทศก็มีการปกครอง
(3) มนุษย์นั้นมีปัจจัย 4 ส่วนประเทศก็มีระบบเศรษฐกิจ
(4) มนุษย์นั้นมีพฤติกรรม ส่วนประเทศก็มีพฤติกรรมในการดำเนินชีวิตของประชาชนในประเทศ บางทีก็เรียกว่าขนบธรรมเนียมประเพณีวัฒนธรรม
และจะถามว่า คนเลวต้องแก้ไขที่ไหน? ก็ต้องตอบว่าที่ จิต คือให้จิตมีธรรมะ, ให้รู้แจ้งเห็นจริงในสภาวธรรม
ส่วนสังคมวิกฤต จะต้องแก้ไขที่ไหน? ก็จะต้องตอบว่าที่ สร้างหลักการปกครองโดยธรรม (ระบอบฯ) ให้ระบอบการเมืองมีธรรมเป็นหลักการปกครอง เพื่อให้เกิดความยุติธรรมแก่ปวงชนในประเทศ เมื่อได้ประยุกต์ตามกฎอิทัปปจจยตา ระบอบการเมืองโดยธรรมจะเป็นปัจจัยให้ระบอบการเมืองยุติธรรม
หลักการปกครอง (ระบอบ) การเมืองที่ยุติธรรม จะเป็นปัจจัยให้การปกครองยุติธรรม
การปกครองยุติธรรม จะเป็นปัจจัยให้ระบบเศรษฐกิจยุติธรรม
ระบบเศรษฐกิจยุติธรรม เป็นปัจจัยให้สังคมยุติธรรม การดำเนินชีวิตของประชาชนยุติธรรม แผ่กระกระจายออกไปทั่วทุกตัวคนในส่วนที่สัมพันธ์เกี่ยวพันกันทั้งหมด ทำให้ประเทศชาติมั่นคง ประชาชนมั่งคั่ง เป็นไปตามกฎอิทัปปจจยตาฝ่ายบวก ฝ่ายเจริญก้าวหน้า โดยฝ่ายแล้ว
ในทางตรงกันข้ามนักการเมืองเป็นนายกรัฐมนตรี หรือผู้มีอำนาจ จัดความสัมพันธ์ในการแก้ปัญหาส่วนตัวและส่วนรวมไปในทิศทางเดียวกัน จึงมิอาจจะแก้ปัญหาเหตุวิกฤตชาติได้สำเร็จลงได้ เพราะเหตุแห่งความวิกฤตทั้งปวง คือระบอบการเมืองที่ปราศจากหลักการปกครองที่เป็นธรรม นั่นเอง
พวกเขามุ่งมั่นแต่จะแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ยิ่งแก้ประชาชนยิ่งยากจน แต่นักธุรกิจการเมืองกลับร่ำรวยล้นฟ้า สภาพการณ์การดำรงอยู่ของระบอบการเมืองเลวย่อมเป็นปัจจัยให้การปกครองเลว ระบบเศรษฐกิจเลว สังคมเลว และการดำเนินชีวิตของประชาชนตกต่ำย่ำแย่ ศีลธรรมเสื่อมทราม เหตุเพราะระบอบการเมืองเลว พรรคเลว รัฐบาลเลว (ไม่ถูกต้องโดยธรรม) ก็จะแผ่ความเลวออกไปทุกทิศทุกทางในส่วนที่สัมพันธ์เกี่ยวพันกันทั้งหมด เป็นไปตามกฎอิทัปปจจยตาฝ่ายลบ หรือฝ่ายเสื่อม
ผู้ไม่รู้แจ้งในธรรม จะแก้ปัญหาส่วนรวมตามอัตวิสัยแห่งตน คือจากล่างขึ้นสู่บน ก็จะคิดแก้ปัญหาตามประสบการณ์แห่งตน และปัญหาสังคมอันเป็นเพียงปัญหาปรากฏการณ์เท่านั้น เช่น คิดแก้ปัญหาเศรษฐกิจ อันเป็นผลมาจากการปกครองและระบอบการเมือง จะแก้ปัญหาเศรษฐกิจต้องสืบสาวไปหาเหตุ คือระบอบการเมืองเลว และระบอบการเมืองโดยธรรมจะเป็นเหตุให้ความยุติธรรมเกิดขึ้นในแผ่นดิน ดังคำกล่าวที่ว่า “ปุถุชนแก้ปัญหาส่วนรวมจากล่างขึ้นสู่บน ส่วนอริยชนแก้ปัญหาส่วนรวมจากบนลงสู่ล่าง” อันเป็นหนึ่งเดียวกับวิถีธรรม (นิพพาน, ธรรมาธิปไตย) และตรงตามแนวทางพระพุทธเจ้า ในยุคพุทธกาลพระองค์ทรงวางแผนการเผยแผ่พระธรรมต่อพระราชาและชนชั้นสูงก่อนที่จะเผยแผ่ไปสู่ประชาชนทั่วไปในเมืองนั้นๆ
ถ้าหัวหน้าไม่ดีก็จะแผ่ความไม่ดีออกไปทุกทิศทุกทาง ในส่วนที่สัมพันธ์เกี่ยวพันกันทั้งหมดในองค์กรนั้นๆ แม้ว่าจะมีคนดีแต่อยู่ในตำแหน่งที่ไม่มีอำนาจอะไร ก็ไม่อาจจะต้านทานความไม่ดีที่ใหญ่กว่าได้ เมื่อคิดจะแก้ปัญหาตามกฎอิทัปปจจยตา หรืออริยสัจ 4 ก็ต้องแก้ที่เหตุแห่งปัญหา นั่นเอง
ประชาชนได้รับความเดือดร้อนอย่างแสนสาหัส อุปมา มีรถจักรยาน 10 คันล้มทับซ้อนตามๆ กัน และคันที่ 10 ทับคนอยู่ เขาจะมีความรู้สึกว่าปัญหาก็คือคันที่ 10 หรือ คันที่ 9 เท่านั้น แต่การแก้ปัญหาให้หลุดพ้นไปได้นั้นต้องสืบสาวไปหาเหตุคือคันที่ 1 นั่นเอง ในสังคมไทยยังน้อยนักที่จะนำอริยสัจ 4 และกฎอิทัปปจจยตาอันเป็นกฎสัมพันธภาพตามเหตุปัจจัยของเหตุและผล ไปประยุกต์ใช้ในการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุแห่งปัญหา ทั้งเป็นปมเงื่อนของปัญหาต่างๆ ทั้งหลายในประเทศ
ดังอุปมา เมื่อน้ำเน่า ปลาใหญ่น้อยก็ไม่สามารถจะต้านทานพิษร้ายจากน้ำเน่าได้ฉันใด, เมื่อระบอบการเมืองมิจฉาทิฐิ สถาบันหลักแห่งชาติ สถาบันพระศาสนา สถาบันพระมหากษัตริย์ คนดีในสังคม ฯลฯ ก็ไม่อาจจะต้านทานความเลวร้ายจากระบอบการเมืองมิจฉาทิฐินั้นได้ ฉันนั้น
ใคร่ขอให้ท่านทั้งหลายได้พิจารณาการแก้ปัญหาทั้งปวงด้วยวิถีทางแห่งธรรมาธิปไตยเถิด จะเป็นประโยชน์ต่อมนุษยชาติอย่างสร้างสรรค์และยั่งยืน
ด้วยความห่วงใยในสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ สู่การสร้างสรรค์หลักการปกครองแบบธรรมาธิปไตย กลับมาสู่ความถูกต้องดังเดิมนับแต่โบราณกาล คือ “พระพุทธศาสนา พระมหากษัตริย์ และผู้มีคุณธรรมในแผ่นดิน ร่วมมือกันสร้างสรรค์ชาติให้ถูกต้องโดยธรรม” “ปุถุชนคิด ทำการปฏิวัติประชาธิปไตย หรือไม่ก็สังคมนิยมคอมมิวนิสต์ แนวทางรุนแรง ส่วนอริยชนคิดทำการปฏิวัติธรรมาธิปไตย แก้ไขเหตุวิกฤตชาติและโลก แนวทางสันติ”